ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 4 นินทาเรื่องลับในประวัติศาสตร์ (2)
หลินถงฟังอย่างเพลิดเพลิน อดถามไม่ได้ว่า “ร่างกายของใต้เท้าเจียงผู้นั้นย่ำแย่ปานนั้น แล้วจะคิดอุบายวางแผนการให้ยงอ๋องได้เช่นไร แล้วไล่ต้อนจนเจ้าสำนักเฟิงอี้ตายได้อย่างไร”
หวังจี้ถอนหายใจเอ่ยว่า “ผู้น้อยก็ไม่ทราบว่าใต้เท้าเจียงออกอุบายวางแผนการให้ยงอ๋องเช่นไร แต่ได้ยินคนเล่าว่าใต้เท้าเจียงช่วยยงอ๋องปราบกบฏเสร็จ ร่างกายก็ซูบเซียวจนเป็นกระดูกเดินได้ จอนผมสองข้างดั่งหิมะ ไอเป็นเลือดเป็นระยะ มีคนกล่าวว่าใต้เท้าน่าจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว”
หลินปี้ฟังถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ช่างทุ่มเทสุดกำลังมิหวั่นตัวตาย น่าเสียดายคนผู้นี้มิได้อยู่ที่เป่ยฮั่นของข้า ท่านเล่าต่อเถิด”
หวังจี้จึงเล่าต่อ “ยามนั้นเจียงเจ๋อก็อยู่ที่พระราชวังเลี่ยกงด้วย แล้วตัวเขายังป่วยหนัก แต่เขานี่เองเป็นผู้มองแผนร้ายของรัชทายาทออกทันเวลาจนทำให้ยงอ๋องมิได้ตายเปล่าในเงื้อมมือคนถ่อย ยามยงอ๋องต้องฝ่าวงล้อม แม้มิอาจพาผู้ใดไปด้วยได้ทั้งสิ้นก็ยังยืนกรานจะพาเขาไปให้ได้ แต่ใต้เท้าเจียงกลับเป็นฝ่ายขออยู่ต่อ ผู้ที่ให้ที่ซ่อนแก่ใต้เท้าเจียงก็คือองค์หญิงฉางเล่อ”
หลินถงกลอกตา แล้วเอ่ยว่า “เหตุใดองค์หญิงฉางเล่อจึงช่วยซ่อนเขาเล่า หรือว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลับกัน”
หวังจี้ลังเลครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เรื่องนี้ผู้น้อยก็ตอบมิได้ องค์หญิงฉางเล่อเคยเป็นมารดาของแผ่นดินหนานฉู่ ใต้เท้าเจียงเคยเป็นขุนนางหนานฉู่ องค์หญิงฉางเล่อเก็บตัวอยู่ในวังมาหลายปี ใต้เท้าเจียงน้อยครั้งจะเข้าประชุมขุนนาง ตามหลักแล้วทั้งสองคนไม่มีทางมีความสัมพันธ์ลับกันได้ ต่อมามีคนกล่าวว่าหลังจากองค์หญิงฉางเล่อมาอยู่ที่หนานฉู่ ชื่นชอบบทกวีและบทประพันธ์เป็นที่สุด บทกวีของใต้เท้าเจียงเป็นเอกในใต้หล้า องค์หญิงฉางเล่อรักบทกวีของใต้เท้าเจียงเป็นที่สุด จึงน่าจะตกหลุมรักใต้เท้าเจียงด้วยเหตุนี้
ทว่าศักดิ์สูงต่ำแตกต่าง ฐานะราชวงศ์กับขุนนางกีดกั้นมิอาจก้าวข้าม ดังนั้นองค์หญิงฉางเล่อจึงมิยอมบอกจักรพรรดิต้ายงให้เรียกใต้เท้าเจียงมาเป็นราชบุตรเขย แต่เมื่อเกิดจลาจลขึ้นที่พระราชวังเลี่ยกง ใต้เท้าเจียงเดินทางมาขอความช่วยเหลือ องค์หญิงฉางเล่อมิว่าอย่างไรก็ย่อมต้องช่วยเขา ต่อมาใต้เท้าเจียงจึงวางแผนบัญชาการอยู่เบื้องหลัง ให้องค์หญิงไปรับราชโองการลับกับของแทนตัวมาจากจักรพรรดิต้ายง หลังจากนั้นใต้เท้าเจียงหาคนส่งราชโองการลับออกไป จนครั้งนั้นเรียกทหารมาช่วยองค์จักรพรรดิสำเร็จ”
หลินถงถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ใต้เท้าเจียงไปขอความช่วยเหลือจากองค์หญิง หรือว่าใต้เท้าเจียงจะทราบว่าองค์หญิงชอบเขา”
