ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 33 ขายบุตรรัก (1)
เวลานี้นอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของหลายคนดังขึ้น ฟังจากเสียงก็ทราบว่ามิใช่ผู้ฝึกยุทธ์ หลังจากนั้น หญิงรับใช้สองนางจึงผลักประตูหอเปิด องค์หญิงฉางเล่อผู้มีหญิงรับใช้หลายนางรายล้อมอุ้มทารกน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา ด้านหลังนางมีโหรวหลันกับหลี่หลินตามมาด้วย เมื่อครู่ตอนโหรวหลันตามองค์หญิงฉางเล่อไปอุ้มน้อง นางก็ไม่ลืมลากเขาไปด้วย
หลี่เสี่ยนลุกขึ้นมาเป็นคนแรกแล้วหัวเราะ “ข้าดูสิว่าเด็กคนนี้เหมือนฉางเล่อมากกว่าหรือเหมือนสุยอวิ๋นมากกว่า” แน่นอนว่านอกจากความยินดีที่ได้พบหลานชายแล้ว เขาก็อยากหลบเลี่ยงบรรยากาศกระอักกระอ่วนเช่นนี้สักพักด้วย เวลายังมีอีกมาก อย่างมากที่สุดก็แค่จับคนมัดพากลับไปเท่านั้น หลี่เสี่ยนคิดอย่างกลัดกลุ้ม แต่ไม่นานความสนใจของเขาก็จดจ่ออยู่บนร่างของทารกน้อย
แม้ยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบดี แต่ทารกน้อยผู้นี้กลับมีชีวิตชีวายิ่งนัก ดวงตากลมโตกลอกไปมาอย่างสงสัยใคร่รู้ เขาสืบทอดจุดเด่นจากรูปโฉมของบิดามารดามาทั้งหมด แม้ยังอายุน้อยแต่ก็มองออกว่าอนาคตเติบใหญ่ขึ้นมาคงเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสง่างามผู้หนึ่ง
ไม่รู้เหตุใดหลี่เสี่ยนยิ่งมองก็รู้สึกว่าดวงตาของเด็กคนนี้เหมือนตนเองยิ่งนัก จนอดไม่เอื้อมมือไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาไม่ได้ แม้มีบุตรธิดาหลายคนแล้ว แต่หลี่เสี่ยนผู้ไม่เคยสนใจพวกเขาเป็นพิเศษโดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่นับว่าเคยเป็นบิดาจริงๆ ดังนั้นสำหรับเขาแล้วการอุ้มทารกน้อยคนนี้จึงยากเย็นเสียยิ่งกว่าถือหอกดาบ
ร่างกายทารกอันนุ่มนิ่มบอบบางทำให้หลี่เสี่ยนมือไม้สับสน เกรงว่าใช้เรี่ยวแรงมากเกินไปจะทำเขาบาดเจ็บ แต่เด็กน้อยผู้นี้ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม เขาคล้ายจะมองความลำบากของหลี่เสี่ยนออกจึงหัวเราะคิกคักไม่หยุด หลี่เสี่ยนยิ่งนึกชอบใจจนอดชูมือยกเขาขึ้นสูงไม่ได้
องค์หญิงฉางเล่อร้องอย่างตกใจ “พี่หก ท่านอย่าทำเซิ่นเอ๋อร์ตกใจกลัว”
ผู้ใดจะคิดว่าทารกน้อยผู้นั้นไม่เพียงไม่กลัว ตรงกันข้ามกลับหัวเราะร่า ดวงตาสุกใสเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสงสัยใคร่รู้ หัวใจของหลี่เสี่ยนมีความอบอุ่นสายหนึ่งผุดพราย ทารกตัวน้อยผู้นี้นำพาความรู้สึกของการเป็นบิดาที่หลี่เสี่ยนไม่เคยสัมผัสมามอบให้เป็นครั้งแรก
