ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 37 ภัยร้ายแรง (2)
แสงแรกเพิ่งส่องทะลุเมฆหนา ทุ่งกว้างเงียบสงัดถูกเสียงกีบเท้าม้าดังกังวานกับเสียงล้อรถม้าปลุกให้ตื่น บนถนนหลวงอันกว้างขวาง รถม้าสี่ล้อที่มีม่านสีเขียวปิดอยู่ด้านนอกคันหนึ่งแล่นไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วท่ามกลางการคุ้มกันของทหารม้าสี่ร้อยกว่านาย
ทหารม้าสี่ร้อยกว่านายนี้แบ่งออกเป็นสี่กอง กองหนึ่งอยู่หน้า กองหนึ่งคุมท้าย อีกสองกองคุ้มกันฝั่งซ้ายขวาของรถม้า ชุดเกราะของพวกเขาแบ่งออกเป็นสองสี ทหารม้าสองกองที่คุ้มกันรถม้า กองหนึ่งชุดเกราะสีดำสนิท ส่วนอีกกองหนึ่งชุดเกราะสีแดง ฝ่ายทหารม้าสองกองด้านหน้ากับด้านหลังล้วนสวมชุดเกราะสีแดง
หากผู้ที่รู้รายละเอียดภายในกองทหารต้ายงเป็นอย่างดีเห็นเข้าจะต้องฉงนงงงวยเป็นแน่ เพราะกองทัพต้ายงมิว่าจะเป็นกองทหารของผู้ใด โดยพื้นฐานแล้วต่างสวมชุดเกราะสีเขียว เขียวครามเกือบเป็นสีดำ กองทหารอื่นไม่มีทางสวมชุดเกราะสีดำล้วนเป็นอันขาด เว้นแต่กองทหารกองหนึ่ง กองทหารกองนั้นก็คือกองทัพองครักษ์ของยงอ๋อง นอกเหนือจากนั้น องครักษ์ของฉีอ๋องจะสวมชุดเกราะสีแดง ขณะที่กองทัพองครักษ์ของฉินอี๋ชอบสวมชุดเกราะสีขาว ส่วนกองทหารราชองครักษ์สวมชุดเกราะสีเหลือง
วันนี้ยงอ๋องขึ้นครองราชย์แล้ว กองทหารราชองครักษ์แต่เดิมเปลี่ยนนามเป็นกองราชองครักษ์หลงเสียงยังคงรับผิดชอบคุ้มกันเมืองหลวง ส่วนกองทัพองครักษ์เดิมของยงอ๋องเปลี่ยนนามเป็นกองราชองครักษ์หู่จีรับหน้าที่พิทักษ์พระราชวังและครอบครองนามกองทหารราชองครักษ์ไปพร้อมกัน
อาภรณ์ของกองราชองครักษ์หู่จียังคงเป็นสีดำ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบเพราะหน้าที่รับผิดชอบอารักขาโอรสสวรรค์ ยามนี้ในอาณาเขตต้ายงผู้ใดมิทราบบ้างว่า นอกจากกองทหารราชองครักษ์ ชุดเกราะสีดำมิใช่ผู้ใดจะสวมใส่ได้
ถ้าเช่นนั้นทหารม้าเกือบร้อยนายกองนี้ย่อมต้องเป็นกองราชองครักษ์หู่จีซึ่งเป็นองครักษ์ข้างพระวรกายที่จักรพรรดิแห่งต้ายงหลี่จื้อไว้วางพระทัยเท่านั้น แต่ผู้ที่อารักขารถม้าด้วยกันกับพวกเขากลับเป็นองครักษ์ของฉีอ๋อง สิ่งที่ทำให้คนนึกฉงนสงสัยก็คือฐานะของคนในรถม้าคันนี้
ข้าหัวเราะพลางมองฉีอ๋องที่ขมวดคิ้วเป็นปมอยู่ แล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ครั้งนี้ข้าขอให้ตงไห่โหวช่วยเหลือ ปิดกั้นตงไห่ครึ่งเดือน หลินปี้ไม่มีโอกาสส่งสารกลับไปล่วงหน้าได้แน่ อาศัยกองกำลังของพวกเรากองนี้น่าจะเดินทางกลับค่ายใหญ่ขององค์ชายได้อย่างปลอดภัย เหตุใดองค์ชายยังกลัดกลุ้มกังวลอีกเล่า”
