ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 57 ยุแยงตะแคงรั่ว (1)
ถานจี้ออกท่องสมรภูมิมาหลายปี ชนะมากแพ้น้อย ทุกครั้งยามต้องนำทัพตามลำพัง แม่ทัพใหญ่มักเลือกใช้เขาเสมอ รัชศกหรงเซิ่งปีที่ยี่สิบสาม แม่ทัพใหญ่ยกไพร่พลบุกเจ๋อโจว สู้รบกับกองกำลังหลักของทัพต้ายงที่ฉินเจ๋อ ส่งถานจี้ลอบจู่โจมคลังเสบียงของกองทัพศัตรู คิดไม่ถึงทัพต้ายงกลับวางอุบายให้ฉีอ๋องปลอมตัวหลบออกจากกองทัพหลวง วางกับดักเฝ้ารอจับพยัคฆ์
ถานจี้มิทันสังเกตจึงตกอยู่กลางวงล้อม ต่อสู้อย่างยากลำบากอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนจนสิ้นศร ไร้เสบียง พ่ายแพ้ด้วยศัตรูกำลังเหนือกว่า วายชีวาอยู่ ณ แม่น้ำชิ่นสุ่ย ทั้งสามทัพตายตาม มิมีผู้ใดสักคนยอมจำนน
ยามนั้นแม้ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนผู้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพต้ายงชิงชังนิสัยชอบเข่นฆ่าของเขา แต่ก็เสียดายความสามารถของเขา เคยเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน แต่ถานจี้กลับปฏิเสธ ร้องเพลงดักกึกก้องรบจนสิ้นใจ จบชีวิตด้วยวัยสามสิบเอ็ดปี ฉีอ๋องทอดถอนใจ มิอนุญาตให้กระทำหยามหมิ่นศพ ให้ทหารคนสนิทส่งศพคืนเป่ยฮั่น แม่ทัพใหญ่เห็นศพเขา หัวใจเจ็บปวดรวดร้าว จากนั้นนำเถ้ากระดูกเขากลับไปฝังยังบ้านเดิมตามคำสั่งเสีย
…พงศาวดารเป่ยฮั่ั่น บันทึกถานจี้
วันต่อมายามฟ้าสาง ในที่สุดกองทัพเป่ยฮั่นก็บาดเจ็บล้มตายหมดสิ้น หลี่เสี่ยนเดินเข้าไปในสมรภูมิคลุ้งคาวเลือดแห่งนั้นท่ามกลางการคุ้มกันขององครักษ์ บนสนามรบมีซากศพทั่วทุกหนแห่ง ทหารเป่ยฮั่นที่สิ้นใจทุกคนล้วนมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่งบนลำตัวและแผ่นหลัง ไม่มีสักคนที่ไม่สู้รบอย่างดุเดือดก่อนตาย
เมื่อเดินมาถึงใจกลางสนามรบ ที่แห่งนั้นคือจุดที่สภาพน่าเวทนาที่สุดของสมรภูมิ ศพหลายร่างสวมหน้ากากสำริดเอาไว้ คนหนึ่งในนั้นสวมชุดแม่ทัพอยู่ หลี่เสี่ยนพินิจดูก็เห็นคนผู้นั้นกางสองแขน ใช้ลำตัวปกป้องร่างที่ค่อนข้างเตี้ยร่างหนึ่งไว้ มือขวายังกำขวานปากไก่แน่น ชุดเกราะแตกเป็นชิ้นๆ ชุ่มโชกด้วยด้วยโลหิต ข้างกายเขาอาชาศึกที่ถูกหอกยาวเล่มหนึ่งปักบนแผ่นหลังกำลังส่งเสียงร้องเศร้าสลด ขณะก้มหัวพยายามดันเจ้านายของมันเป็นพักๆ หวังให้เขาลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง
ไม่จำเป็นต้องให้หลี่เสี่ยนออกคำสั่ง ก็มีคนลากอาชาศึกที่บาดเจ็บหนักใกล้ตายแต่ยังวนเวียนไม่ห่างตัวนั้นออกไป หลี่เสี่ยนเดินเข้าไปแล้วก้มลงดู เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นยังสวมหน้ากากสำริดอยู่จึงยื่นมือไปถอดออก หลังปลดหน้ากากออก ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาก็ปรากฏออกมา แม้เขาล่วงสู่วัยสามสิบปีแล้ว แต่ใบหน้าอ่อนโยนยังคงแลดูหล่อเหลา เพราะไม่ถูกแสงแดดบ่อยนัก ผิวของเขาจึงขาวกว่าปกติอยู่บ้าง ทว่าแม้หลับตาอยู่ ผู้คนก็ยังสัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของเขา
บางทีอาจเป็นเพราะมีหน้ากากบดบังไว้ แม้ผ่านสงครามอันยากลำบากมา แต่ใบหน้าของคนผู้นั้นกลับไม่มีคราบโลหิต สีหน้าของเขาไม่มีแม้แต่ความหวาดหวั่นหรือความโกรธแค้นยามความตายมาเยือน ตรงกันข้ามกลับมีรอยยิ้มจางๆ ประหนึ่งหลังจากการเดินทางอันแสนยาวไกล ในที่สุดก็ได้วางหน้าที่อันหนักหนาลงจากร่าง รู้สึกดุจดั่งได้ปลดภาระอันหนักอึ้งลงแล้ว
หลี่เสี่ยนถอนหายใจเบาๆ เมื่อครู่ยามเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน แม้เขามีความคิดจะทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพศัตรูอยู่ด้วย แต่ห้วงเวลานั้นเขาก็อยากรับคนผู้นี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชามากจริงๆ เช่นเดียวกัน แม้คนผู้นี้เข่นฆ่าล้างบางผู้คนมามาก แต่กลศึกและความกล้าหาญของเขากลับทำให้ผู้คนนับถือ เพียงเห็นยามเขาเผชิญหน้าจุดจบ ลูกน้องใต้บัญชาต่างยินยอมพร้อมใจตายตามเขา ก็ทราบแล้วว่าแม้คนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต แต่มิใช่คนสันดานโหดร้าย ช่างน่าเสียดายคนมีความสามารถเช่นนี้
หลี่เสี่ยนกำลังนึกเสียดาย ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงครวญครางแผ่วเบาดังขึ้น หลี่เสี่ยนยังไม่ทันรู้ว่าเป็นสิ่งใด ร่างกายก็ถอยหนึ่งก้าวด้วยสัญชาตญาณ องครักษ์ข้างกายต่างยกกระบี่ขยับเข้ามาคุ้มกันฉีอ๋องอย่างรอบคอบ ทุกคนเพ่งสมาธิฟัง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอีก หลี่เสี่ยนย้อนนึกทิศทางของเสียงครวญครางเมื่อครู่ จากนั้นสายตาก็เคลื่อนลงไปใต้ร่างของถานจี้ ไม่สิ สมควรกล่าวว่าคนผู้นั้นที่ถานจี้ปกป้องอยู่ข้างใต้
เขาสั่งให้คนแบกถานจี้ไปไว้ด้านข้าง แล้วจึงพบทหารม้ากุ่ยฉีคนหนึ่งที่ถานจี้บังอยู่ข้างล่าง หลี่เสี่ยนพบว่าคนผู้นั้นบาดเจ็บหนัก แต่บาดแผลตรงจุดสำคัญของเขากลับตื้นยิ่งนัก คิดว่าถานจี้คงเอาเลือดเนื้อของตัวเองปกป้องเอาไว้