ครอบครัวของจักรพรรดิแต่เดิมก็ผูกพันกันเพียงเบาบาง แล้วยิ่งในอดีตเขาไม่ปรองดองกับฉินเจิง หลี่เสี่ยนจึงมิได้สนใจหลี่หลินผู้เป็นบุตรภรรยาเอกของเขามากนัก จนกระทั่งฉินเจิงตายจากไป หลี่เสี่ยนนึกละอายจึงให้ความสำคัญกับหลี่หลินขึ้นมา แต่เนื่องจากความห่างเหินในอดีตกับความทุกข์ในใจของเขา หลี่เสี่ยนจึงเหมือนเป็นแม่ทัพ เป็นอาจารย์คนหนึ่งของหลี่หลิน แต่มิใช่บิดา เขาใส่ใจสั่งสอนหลี่หลิน หวังว่าแม้เด็กน้อยคนนี้มิได้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง ก็ยังให้สืบทอดวิชาของตน กลายเป็นแม่ทัพผู้ยอดเยี่ยมได้
แต่กับหลานชายตัวน้อยคนนี้ หลี่เสี่ยนนึกรักจากหัวใจ จนชั่วขณะยังนึกชังที่เด็กน้อยผู้นี้มิใช่บุตรของตน หลี่เสี่ยนผู้มีแต่การรบราฆ่าฟันและหมดอาลัยในชีวิตมาตลอดหลายปี เกิดความกระหายอยากมีชีวิตผุดพรายขึ้นมาใหม่เป็นครั้งแรก
หลี่หลินมองบิดาอย่างตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นบิดามีความสุขเช่นนี้มาก่อน เวลานี้เขาอยากสัมผัสความอบอุ่นจากอ้อมกอดของบิดาแทนที่ทารกน้อยผู้นั้นยิ่งนัก ตอนนี้เอง มือข้างหนึ่งพลันลูบศีรษะของเขาแผ่วเบา เขาเงยหน้ามองก็เห็นบัณฑิตรูปงามอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่งกำลังอมยิ้มมองตนด้วยแววตาอ่อนโยน หลี่หลินรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อคลอ เขารีบเบี่ยงหน้าหลบ มิอยากให้ผู้ใดมองเห็นความอ่อนแอของตน
ความสงสารจางๆ ปรากฏในดวงตาของบัณฑิตรูปงามอาภรณ์สีเขียวผู้นั้น ก่อนที่เขาจะหันกลับไปยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาละ องค์ชายเลิกแกล้งเซิ่นเอ๋อร์ได้แล้ว หากทำเขาตกใจกลัวเข้า เจินเอ๋อร์คงปวดใจ”
หลี่เสี่ยนส่งทารกคืนองค์หญิงฉางเล่ออย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วหัวเราะเยาะ “ท่านมิต้องเสแสร้งวางท่าหรอก ข้าเคยได้ยินพี่สะใภ้กับรัชทายาทบอกอยู่ว่าในอดีตผู้ที่ชอบกลั่นแกล้งโหรวหลันที่สุดก็คือท่าน ไม่เคยเห็นบิดาเช่นนี้มาก่อน รู้จักแต่รังแกบุตรธิดา มิสู้ยกเซิ่นเอ๋อร์ให้ข้าเสียเถอะ จะได้มิต้องถูกบิดาแย่ๆ ผู้นี้กลั่นแกล้ง”
ข้าฟังจบก็ฉุนเฉียวจนจมูกเกือบเบี้ยว ฉีอ๋องผู้นี้ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็ชอบหาเรื่องข้าเห็นเป็นเรื่องสนุก ทุกครั้งที่พบกันไม่เคยลืมสร้างความเดือดร้อนให้ ข้ายกสองแขนกอดอกแล้วยิ้มเย็นชา “บุตรชายคนนี้ย่อมยกให้ท่านมิได้ แต่ดีเลวท่านก็เป็นลุงของเขา เอาเช่นนี้เถิด หากหลังจากนี้ท่านแต่งพระชายาแล้วให้กำเนิดท่านหญิงสายตรงออกมาสักคน ข้าจะให้เซิ่นเอ๋อร์เรียกท่านว่าพ่อตาเป็นเช่นไร”
หลี่เสี่ยนฟังจบ แรกเริ่มก็สีหน้าดำทะมึน เขาละอายใจกับเรื่องฉินเจิงจึงไม่เพียงขับไล่อนุภรรยาออกไป แต่ยังปฏิเสธการแต่งงานด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้คนมากมายต่างรู้ เขาย่อมมิคิดว่าเจียงเจ๋อจะไม่รู้ ในใจย่อมรู้สึกโกรธเคืองอยู่บ้าง