ฉีอ๋องถอนหายใจตอบว่า “ข้าเองก็เชื่อว่าชาวเป่ยฮั่นไม่มีหนทางแจ้งข่าวออกไปได้ จนกระทั่งถึงเมื่อวานข้าเพิ่งทราบว่าท่านเชิญหลินปี้มาก็เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของเป่ยฮั่น แล้วค่อยใช้อำนาจของตงไห่โหวช่วยเหลือเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพเป่ยฮั่นได้ข่าวสารล่วงหน้าแล้วดักสังหารพวกเราระหว่างทาง
ถึงกระนั้นถนนเส้นนี้ก็อยู่ห่างชายแดนเพียงไม่กี่สิบลี้ หากทหารม้าเป่ยฮั่นซุ่มโจมตีกลางทาง พวกเราคงยากรอดชีวิต แถวชายแดนแถบนี้กำลังทหารของต้ายงมิใช่จะเหนือกว่าอย่างแน่นอน ข้าเองก็มิอาจเคลื่อนกองทหารจำนวนมากมาคุ้มกันเพราะต้องป้องกันไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น หรือถูกคนฉวยโอกาส
ยังดีข้านำองครักษ์คนสนิทมาสามร้อยนาย เสด็จพี่ส่งองครักษ์คนสนิทจากกองราชองครักษ์หู่จีมาอีกหนึ่งร้อยนาย มีทหารม้าสี่ร้อยนายนี้ ต่อให้พบศัตรูเข้า พวกเราก็ยังหาโอกาสฝ่าวงล้อม หรือตั้งมั่นรอกองหนุนได้ อีกทั้งหากไม่มีเวลาวางแผนการสักหลายวัน ข้าไม่เชื่อว่าเป่ยฮั่นจะวางตาข่ายล้อมฟ้าได้”
กล่าวถึงตรงนี้ ฉีอ๋องพลันหลุดหัวเราะเ อ่ยว่า “กล่าวไปแล้วท่านกับฝ่าบาทก็รอบคอบนัก ผู้ใดจะคิดว่ากองราชองครักษ์หู่จีจะมารอที่ปินโจวอยู่ก่อนแล้ว มิหนำซ้ำเมื่อปรมาจารย์ซือเจินมาถึง หลินปี้จากไป ท่านก็ออกเดินทางทันที เกรงว่าตอนนี้หลินปี้คงยังรั้งท้ายอยู่ด้านหลังพวกเราเลยกระมัง ต่อให้ตอนนี้หลินปี้ส่งข่าวกลับไปก็มิทันกาลแล้ว”
ข้าอดมิได้ ถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดองค์ชายยังกลุ้มใจอีกเล่า หรือว่าเป็นห่วงหลี่หลิน มีเจินเอ๋อร์ดูแลเขา ท่านยังไม่วางใจอีกหรือ หลินเอ๋อร์อายุยังน้อย ต่อให้ใจร้อนอีกเท่าใดก็มิอาจให้เขาลงสนามรบตอนนี้ได้ ครั้งนี้ให้เขาตามเจินเอ๋อร์กลับเมืองหลวง ท่านมิต้องเป็นห่วง ระหว่างทางมีปรมาจารย์ซือเจินคุ้มกันเชียวหนา”
หลี่เสี่ยนขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วตอบว่า “ข้าทราบว่าฉางเล่อจะดูแลหลินเอ๋อร์เป็นอย่างดี เดิมทีข้าก็ไม่กังวล แต่มิทราบเพราะอะไร ข้าจึงรู้สึกอยู่ตลอดว่าพวกเรามองข้ามสิ่งใดไป แม้พวกเราตัดช่องทางข่าวสารระหว่างหลินปี้กับเป่ยฮั่นชั่วคราวแล้ว แต่เป่ยฮั่นก็มียอดฝีมือของพรรคมารอยู่ หากพวกเขาได้รับข่าวแล้ว ข้ากังวลว่าพวกเขาจะซุ่มดักสังหารกลางทาง สุยอวิ๋น ท่านมิเป็นวรยุทธ์ หากพบกองทัพศัตรูขึ้นมา ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน”