หวังจี้คลี่ยิ้ม “เรื่องนี้ผู้น้อยก็มิทราบชัด ความจริงมิว่าเป็นเช่นไร ใต้เท้าเจียงก็ทำได้เพียงไปขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงฉางเล่อ องค์หญิงฉางเล่อเป็นกลางมาตลอด หากรัชทายาทแห่งต้ายงกับยงอ๋องต่อสู้กัน บางทีองค์หญิงอาจไม่สอดมือเข้ายุ่ง แต่เมื่อเกี่ยวพันถึงจักรพรรดิ องค์หญิงผูกพันกับเสด็จพ่ออย่างลึกซึ้งย่อมมิอาจนิ่งดูดายมองรัชทายาทใช้กำลังบังคับเสด็จพ่อได้”
หลินถงถามอีก “ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าเจียงมิถูกคนหาตัวพบหรือ แล้วเขาส่งราชโองการลับออกไปได้อย่างไรเล่า”
สีหน้าของหวังจี้กลับกลายเป็นความเลื่อมใส ตอบว่า “ใต้เท้าเจียงหลบซ่อนตัวได้มิดชิดนัก อีกอย่างหนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่ากลุ่มกบฏเหล่านั้นมิสนใจบัณฑิตอ่อนแอผู้นี้ ส่วนผู้ที่ส่งต่อราชโองการ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนคิดไม่ถึงที่สุด เซี่ยโหวหยวนเฟิงเดิมเป็นพวกเดียวกับรัชทายาทและเข้าร่วมการก่อกบฏด้วย เล่ากันว่าเขากับหลู่จิ้งจงเส้าฟู่ประจำองค์รัชทายาทใกล้ชิดกันยิ่งนัก ดังนั้นจึงคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า คนผู้นี้จะอาศัยจังหวะไปแจ้งราชโองการปลอมแทนรัชทายาท นำราชโองการลับฉบับจริงออกไป
แต่เดิมเซี่ยโหวหยวนเฟิงมิใช่คนของยงอ๋อง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันทั่ว ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงถูกใต้เท้าเจียงเกลี้ยกล่อมสำเร็จ จนครั้งนี้เขากลับเนื้อกลับตัว สร้างความดีความชอบใหญ่หลวง วันนี้จึงได้รับความไว้วางใจยิ่งนัก แต่ความสามารถของใต้เท้าเจียงช่างทำให้คนเลื่อมใสอย่างแท้จริง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้ เขาก็ยังทำให้เป็นไปได้”
หลินถงพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ถ้าเช่นนั้นท่านรีบเล่าเรื่องที่เจียงเจ๋อไล่ต้อนเจ้าสำนักเฟิงอี้จนตายเร็วเข้า ข้ายังไม่เชื่อหรอกว่าเขามีความสามารถเช่นนั้น”
หวังจี้สีหน้ากระตือรือร้นขึ้นมาแล้วเริ่มเล่า “พูดถึงเรื่องนี้ ช่างทำให้คนนับถือหมดหัวใจจริงแท้ ใต้เท้าเจียงเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง เกรงว่านิ้วเดียวของเจ้าสำนักเฟิงอี้ก็คงสังหารเขาได้แล้ว วันนั้นสำนักเฟิงอี้ก่อกบฏล้มเหลว กบฏทั้งหมดถูกล้อมไว้ ดูเหมือนใกล้จะรวบตัวได้ทั้งหมด ทว่าผู้ใดจะคิดว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้กลับลอยลงมาจากฟ้า บุกเดี่ยวพร้อมกระบี่เล่มเดียว ยืนผงาดอยู่เหนือท้องพระโรง
ในท้องพระโรงนอกจากจักรพรรดิและชินอ๋อง ก็มีแต่ขุนนางคนสำคัญ แม่ทัพชื่อดังและยอดฝีมือจากยุทธภพทั้งสิ้น แต่เมื่อพวกเขาอยู่ต่อหน้าสตรีผู้เป็นอันดับหนึ่งของสามปรมาจารย์กลับต้องยอมก้มหัวถ้วนหน้า มิมีผู้ใดกล้าสบตาตรงๆ แต่ใต้เท้าเจียงบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ที่หายใจรวยริน กระอักเลือดใกล้ตายกลับเอ่ยวาจาหนักแน่น กังวานทรงพลัง ยอมเป็นหยกแหลกมิขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ ไล่ต้อนจนเจ้าสำนักเฟิงอี้ทำได้เพียงตกลงอยู่เป็นตัวประกัน แลกกับชีวิตศิษย์สำนักเฟิงอี้ทั้งหลาย ความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ผู้ใดเทียบได้บ้าง”