แต่มิรู้อย่างไร ผ่านไปครู่หนึ่งเขากลับค่อยๆ รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว หากเจียงเซิ่นคนนี้มาเป็นลูกเขยของตน ลูกเขยก็นับว่าเป็นลูกอยู่ครึ่งหนึ่ง เท่านั้นตนก็พอใจแล้ว
ทว่าตอนนี้ถึงตนจะมีลูกสาวอยู่คนสองคน เป็นลูกอนุภรรยายังไม่ว่า แต่อายุยังมากกว่าเจียงเซิ่นอยู่มาก หากอยากได้เจียงเซิ่นเป็นลูกเขยก็คงต้องมีบุตรสาวเพิ่มอีกสักคนจริงๆ เจียงเจ๋อจะให้ตนแต่งพระชายาใหม่เพื่อให้กำเนิดบุตรสาวจากภรรยาเอกก็ไม่นับว่าเกินไปนัก ถึงอย่างไรเจียงเซิ่นก็เป็นบุตรคนโตขององค์หญิงฉางเล่อ อีกทั้งบิดาของเขาก็ยังเป็นบุคคลเช่นนี้ การแต่งงานครั้งนี้คงจะมีหลายคนสนใจ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจหลี่เสี่ยนก็รู้สึกว่าเพื่อลูกเขยคนนี้ ตนคงต้องแต่งพระชายาสักคนจึงจะสมควร อีกประการหนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้บ้านไม่มีผู้ดูแลเรื่องในครอบครัว บุตรธิดาที่เกิดจากอนุภรรยาเหล่านั้นต่างไม่มีผู้ใดสั่งสอน เพียงปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามยถากรรม หากมีพระชายาผู้มีคุณธรรมสักคนดูแลแทนตน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าช่วยลดความยุ่งยากให้ตนได้ อีกทั้งจะไม่ถ่วงเวลาอนาคตของบุตรธิดาเหล่านั้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้มาเห็นครอบครัวของเจียงเจ๋ออยู่ร่วมกันอย่างสุขสันต์ หลี่เสี่ยนก็อดรู้สึกละอายใจเล็กน้อยไม่ได้ ในใจนึกถึงคำว่าปกครองบ้านเสมือนปกครองเมือง ตนเองแม้แต่ครอบครัวยังปล่อยให้ยุ่งเหยิงไปหมดเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จะพ่ายแพ้ฝ่าบาท ความคับแค้นที่พ่ายแพ้การชิงบัลลังก์ซึ่งเป็นปมในใจมาเนิ่นนานคลายออกเล็กน้อย
เมื่อความยึดติดในใจมลาย สมองของหลี่เสี่ยนก็เฉียบแหลมขึ้นมาทันใด เขานึกได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมครั้งหนึ่ง จึงรีบเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันแล้ว หากข้ามีบุตรีจากภรรยาเอก อนาคตเซิ่นเอ๋อร์จะต้องเป็นลูกเขยของข้า”
ข้ามองบุตรรักแล้วคิดในใจ ลูกชาย เจ้าอย่าโทษข้าที่กำหนดเรื่องสำคัญชั่วชีวิตให้เจ้าตามใจเลยนะ เกิดเป็นบุตรชายข้า เรื่องการแต่งงานนี่เกรงว่าคงมิอาจให้เจ้าตัดสินใจเองได้ ต่อให้ข้าไม่ยุ่งก็คงมีคนใส่ใจอยู่ดี
แม้ฉีอ๋องจะนิสัยดื้อรั้นแต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง บุตรีของเขาก็น่าจะโดดเด่นอย่างยิ่ง แต่เพื่อความสุขของเจ้า ข้าจะเพิ่มทางเลือกไว้ให้เจ้าสักสองสามสามทางก็แล้วกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าจึงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี หมั้นหมายตั้งแต่ยังไม่เกิดมิใช่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ข้าก็ไม่อยากให้เซิ่นเอ๋อร์รู้สึกไม่เป็นธรรมเช่นกัน เอาเช่นนี้เถิด อนาคตท่านให้กำเนิดบุตรีมาเพิ่มสักหลายๆ คน ให้เซิ่นเอ๋อร์เป็นคนเลือกเองเป็นอย่างไร”