ข้าหัวเราะเบาๆ “อันตรายเพียงเท่านี้อย่างไรก็ต้องเผชิญ นี่เป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุด หวดแส้แร่งอาชา ภายในห้าหกวันก็บรรลุถึงค่ายใหญ่ ถึงเวลามีกองทัพสามสิบหมื่นคุ้มครอง องค์ชายก็มิต้องกังวลใจแล้ว ต่อให้พบกองทัพศัตรู มีองค์ชายบัญชาการต้านศัตรู เจียงเจ๋อย่อมวางใจ อีกประการหนึ่ง เสี่ยวซุ่นจื่อก็ติดตามกองทัพมาด้วย หากย่ำแย่ถึงที่สุดก็ยังคุ้มกันข้าฝ่าวงล้อมไปได้”
คิ้วของหลี่เสี่ยนคลายออกเล็กน้อย กล่าวไปแล้วก็แปลก แต่เดิมเขาคิดว่าแผนการของเจียงเจ๋อรัดกุมยิ่งนัก แต่ตลอดทางหลี่เสี่ยนกลับสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางประการ แถบนี้เดิมทีมักมีทหารลาดตระเวนของเป่ยฮั่นเตร็ดเตร่อยู่ แต่การเดินทางครั้งนี้กลับไม่พบเลยสักคน สิ่งนี้ทำให้หลี่เสี่ยนรู้สึกถึงอันตรายราวกับสายลมพัดโหมก่อนพายุฝนจะมา
เวลานี้เองก็มีคนรายงานจากนอกตัวรถ “องค์ชาย ท่านเจียง บางอย่างผิดปกติ ทหารสอดแนมที่ส่งไปไม่ติดต่อกลับมา”
หลี่เสี่ยนขมวดคิ้วจนเป็นปมแล้วสั่งว่า “ด้านหน้าภูมิประเทศเป็นที่ราบ เหมาะเป็นสนามรบให้ทหารม้าสำแดงดช ไม่ป้องกันมิได้ ส่งคนไปสองคน มิต้องขี่ม้า ไปดูข้างหน้าสักหน่อย” องครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องสองนายลงจากม้า ถอดชุดเกราะหนักอึ้งเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดา จากนั้นเร้นกายเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง พริบตาเดียวก็หายไปจากสายตาของข้า
ข้ามองรอบด้านผ่านหน้าต่าง เห็นเพียงทิวทัศน์ของสารทฤดู หญ้าแห้งสองข้างทางสูงท่วมหัวคน ลมใบไม้ร่วงพัดหอบหนึ่งก็ไหวเป็นเกลียวคลื่น เมื่อผนวกกับถนนเส้นนี้ภูมิประเทศอยู่ค่อนข้างสูง สองข้างทางลาดเอียงลงสู่เบื้องล่าง ต่อให้ซ่อนพันทหารหมื่นอาชาเอาไว้ก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็น
ในใจข้าหนาวสะท้านอย่างมิอาจห้าม หรือว่าจะมีทหารซุ่มอยู่จริง ข้าสร้างตัวหลอกมากมายเช่นนั้น หวังให้พวกเขาคิดว่าข้ากำลังเตรียมตัวกลับฉางอัน ทั้งหมดกลับสูญเปล่าหรือ แต่ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ พวกเขาจะเตรียมการดักซุ่มได้เช่นไร แม้ตอนนี้ชายแดนฝั่งต้ายงแทบไม่มีการวางกำลังป้องกันทหารเป่ยฮั่น แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้ามาเคลื่อนไหวในดินแดนของต้ายงได้โดยไม่ได้วางแผนการไว้อย่างรอบคอบ
เวลานี้เอง ด้านหน้าพลันมีเสียงนกหวีดทองแดงแหลมสูงดังขึ้น หัวใจข้าสั่นไหว นี่คือสัญญาณเตือนที่ทหารสอดแนมส่งมา ในเมื่อพวกเขาไม่ได้กลับมาเงียบๆ ก็เป็นไปได้ว่าคงพบอันตรายใหญ่หลวงเข้าแล้ว ดูท่ามิใช่มีเพียงทหารซุ่มอยู่ แต่น่ากลัวว่าจำนวนจะมหาศาลมากอีกด้วย