หลินถงกำลังจะอ้าปากพูดก็คิดได้ว่าตอนตนมีวาสนาได้พบราชครูก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนี้ เจียงเจ๋อผู้กล้าประณามความผิดของเจ้าสำนักเฟิงอี้ออกมาตรงๆ ต่อหน้านางอย่างไม่เกรงกลัวความตายก็กล้าหาญเด็ดเดี่ยวจริงๆ หลินถงจึงมิเอ่ยปากพูดอันใด
หวังจี้เล่าต่อ “เรื่องราวหลังจากนั้นมีคนล่วงรู้ไม่มากนัก แต่สุดท้ายในวันที่เจ็ด เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ถูกปรมาจารย์ซือเจินแห่งวัดเส้าหลินนำยอดฝีมือในสำนักกับเงามารหลี่ซุ่นมารุมสังหาร ปรมาจารย์แห่งยุคหนึ่งจึงจำต้องจากไปพร้อมความเคียดแค้น”
หลินถงถามว่า “ถ้าเช่นนี้ เหตุใดจึงบอกว่าเจียงเจ๋อเป็นผู้ไล่ต้อนเจ้าสำนักเฟิงอี้จนตายเล่า”
หวังจี้ตอบว่า “ข่าวเรื่องนี้แพร่ออกมาจากทางวัดเส้าหลิน เล่ากันว่ายามนั้นเจ้าสำนักเฟิงอี้บาดเจ็บมาก่อน นางกินโอสถพิทักษ์หัวใจเก้าสกัดของท่านหมอเทวดาซังเข้าไปจึงปกป้องชีพจรหัวใจไว้ได้ชั่วคราว แต่ใต้เท้าเจียงเป็นถึงศิษย์ของหมอเทวดา เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ จึงใช้วิธีการบางอย่างทำให้เจ้าสำนักเฟิงอี้ผลาญสิ้นพลังชีวิตในระหว่างเจ็ดวันนั้น
ด้วยเหตุนี้ ท้ายที่สุดเจ้าสำนักเฟิงอี้จึงถูกบีบให้จำต้องแลกชีวิตเข้าสู้ ปรมาจารย์ซือเจินเป็นผู้ครองตำแหน่งปรมาจารย์ดุจเดียวกัน ในขณะที่เงามารหลี่ซุ่นก็เป็นยอดฝีมือชั้นเลิศ สิบแปดอรหันต์แห่งวัดเส้าหลินเองก็ร่วมมือกันตั้งค่ายกล แล้วเจ้าสำนักเฟิงอี้จะไม่ตายได้อย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินว่าสุดท้ายเป็นเพราะเงามารหลี่ซุ่นฉวยจังหวะยามสองปรมาจารย์ประมือกัน ลอบโจมตีเจ้าสำนักเฟิงอี้จนจ็บหนัก จึงทำให้ปรมาจารย์แห่งยุคถูกไล่ต้อนจนตัวตาย หากเจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่คิดยอมตายก็เกรงว่าคงหลบลี้หนีภัย หาตัวไม่เจอก่อนแล้ว”
หลินถงสีหน้าตกตะลึงยิ่งนัก ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าเจียงผู้นั้นร้ายกาจจริงเชียว แต่ปรมาจารย์ซือเจินผู้นั้นก็ไม่มีศักดิ์ศรีของปรมาจารย์เกินไปแล้ว ร่วมมือกันรุมแล้วยังให้คนลอบเล่นงานอีก แต่เรื่องเช่นนี้ไยจึงแพร่ออกมาได้ ขายหน้านักเชียว”
หวังจี้ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ผู้น้อยฟังแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องเล่าที่น่าขันเท่านั้น แต่มิทราบความตั้งใจของปรมาจารย์ซือเจิน”
หลินถงเงยหน้ามองหลินปี้ แล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน “ท่านพี่ ท่านต้องรู้เป็นแน่ รีบบอกข้าเถิด”
