ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 42 ดวงใจข้าอาลัย (2)
บนถนนมุ่งสู่ฉางอัน ราชรถขององค์หญิงกำลังเดินทางอย่างอ้อยอิ่ง องค์หญิงฉางเล่อมองท้องนภาที่อยู่แสนไกลด้วยสีหน้านิ่งสงบ ครั้งนี้ราชสำนักต้ายงให้เกียรติมากพอสมควรทีเดียว หลังจากองค์หญิงฉางเล่อได้ชิ่งอ๋องหลี่คังอารักขาเข้ามาในอาณาเขตอำนาจของต้ายง อดีตองค์จักรพรรดิหลี่หยวนกับจักรพรรดิแห่งต้ายงหลี่จื้อต่างออกราชโองการคนละฉบับ ประกาศแก่ใต้หล้า ความว่า
‘รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้าเดือนสิบเอ็ด ยามข้ายังครองบัลลังก์ เห็นใจองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อที่ครองตนเป็นม่ายเปล่าเปลี่ยวจึงพระราชทานสมรสกับเจียงเจ๋อซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพเทียนเช่อ เพียงแต่ซือหม่าล้มเจ็บเนื่องจากทำงานเพื่อแว่นแคว้น มิอาจทนความเหนื่อยยากได้อีก ข้าเวทนาจึงอนุญาตให้พวกเขาทั้งสองคนแต่งงานกันอย่างเงียบๆ พิธีการทั้งหก เอกสารของกรมพิธีการล้วนมีครบทั้งปวง ยามนี้พระราชบุตรเขยฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้ว ข้าคิดถึงยิ่งนัก จึงเรียกตัวกลับราชสำนัก จบราชโองการ’
‘พระราชบุตรเขยเจียงเจ๋อ มีความดีความชอบต่อแว่นแคว้น วันนี้พระราชทานบรรดาศักดิ์ฉู่เซียงโหว ที่ดินบรรดาศักดิ์สามพันครัวเรือน พระราชทานจวนเดิมของข้าให้เป็นจวนขององค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ เจียงเซิ่นทายาทขององค์หญิง พระราชทานบรรดาศักดิ์อันกั๋วกง ที่ดินบรรดาศักดิ์ห้าพันครัวเรือน บุตรีคนโตโหรวหลัน พระราชทานยศท่านหญิงเจาหวา ที่ดินบรรดาศักดิ์พันครัวเรือน จบราชโองการ’
ราชโองการทั้งสองฉบับนี้ไม่เพียงกลบความจริงในอดีตที่องค์หญิงฉางเล่อหนีตามคนรักไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังแต่งตั้งเจียงเจ๋อเป็นเซียงโหว แต่งตั้งบุตรชายคนโตของเจียงเจ๋อที่อายุเพียงขวบเดียวเป็นกั๋วกง นี่เป็นยศสูงสุดที่จะมอบให้พระญาตินอกราชวงศ์ได้แล้ว แม้แต่ธิดาบุญธรรมของเจียงเจ๋อก็ได้แต่งตั้งเป็นท่านหญิง การพระราชทานรางวัลเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนไม่มีตาก็ทราบว่าเจียงเจ๋อกับภรรยาได้รับความโปรดปรานจากเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งยวด ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยเรื่องในวันวานขึ้นเป็นอันขาด
แต่ในใจองค์หญิงฉางเล่อกลับเฉยชายิ่งนัก ครั้งนั้นยามเดินจากไปนางได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว หากมิใช่สถานการณ์ของต้ายงไม่มั่นคง พระราชทานบรรดาศักดิ์มากอีกเท่าใดก็มิอาจทำให้องค์หญิงฉางเล่อหวนคืนสู่ฉางอัน และยิ่งไม่ยินยอมให้สามีหวนคืนสู่ราชสำนัก