หลี่เสี่ยนไม่ถือสาหากวันหน้าบุตรีของตนเองจะเป็นฝ่ายถูกผู้อื่นเลือก จึงตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านกับข้าประสานมือสาบาน สัญญาครั้งนี้มีแขกมากมายเป็นพยาน ฉางเล่อก็อยู่ด้วย สัญญาหมั้นหมายครั้งนี้ท่านจะบิดพลิ้วมิได้นะ”
ข้ายิ้มละไม ในใจคิดว่าหากวันหน้าเซิ่นเอ๋อร์มีคนในใจคนอื่น อย่างมากที่สุดก็ไล่เขาออกจากตระกูลให้เขาเป็นอิสระก็เท่านั้น หากเขาไม่รักชื่อเสียงลาภยศ ข้ามีแต่จะดีใจ จะกล่าวโทษเขาหรือ อีกอย่างหนึ่ง กล่าวกันว่าคบหาแต่เยาว์วัย ผูกพันยาวนานย่อมเกิดความรัก วันหน้าเซิ่นเอ๋อร์กับบุตรีของฉีอ๋องคงมีโอกาสพบหน้ากันทุกวัน หากสาวน้อยคนนั้นยังไม่มีความสามารถทำให้เซิ่นเอ๋อร์หวั่นไหวได้ ถ้าเช่นนั้นย่อมมาโทษข้ามิได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ข้าก็ยกฝ่ามือขึ้น เอ่ยว่า “ไม่บิดพลิ้วแน่นอน หากองค์ชายมีบุตรีจากภรรยาเอกผู้เหมาะสมกันกับเซิ่นเอ๋อร์ การแต่งงานนี้ต่อให้องค์ชายไร้ประสงค์ เจียงเจ๋อก็จะเป็นผู้ไปสู่ขอถึงประตูเอง นอกเสียจากว่าเซิ่นเอ๋อร์มิใช่บุตรของข้า การแต่งงานครั้งนี้ก็ตกลงแน่นอนแล้ว”
แม้หลี่เสี่ยนจะเป็นเลิศในทางกลศึก แต่เขาย่อมมิใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยในถ้อยคำเช่นนี้ เขายกมือขึ้นประสานฝ่ามือสาบานกับข้า ตกลงสัญญาหมั้นหมายตั้งแต่ยังไม่เกิดครั้งนี้
แขกสูงศักดิ์ในหอเห็นเจียงเจ๋อกับหลี่เสี่ยนประสานมือสาบานก็มีความคิดแตกต่างกันไป หลินปี้ตะโกนในใจว่าไม่ดีแล้ว หากฉีอ๋องปรับความเข้าใจกับชนชั้นสูงของต้ายงได้ด้วยเหตุนี้ ไยมิใช่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเป่ยฮั่นของข้า แต่นางไม่เผยสีหน้า เพียงยิ้มละไมเอ่ยแสดงความยินดี
ฝ่ายหลี่คังในใจรู้สึกถึงเพลิงโทสะลุกโชติช่วง เขาไม่ต้องการเห็นฉีอ๋องกดหัวตนเองอีก จนแม้แต่เจียงเจ๋อเขาก็พานนึกชิงชังอย่างยิ่งไปด้วย ทว่าเมื่อทบทวนอีกครั้ง เรื่องความรักชายหญิงเช่นนี้มิใช่ว่าบอกว่ามีก็จะมี มิใช่ว่าตนเองจะไม่มีโอกาสทำลายเรื่องดีงามของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เผยท่าทีอันใดออกไป
กลับเป็นโก่วเหลียนที่ในใจรู้สึกยินดีอย่างแท้จริง ในใจคิดว่าแม้ฉีอ๋องมีนิสัยดื้อรั้น แต่ฝ่าบาทก็รักและนับถือเขาจริงๆ ในเมื่อเขารับปากจะแต่งพระชายาแล้ว ถ้าเช่นนั้นนี่ย่อมเป็นโอกาสดีในการซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับฉีอ๋อง เจียงเจ๋อช่างร้ายกาจจริงๆ เพียงเอ่ยไม่กี่คำก็คลี่คลายปัญหาหนักหนาเช่นนี้ได้แล้ว หากฝ่าบาททรงทราบ ไม่รู้ว่าจะดีพระทัยมากเพียงไร