เถาหลินองครักษ์ข้างกายฉีอ๋องถลึงตาเย็นชาใส่คนที่รับผิดชอบเก็บกวาดสนามรบก่อนหน้านี้ ถึงขั้นมองไม่เห็นว่ายังมีคนรอด หากมีคนฉวยโอกาสลอบสังหารไยมิแย่ แต่หลี่เสี่ยนกลับมิได้ตำหนิ เขาก้าวเข้าไปถอดหน้ากากของทหารม้ากุ่ยฉีผู้ยังสลบไม่ฟื้นคนนั้น ดวงหน้าที่ยังมีร่องรอยวัยเยาว์เหลืออยู่ปรากฏออกมา หลี่เสี่ยนอดมิได้ กล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าทหารม้ากุ่ยฉีข้างกายถานจี้จะมีคนอายุน้อยเช่นนี้อยู่ด้วย อายุน้อยๆ ก็ต้องเข้าสนามรบเข่นฆ่าศัตรู แล้วยังแบกรับหน้าที่ทะลวงฝ่ากระบวนทัพ ไม่ง่ายเลยจริงๆ เรียกคนมา ส่งเขาไปหาหมอทหาร รักษาเขาให้ดี”
ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขารบรากับเป่ยฮั่นมานานปี กล่าวได้ว่าแค้นลึกล้ำดั่งมหาสมุทร แม้กองทัพต้ายงมีธรรมเนียมมิสังหารเชลย แต่หากบนสนามรบพบเห็นผู้บาดเจ็บหนักเหลือรอดอยู่ในกองทัพศัตรู มากกว่าครึ่งล้วนสังหารเสียในดาบเดียว อย่างมากที่สุดก็ทอดทิ้งมิสนใจ เหตุไฉนยังจะรักษาอีกฝ่ายเล่า
หลี่เสี่ยนยิ้มน้อยๆ เขาเข้าใจความฉงนในใจของแม่ทัพและพลทหารใต้บัญชาดี แต่เมื่อนึกถึงท่าทางยามคนผู้นั้นทำหน้าขึงขังสั่งสอนตนเองก่อนแยกกัน ในใจก็อดลอบหัวเราะไม่ได้ จากนั้นเอ่ยเสียงดังกังวาน “ก่อนนี้พวกเรากับเป่ยฮั่นแค้นล้ำลึกดั่งมหาสมุทรย่อมมีเคืองชำระเคือง มีแค้นชำระแค้น แต่มนุษย์คนใดมิมีบิดามารดาและครอบครัว สังหารหนึ่งคน หนึ่งครอบครัวร่ำไห้ พวกเจ้าจงจำไว้ สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการคือรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ให้สี่คาบสมุทรสงบสุข วันนี้พวกเขาคือประชาชนเป่ยฮั่น วันหน้าก็คือประชาชนต้ายง แม้ดาบหอกบนสนามรบไร้หัวใจ แม้นตายไร้เคืองแค้น แต่หากเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วย ไยมิเท่ากับทำร้ายประชาชนของตนเอง ข้าขอออกคำสั่งกองทัพไว้ ณ ที่นี้ นับจากวันนี้ไป ผู้เข่นฆ่าเชลยศึกตามอำเภอใจมีโทษประหารชีวิต”
ทหารทั้งหลายขานรับเสียงดังกึกก้อง แม้บางคนไม่เข้าใจเจตนาของฉีอ๋อง แต่ทุกคนเข้าใจหลักการที่ว่ากฎกองทัพหนักแน่นดั่งขุนเขาเป็นอย่างดี เวลานี้เอง แม่ทัพใต้บัญชานายหนึ่งพลันก้าวออกมาเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ แม้เป็นเช่นนั้น แต่ถานจี้ผู้นี้ก่อเภทภัยในเจ๋อโจวมาหลายปี สองมืออาบชุ่มโลหิตประชาชนต้ายง สหายร่วมรบของพวกเราเท่าไรตายในมือของเขา ขอแม่ทัพใหญ่โปรดอนุญาตให้พวกเราสับร่างคนผู้นี้เป็นหมื่นชิ้นเพื่อคลายความเคียดแค้นในใจด้วย”