แต่องค์หญิงฉางเล่อทราบความลำบากในเรื่องนี้ดี ยามนี้สามีเดินทางไปแนวหน้าที่ชายแดนเหนือแล้ว หากตนอยู่ตงไห่ ก่อนอื่นมิต้องพูดว่าเจียงเจ๋อคงเป็นห่วงความปลอดภัยของตน แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ก็คงอดกังวลมิได้ว่าอำนาจทหารที่แนวหน้าอยู่ในมือของผู้ใด หากตนไม่เข้าเมืองหลวงมาเป็นตัวประกัน แม้เสด็จพี่เชื่อใจสามีของตนเช่นไร ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงแอบถวายฎีกาเป็นการลับอย่างไม่อาจเลี่ยง แทนที่จะให้คนเหล่านั้นเกิดความระแวงในใจ มิสู้ตนเองขยับตัวสักหน่อยจะดีกว่า ดังนั้นการเดินทางเข้าเมืองหลวงขององค์หญิงฉางเล่อจึงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจมานานแล้ว
องค์หญิงฉางเล่อถอนหายใจแผ่วเบา หากยังมีทางเลือก นางอยากจะอยู่ตงไห่มิสนเรื่องราวทั้งปวงบนโลกเสียมากกว่า น่าเสียดาย นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เวลานี้เอง โหรวหลันก็กระโดดขึ้นมาบนราชรถด้วยท่าทางตื่นเต้น ถามว่า “ท่านแม่ เซิ่นเอ๋อร์เล่า ดูสิ ข้าถักมงกุฎดอกไม้ให้เซิ่นเอ๋อร์ด้วย”
ฉางเล่อมองมงกุฎดอกไม้อันประณีตแล้วขยับยิ้มถามว่า “ถักได้งามนักเชียว หลินเอ๋อร์สอนเจ้าใช่หรือไม่ ข้าเห็นเมื่อครู่เจ้ากับเขากระซิบกระซาบกันอยู่”
โหรวหลันกะพริบตาตอบว่า “ไม่ใช่เสียหน่อย น้องหลินทำเป็นแต่รำดาบจับกระบี่ จะถักมงกุฎดอกไม้เป็นได้เช่นไรเล่า ข้าเรียนมาจากซั่งอี๋ เมื่อครู่ข้าเพียงเห็นน้องหลินเหงามากจึงไปคุยกับเขาเท่านั้น ผู้ใดให้ท่านลุงสามทำเกินไป ไม่ยอมให้น้องหลินมานั่งรถคันเดียวกับข้า บอกว่าข้าเป็นท่านหญิง แม้น้องหลินเป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์เหมือนกันแต่ไม่มีบรรดาศักดิ์ แล้วยังบอกว่าต้องหลบเลี่ยงคำครหา ไม่ให้พวกเรานั่งด้วยกัน”
ดวงตาขององค์หญิงฉางเล่อทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “หลันเอ๋อร์ เจ้าไปบอกท่านลุงสามของเจ้าสักคำ บอกว่าเซิ่นเอ๋อร์ถูกปรมาจารย์ซือเจินยึดเอาไว้ตลอด ข้านั่งอยู่ในราชรถคนเดียวเงียบเหงายิ่งนัก ให้หลินเอ๋อร์กับเจ้ามานั่งด้วยกันกับข้าเถิด”
โหรวหลันดีใจยิ่ง ตอบว่า “ข้าจะไปบอกเขาเดี๋ยวนี้” พูดจบก็กระโดดลงจากราชรถ วิ่งไปที่รถม้าของชิ่งอ๋องอย่างตื่นเต้น ด้านหลังย่อมมีองครักษ์ตามติดคอยคุ้มครอง
องค์หญิงฉางเล่อคิดในใจ ก่อนออกเดินทางสุยอวิ๋นขอให้ข้าดูแลหลินเอ๋อร์ให้ดี ข้าจะทนเห็นเขาถูกคนรังแกได้อย่างไร ในใจนึกขุ่นเคืองพี่สามผู้ไม่ได้พบหน้ากันมานานขึ้นอีกหลายส่วน
ยามนี้ท้องฟ้ากระจ่างดั่งถูกวารินชะล้าง ห่านป่าแถวหนึ่งส่งเสียงดังกังวานเหินผ่านไป องค์หญิงฉางเล่อฟังแล้วไม่รู้เป็นอันใด จู่ๆ ในใจก็เป็นกังวลขึ้นมา อดหันไปมองทิศเหนือไม่ได้ มิทราบว่าสามีจะถึงค่ายใหญ่หรือยัง
“ฮัดเช้ย” ข้าจามเสียงดังลั่นครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงฉีอ๋องแอบหัวเราะ ข้าถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม หากข้าถูกแหลนของทหารเป่ยฮั่นผู้นั้นแทงตายจริงๆ ตอนนี้เขาอยากร้องไห้ก็คงร้องไห้ไม่ออกแล้ว