หลินปี้ถูกนางคลอเคลียก็ได้แต่ยิ้มตอบว่า “เรื่องนี้มีสิ่งใดประหลาด ใต้เท้าเจียงผู้นั้นเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึกเช่นนี้ เมื่อปรมาจารย์ซือเจินบอกเรื่องนี้ออกมา ทุกคนย่อมระแวงและหวาดกลัว ถึงเวลาย่อมระวังใต้เท้าเจียงผู้นี้เพิ่มขึ้นหลายส่วน คิดว่าปรมาจารย์ซือเจินคงสลดกับความตายของสหายปรมาจารย์สินะ”
หลินถงพยักหน้าคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ “อ้อ หวังจี้ ถ้าเช่นนั้นเจียงเจ๋อกับองค์หญิงฉางเล่อเป็นเช่นไรต่อเล่า”
หวังจี้ตอบว่า “ตอนเจ้าสำนักเฟิงอี้ปรากฏตัว แม้ในท้องพระโรงทองคำมีแต่ยอดบุรุษ ทว่ากลับก้มหัวกันสิ้น มีเพียงสองคนที่ไม่เกรงกลัวความตายจนทำให้คนนับถือ คนหนึ่งคือใต้เท้าเจียงเจียงเจ๋อ เขาใช้ร่างกายอ่อนแอตวาดตำหนิเจ้าสำนักเฟิงอี้ ทำให้เหล่ายอดบุรุษต้องอับอาย
อีกผู้หนึ่งก็คือองค์หญิงฉางเล่อ ยามนั้นใต้เท้าเจียงถูกพลังภายในของเจ้าสำนักเฟิงอี้ทำร้าย กระอักเลือดไม่หยุด องค์หญิงฉางเล่อมิสนใจปลายกระบี่ที่จ่ออยู่ของเจ้าสำนักเฟิงอี้ ก้าวไปดูอาการบาดเจ็บของใต้เท้าเจียงด้วยตนเอง ความรักลึกล้ำจนมิไยดีความตาย จะไม่ให้ผู้คนทอดถอนใจกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”
หลินถงหลุดร้องอ๋าออกมาคำหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “หรือว่าองค์หญิงฉางเล่อจะแต่งงานกับเจียงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่คนอื่นจะจับองค์หญิงฉางเล่อมาเทียบกับพี่สาวข้า เจียงเจ๋อผู้นั้นก็เทียบกับพี่เขยข้าได้จริงๆ”
หวังจี้ยิ้มละไม ทราบว่าท่านหญิงผู้นี้เอ่ยดังนี้ย่อมหมายความว่านางยอมรับจริงๆ แล้วว่าเจียงเจ๋อสุดยอด แต่เขาไม่เปิดโปง กลับเอ่ยต่อว่า “แม้ยงอ๋องเคยขอพระราชทานสมรสจากองค์จักรพรรดิ และเหล่าขุนนางต่างก็ซาบซึ้งกับความรักอันลึกซึ้งของพวกเขา จนแม้รู้ว่าขัดต่อจารีตก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ทว่าจักรพรรดิแห่งต้ายงไม่อนุญาต”
หลินถงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ทำไมเล่า เจียงเจ๋อสร้างความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้ เขากับองค์หญิงก็ใจตรงกัน เหตุใดจักรพรรดิแห่งต้ายงจึงไม่ตกลงเล่า”
หวังจี้คลี่ยิ้ม “สาเหตุเป็นเพราะใต้เท้าเจียงร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก จักรพรรดิต้ายงกังวลมากว่าหากใต้เท้าเจียงอายุสั้น ราชบุตรเขยตายเร็ว ชีวิตที่อาภัพอยู่แล้วขององค์หญิงฉางเล่อจะยิ่งเลวร้าย เมื่อพูดถึงเหตุผลประการนี้ แม้แต่ยงอ๋องก็มิกล้ากล่าวว่าไม่ถูกต้อง”
หลินถงพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ก็จริง ถ้าเช่นนั้นหรือว่าต่อมาใต้เท้าเจียงรักษาตัวจนดีขึ้น จักรพรรดิแห่งต้ายงจึงพระราชทานสมรสให้พวกเขาแล้ว”
หวังจี้ยิ้มเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็คงมิเล่าลือกันเป็นตำนาน ใต้เท้าเจียงผู้นั้นสร้างความชอบครั้งใหญ่เช่นนี้ เห็นอยู่ว่ากำลังจะโบยบินก้าวหน้า ทว่าหลังพิธีแต่งตั้งรัชทายาทของต้ายง เขากลับพาเงามารหลี่ซุ่นจากไปอย่างเงียบงัน เล่ากันว่าใต้เท้าเจียงผู้นี้ไปมาขาวสะอาด ของที่ได้รับจากยงอ๋องทุกสิ่งล้วนทิ้งเอาไว้ ไม่นำไปสักอย่าง หนีหายเข้ายุทธภพไปทั้งอย่างนี้ เขามากความสามารถ มีความชอบเช่นนี้แต่กลับไม่อาวรณ์อำนาจลาภยศ ต่อให้ก่อนหน้านี้มีคนเคยคิดว่าเขาคุณธรรมด่างพร้อย มาวันนี้ก็มิอาจไม่ปรบมือชื่นชม”