ฉีอ๋องได้ยินเสียงสัญญาณเตือน คิ้วกระบี่พลันเลิกสูงแล้วกระโดดลงจากรถม้า เขาพลิกกายขึ้นอาชาศึกสีแดงเพลิงตัวหนึ่ง ทหารม้าคุ้มกันล้วนเป็นพลทหารที่ฝึกฝนมาอย่างเป็นระเบียบ ไม่นานก็จัดกระบวนทัพเตรียมประจันศัตรูฝ่าวงล้อม เสี่ยวซุ่นจื่อที่รับผิดชอบขับรถม้ามาตลอดทางเผยสีหน้ากังวล เขาตรวจสอบรถม้าที่บังคับอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเสียงเบา “คุณชาย รถม้าช้าเกินไป น่าจะตามไม่ทัน พวกเราจะทำเช่นไร”
เมื่อเผชิญอันตราย ข้ากลับนิ่งสงบแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “เจ้ากับข้าล้วนไม่สันทัดการบัญชากองทัพในสนามรบ เรื่องเหล่านี้ย่อมมีฉีอ๋องคอยกังวล รถม้าคันนี้สร้างมาจากเหล็กกล้า ตัวรถสี่ด้านยังฝังแผ่นเหล็กเอาไว้ ขอเพียงคุ้มกันรถม้าไว้ได้ย่อมมิต้องกังวลความปลอดภัยของข้า ประเดี๋ยวเจ้าจงเชื่อฟังคำสั่งขององค์ชาย สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าหากไม่ใช้แผนการเหนือคาดเอาชนะ พวกเราคงล้วนตายอยู่ที่นี่”
เวลานี้ฉีอ๋องบัญชาให้เปลี่ยนเส้นทางวิ่งกลับไปในเขตของต้ายงแล้ว ดูท่าเขาคงคิดไปรวมตัวกับกองทหารต้ายงที่เฝ้าพิทักษ์แถวนี้ ในตอนนี้เอง เสียงเป่าเขาสัตว์พลันดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ ข้ายกแผ่นเหล็กด้านในหน้าต่างรถขึ้นปิด แล้วมองลอดหน้าต่างน้อยเหนือประตูรถออกไปด้านนอก จึงเห็นทหารม้าเป่ยฮั่นผู้รวดเร็วดั่งสายลมปรากฏขึ้นในลานสายตา คนดั่งพยัคฆ์ อาชาดั่งมังกร พวกเขาพุ่งทะยานมาจากทั่วทุกทิศ ไม่นานก็โอบล้อมกองทหารกองนี้ของพวกเราแต่ไกล
ข้าคำนวณในใจเล็กน้อย ทหารฝ่ายศัตรูอย่างน้อยก็มีมากกว่าสามพันนาย นี่มิใช่ความบังเอิญเป็นแน่แท้ กองทหารลาดตระเวนของเป่ยฮั่นที่เตร็ดเตร่เข้ามาในเขตแดนของต้ายง ปกติแล้วจะเป็นทหารม้ากองเล็กราวหนึ่งร้อยคน เวลานี้ข้าจึงเห็นธงผืนใหญ่พื้นดำอักษรแดงที่ตั้งตรงอยู่ด้านหน้า บนนั้นเขียนอักษรคำว่า “สือ” ตัวใหญ่อยู่หนึ่งตัว
“แม่ทัพเฟยหู่สืออิง” ข้าได้ยินฉีอ๋องตวาดเสียงดัง “เจ้ากล้าลอบเข้ามาทำตัวเหิมเกริมในอาณาเขตต้ายงของข้า ไม่เห็นต้ายงของข้าอยู่ในสายตาหรือไร”
แม่ทัพวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปี ใบหน้าซูบผอม สีหน้าเย็นชาผู้อยู่ใต้ธงผืนใหญ่ตะโกนเสียงดัง “เป่ยฮั่นกับต้ายงเป็นอริราชศัตรู ฉีอ๋องมิรู้จักรักษาตัวเอง เอาตัวมาเสี่ยงอันตราย ย่อมกล่าวโทษผู้แซ่สือมิได้ วันนี้ท่านไม่มีหนทางรอดแล้ว หากลงจากอาชาแล้วยอมแพ้ บางทีข้าอาจเห็นแก่ฐานสูงศักดิ์ของท่าน ไม่เอาชีวิตท่าน”