กล่าวไปแล้วก็โชคดีนัก เพราะคิดว่าหลังจากเข้าสนามรบอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นข้าจึงทำอาภรณ์ไหมทองสำหรับคุ้มกายขึ้นมาหนึ่งตัว
อาภรณ์ไหมทองนี้เป็นของประหลาดที่บันทึกเอาไว้ในตำราโบราณ ใช้ผงทองชมพูผลผลิตพิเศษจากแถวชายแดนเผ่าเหมียวทางอวิ๋นหนานผสมกับทองแดงอ่อนที่ทำจากเหล็กอูจือจากแดนไกลโพ้น หลังจากหลอมแล้วนำมารีดเป็นเส้นไหมทองชมพู ไหมทองชมพูเช่นนี้เรียวละเอียดดั่งเส้นผม อ่อนนุ่มยืดหยุ่นยิ่งนัก แต่แขวนของหนักได้ถึงพันชั่ง
จากนั้นจึงใช้เส้นไหมทองชมพูชนิดนี้ผสมกับเส้นด้ายละเอียดซึ่งถักทอมาจากขนของวานรสีทองจากดินแดนตะวันตก ทอเป็นเสื้อตัวในที่บางดุจปีกจักจั่นตัวหนึ่ง สวมไว้บนร่างแทบไม่รู้สึกว่ามีอยู่ แต่ดาบหอกกลับฟันแทงไม่เข้า ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากระบวนการทำเสื้อตัวนี้ซับซ้อนยิ่งนัก เพียงเพื่อให้ได้วัตถุดิบเหล่านั้นมาก็ต้องเปลืองแรงเปลืองความคิดอย่างที่สุดแล้ว แต่เพื่อรักษาชีวิต ข้าจึงใช้เงินทองนับพันหมื่นและความคิดอีกนับไม่ถ้วน
แม้มีอาภรณ์ตัวนี้แล้ว ข้าก็ยังไม่วางใจ จึงทำเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเขียวขึ้นมาอีกตัว ด้านในแทรกหนังวัวไว้สามชั้น นี่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำเกราะหนัง แม้ฟันแทงไม่เข้าสู้อาภรณ์ไหมทองของข้ามิได้ แต่ก็ปกป้องได้ทั้งตัว สรุปก็คือมีไว้ดีกว่าไม่มี
แม้ข้าจะสิ้นเปลืองความคิดและเงินทองไปไม่น้อย แต่ก็นับว่าของช่างคุ้มค่า แหลนนั่นถึงจะแทงเข้ากลางหลังข้า กระแทกข้าจนตกสะพาน แต่ก็ไม่ได้แทงข้าบาดเจ็บ แม้แต่แรงกระแทกก็ลดทอนลงไปกว่าครึ่ง แน่นอนว่านี่เป็นเพราะทหารเป่ยฮั่นนายนั้นเดิมทีก็ไม่มีเรี่ยวแรงเท่าใดนัก
ทว่าปลายสารท สายน้ำจากตาน้ำเย็นเฉียบ แล้วในคูน้ำรอบป้อมนั่นยังมีซากศพและโลหิตปะปนกันเละเทะ ทักษะการว่ายน้ำของข้าคือพอฝืนลอยตัวบนผิวน้ำได้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากตกน้ำไปข้าจึงลำบากอยู่ไม่น้อยจริงๆ หากมิใช่ว่าเสี่ยวซุ่นจื่อมองเห็นแต่ไกล ทราบว่าข้าน่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ รีบพุ่งเข้ามาช่วยข้าไว้ น่ากลัวว่าข้าคงไม่ถูกแทงตายแต่จมน้ำตาย ผู้ใดให้พวกฉีอ๋องคิดว่าข้าถูกแทงเข้ากลางหลัง คิดว่าข้าจะตายเสียแล้ว ชั่วขณะจึงตอบสนองไม่ทันกันเล่า
แต่เสียท่าครั้งใหญ่เช่นนี้แล้ว หลังจากถูกลากขึ้นมาจากน้ำ ข้ายังอาเจียนจนเวียนหัวหน้ามืด ขายหน้าหมดสิ้นต่อหน้าฉีอ๋อง จะไม่ให้ข้าหดหู่ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกน้ำเย็นเล่นงาน ร่างกายร่างนี้ของข้าอย่างไรก็สู้คนธรรมดาไม่ได้ จึงเป็นหวัดเข้าอีก ช่างเริ่มต้นไม่ราบรื่นเสียจริงๆ
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อฉายแววกังวล ถามว่า “คุณชาย พักผ่อนอีกสักสองสามวันแล้วค่อยออกเดินทางดีหรือไม่ ร่างกายท่านปกติก็ไม่ค่อยแข็งแรง หากไม่รักษาให้ดี บ่าวไม่วางใจจริงๆ”