หลินถงดวงตาฉายแววนับถือจางๆ “คุณธรรมความสามารถของใต้เท้าเจียงผู้นี้เป็นเอกในใต้หล้าจริงๆ ทว่าถึงเขาจะร้ายกาจ แต่ตอนแรกท่านจะตอบข้าว่าเหตุใดองค์หญิงฉางเล่อจึงมีชื่อเสียงเทียบเคียงกับพี่สาวข้ามิใช่หรือ เหตุใดจึงนอกประเด็นแล้วเล่า”
หวังจี้คิดในใจ ข้าก็เล่านอกประเด็นไปจริง แต่มิใช่เพราะถูกท่านพาไปหรือไร ทว่าใบหน้ากลับคลี่ยิ้ม “ท่านหญิงคงมิทราบ แม้เจียงเจ๋อจะจากไปโดยไม่นำไปสักสิ่ง แต่กลับพาคนผู้หนึ่งไปด้วย”
หลินถงเบิกตาโต “หรือว่า หรือว่า องค์หญิงฉางเล่อหนีไปกับเขาหรือ”
หวังจี้ปรบมือตอบ “เป็นเช่นนั้น องค์หญิงฉางเล่อเดิมก็นิสัยอ่อนนอกแข็งใน คราแรกยามจักรพรรดิบีบให้นางแต่งงานใหม่ นางลั่นวาจาต่อให้ตายก็ไม่ยินยอม ยามนี้จักรพรรดิต้ายงไม่อนุญาตให้นางแต่งงานกับใต้เท้าเจียง แต่ใต้เท้าเจียงจะจากไปทั้งอย่างนี้ องค์หญิงจะวางใจได้อย่างไรเล่า
ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นผู้ที่เสียสละความเยาว์วัยและแรงกายแรงใจเพื่อต้ายง ไม่มีสิ่งใดติดค้างอีกแล้ว ทั้งคู่จึงจรจากไปยังขอบฟ้าด้วยกัน นับจากนี้ท่องเที่ยวสี่คาบสมุทร เป็นคู่เรียงเคียงหมอน หวังเพียงครองคู่ไม่พรากจากมิคิดอิจฉาเทพเซียน
องค์หญิงผู้นี้ เดิมได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ เกียรติยศมิมีใครเทียม เสด็จแม่ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา สูงศักดิ์เป็นที่สุด แต่กลับละทิ้งทุกสิ่ง ติดตามคนรักหลบเร้นออกท่องยุทธภพ ยอดสตรีเช่นนี้ น่าจะพอเทียบเคียงกับองค์หญิงจยาผิงได้” ว่าพลางก็เหลือบมองหลินปี้ ดวงตาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
หลินปี้ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “องค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อทั้งภักดีและกตัญญู คุณธรรมและรูปโฉมเหนือผู้ใด ทั้งยังรักจริง ไม่ยึดติดอำนาจยศศักดิ์เช่นนี้ ข้าจะเทียบนางได้เช่นไรเล่า ถงเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้เจ้ายังอายุน้อย ท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงว่าเจ้าจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของเรื่องนี้ หากเข้าใจผิดไปจะไม่ดี วันนี้ท่านหวังเล่าให้เจ้าฟังแล้ว ดูเจ้าพอเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง ข้าก็จะไม่ห้ามปรามเจ้าแล้ว”
กล่าวจบ สายตาของหลินปี้ก็จับบนร่างหวังจี้ แล้วเอ่ยอย่างแฝงความนัย “ท่านหวัง ท่านอายุยังน้อย แต่รอบรู้กว้างขวาง ช่างหายากจริงเชียว”
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องบนร่างหวังจี้ แววตาเคลือบแฝงความคลางแคลงและเฝ้าระวัง