ข้างกายแม่ทัพผู้นั้นมีพลทหารสวมชุดเกราะเป่ยฮั่นอยู่คนหนึ่ง หน้ากากบนหมวกเกราะปิดลงมาจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเขา ข้าอาศัยสายตาอันเป็นเลิศมองเห็นว่าพลทหารนายนั้นกำลังชี้มาทางรถม้าของข้าแล้วเอ่ยอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นข้าก็เห็นสายตาของแม่ทัพวัยกลางคนผู้นั้นเคลื่อนมาจับบนรถม้า ยามสายตาเย็นเฉียบนั่นกวาดผ่านไป ข้าพลันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
ทันใดนั้นแม่ทัพวัยกลางคนผู้นั้นก็ตะโกนเสียงดัง “ไพร่พลทั้งหลาย สังหารหลี่เสี่ยน จับเชลยบนรถม้าคันนั้น ผู้ใดนำหัวหลี่เสี่ยนมาให้ข้าได้ ตกรางวัลทองคำร้อยชั่ง ผู้ใดจับคนบนรถม้าคันนั้นมาให้ข้าได้ ตกรางวัลทองคำพันชั่ง”
หลังจากนั้นแม่ทัพวัยกลางคนผู้นั้นก็ปิดหน้ากากบนหมวกเกราะ แหลนอาชาในมือชูขึ้นสูงแล้วพุ่งนำลงมา ฝ่ายฉีอ๋องหลี่เสี่ยนยิ้มหยัน ชี้ดาบชั้นเลิศในมือไปด้านหน้าแล้วตวาดเสียงดัง “ฝ่าวงล้อม”
เขากล่าวจบ ข้าก็สัมผัสได้ว่ารถม้าเริ่มวิ่งอย่างรวดเร็ว ข้ารีบคว้าที่จับบนผนังรถไว้แน่น หน้าต่างน้อยบนบานประตูถูกเสี่ยวซุ่นจื่อปิดจากด้านนอก ด้านในตัวรถมืดสนิท ข้ามองไม่เห็นสนามรบด้านนอก แต่สัมผัสได้ถึงเสียงโห่ร้องและเสียงเข่นฆ่าที่ดังสะเทือนจนแก้วหูแทบดับอยู่รอบด้าน
เวลานี้ข้าลอบยิ้มจืดเจื่อน ข้าคิดออกหลายเรื่องนัก เหตุใดหลินปี้อยู่ด้านหลังพวกเราแท้ๆ แต่ทหารดักซุ่มเหมือนจะรออยู่นานแล้ว เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวก็เพราะข้าประเมินคนผู้หนึ่งผิดไป
ลู่ช่าน เป็นได้เพียงลู่ช่านเท่านั้น เขาไปพบหลินปี้ มิใช่เพื่อเจรจาเป็นพันธมิตรหรือสิ่งอื่นใด แต่เพื่อทำข้อตกลงอย่างหนึ่งกับหลินปี้ หนานฉู่รับผิดชอบส่งข่าว เป่ยฮั่นรับผิดชอบซุ่มโจมตี มิว่าข้าปราดเปรื่องมากกลอุบายเช่นไร เมื่อเผชิญหน้ากับพันทหารหมื่นอาชาก็มีจุดจบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หลินปี้กับลู่ช่านต่างเข้าใจหลักการใช้ความทื่อตรงชนะกลอุบาย
กล่าวไปแล้วก็แปลก เดิมทีข้าสมควรโศกเศร้าที่ลู่ช่านลูกศิษย์คนแรกในชีวิตข้ากลับใจอำมหิตเช่นนี้ หมายจะส่งข้าอาจารย์ผู้นี้ลงไปยังปรโลก แต่ในใจข้ากลับยินดีอยู่เลือนราง ในความเห็นของข้า แต่เดิมลู่ช่านขาดความอำมหิตกับความดันทุรังอยู่เล็กน้อย เขาในตอนนี้ ข้ากล่าวได้แล้วว่าเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของข้า ข้าฟังเสียงด้านนอกอยู่เงียบๆ ข้าทราบว่าในที่แห่งนี้ข้าไร้ประโยชน์ หากตายอยู่ที่นี่ มิรู้จะกลายเป็นเรื่องตลกหรือไม่