ข้าเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ไม่ได้หรอก ที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ปลอดภัยอันใด แม้ทหารเป่ยฮั่นถอยไปแล้ว แต่ยังต้องป้องกันพวกเขายกกองทัพใหญ่มาอีก รีบไปให้ถึงค่ายใหญ่จะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่ฉีอ๋องออกมาจากค่ายใหญ่เดิมทีปิดบังทหารระดับล่างเอาไว้ ตอนนี้เกรงว่าทุกคนคงจะทราบกันแล้ว หากองค์ชายไม่กลับไปควบคุมสถานการณ์ที่ค่าย เกรงว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เจ้าวางใจเถิด ข้าก็แค่ทนลำบากเล็กน้อยเท่านั้น พอถึงค่ายใหญ่ก็จะได้รักษาตัวดีๆ แล้ว อย่างไรก็ดีกว่าติดอยู่กลางทาง จริงสิ เตาพกร้อนหรือยัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อรีบนำเตาพกที่เตรียมเรียบร้อยแล้วออกมา ข้ากอดเอาไว้แล้วกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่แน่น จากนั้นบอกว่า “ระหว่างทางข้าอาจเหงื่อออกมากหน่อย พวกท่านไม่ต้องสนใจข้า รอข้าไปถึงค่ายใหญ่แล้ว ค่อยปลุกข้าก็แล้วกัน”
กล่าวจบ ข้าก็เอนกายนอนบนรถม้าอย่างสุขสบายแล้วหลับตาลง ฉีอ๋องมองข้าอย่างขบขัน แล้วถอดเสื้อคลุมของตนออกมาห่มบนร่างข้า หลังจากนั้นกระโดดลงจากรถม้า ขึ้นหลังอาชาศึกเสร็จ เห็นฮูเหยียนโซ่วทำหน้ากลัดกลุ้มอยู่ จึงถามว่า “ฮูเหยียนโซ่ว เป็นอันใด ตั้งแต่เมื่อวานก็เห็นเจ้าทำหน้ากลัดกลุ้มไม่เลิก”
ฮูเหยียนโซ่วเอ่ยอย่างขมขื่น “ก่อนผู้น้อยออกเดินทาง ฝ่าบาทเคยรับสั่งให้พวกเราปกป้องใต้เท้าเจียงให้ดี ตรัสว่าหากใต้เท้าเจียงส่วนใดขาดหายไป จะถูกลดขั้นต้องโทษหนัก วันนี้ใต้เท้าไม่เพียงทรมานเพราะเร่งรีบเดินทัพ แล้วยังตกน้ำจนเป็นหวัด น่ากลัวว่าหากฝ่าบาททรงทราบ จักต้องโกรธเคืองพวกเราที่ปกป้องไม่ดีเป็นแน่”
ฉีอ๋องเอ่ยปลอบ “เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญา แต่พวกเจ้าไยต้องกังวลเล่า ฝ่าบาทจะส่งคนมาอีกหรือไร พวกเจ้าเองก็เสียคนไปไม่น้อยเพื่อปกป้องสุยอวิ๋น แม้ตอนนี้สุยอวิ๋นจะพบเรื่องตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีส่วนใดเสียหายมากมายนัก ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็กล่าวได้ว่ามีความดีความชอบ
แล้วอีกทั้งฝ่าบาทยังแบ่งแยกรางวัลกับโทษทัณฑ์ชัดเจนมาเสมอ ต่อไปพวกเจ้าก็ใส่ใจให้มากหน่อย ให้สุยอวิ๋นช่วยพูดชมพวกเจ้าสักสองสามประโยค ฝ่าบาทยังจะกล่าวโทษพวกเจ้าได้อีกหรือ”
ฮูเหยียนโซ่วฟังจบก็สบายใจขึ้นบ้าง อดมองฉีอ๋องอย่างซาบซึ้งมิได้ เมื่อครู่เขาเป็นคนในจึงเลอะเลือนอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้ได้ฉีอ๋องชี้ให้เห็นข้อสำคัญจนกระจ่างย่อมเข้าใจแล้ว ในใจคิดว่าการพบกองทัพศัตรูเดิมก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ยามนี้ปกป้องฉีอ๋องกับใต้เท้าเจียงให้ปลอดภัยสำเร็จย่อมเป็นความชอบใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องปรีชา แบ่งรางวัลโทษทัณฑ์ชัดเจน จะกล่าวโทษทั้งที่ไม่มีความผิดได้เช่นไรเล่า