หลี่เสี่ยนกำลังคิดจะตอบตกลง แต่สายตาบังเอิญเลื่อนไปมองศพของถานจี้ เมื่อเห็นใบหน้าสงบสุขประหนึ่งกำลังหลับใหลของเขา ก็ถอนหายใจตอบว่า “พวกเราทหารกล้าต้ายงมิชอบติดค้างบุญคุณความแค้น แต่คนตายแล้ว ความแค้นย่อมมลาย ไยต้องถือสาเอาความกับคนตายคนหนึ่งเล่า ยิ่งไปกว่านั้นแม้คนผู้นี้เคยทำร้ายต้ายงของพวกเรา แต่ก็เป็นขุนนางผู้ภักดีแห่งเป่ยฮั่น ทั้งยังเผชิญหน้าความตายอย่างมิกลัวเกรง ใจข้านับถือ การกระทำหยามหมิ่นศพมิใช่เรื่องที่แม่ทัพแห่งต้ายงอย่างพวกเราสมควรกระทำ จวงจิ้น เจ้าสั่งคนบรรจุร่างแม่ทัพถานใส่โลง รอเสร็จศึกส่งคืนแก่เป่ยฮั่น”
แม่ทัพผู้นั้นถอยกลับไปพร้อมสีหน้าละอายเล็กน้อย หลี่เสี่ยนมองเขาหนหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงดังต่อว่า “ถานจี้รบจนตัวตาย มิว่าความผิดใหญ่หลวงประการใด ความตายย่อมเพียงพอชดใช้ พวกเจ้าจงฟัง พวกเราสมควรไปพบแม่ทัพใหญ่หลงผู้ดื้อด้านมิยอมไปจากเจ๋อโจวผู้นั้น เคียดแค้นคนตายไม่มีอะไรทรงเกียรติ หากสังหารหลงถิงเฟยได้ จึงจะเป็นเกียรติยศสูงสุดของบุรุษต้ายงเช่นพวกเรา พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่”
แม่ทัพทั้งหลายฟังจบต่างโห่ร้องตะโกนเสียงดัง “สังหารหลงถิงเฟย ถล่มทัพเป่ยฮั่น”
เริ่มแรกมีเพียงเหล่าแม่ทัพที่ร้องตะโกน ต่อมาพลทหารรอบด้านต่างก็โห่ร้องตะโกนเสียงดังตาม ทหารที่เมื่อครู่ไม่พอใจเล็กน้อยเพราะคำสั่งกองทัพของฉีอ๋อง ไม่เหลือความขุ่นเคืองแม้แต่น้อยอีกต่อไป พวกเขาต่างคิดในใจ จริงสินะ การหยามหมิ่นศพ หรือสังหารเชลย เรื่องเหล่านี้จะทำไปเพื่ออันใด สังหารแม่ทัพใหญ่ของกองทัพศัตรูสิ ถึงจะสลายความแค้นที่สั่งสมในหัวใจได้
หลี่เสี่ยนเห็นว่าตนปลุกความฮึกเหิมขึ้นมาได้แล้ว จึงเอ่ยต่อว่า “ถ่ายทอดคำสั่ง พักหนึ่งวัน วันพรุ่งพวกเราจักไปฉินเจ๋อ ไปดูความองอาจของแม่ทัพใหญ่หลง”
ครานี้แม่ทัพทั้งหลายต่างขานรับด้วยน้ำเสียงยินดี ประหนึ่งอยากจะออกเดินทางเสียบัดเดี๋ยวนี้ แต่ในใจหลี่เสี่ยนกลับกังวลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าการศึกฝั่งฉินเจ๋อเป็นเช่นไรบ้าง
เดือนสิบเอ็ด คืนวันที่เจ็ด ในกระโจมแม่ทัพใจกลางค่ายใหญ่ของเป่ยฮั่นบนแดนฉินเจ๋อ ใต้แสงโคมเหลืองสลัว เรือนร่างทระนงของหลงถิงเฟยถูกแสงโคมส่องสะท้อนจนแลดูยืดยาว สายตาของเขาไม่ละออกจากจดหมายฉบับนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะของแม่ทัพ นี่คือสิ่งที่สายลับยอดฝีมือของเป่ยฮั่นซึ่งเซียวถงส่งไปค้นได้จากตัวคนส่งสารลับคนหนึ่งของต้ายง คนส่งสารผู้นั้นวรยุทธ์แข็งแกร่ง ทรหดอดทน ถูกสายลับเป่ยฮั่นไล่ล่าร้อยลี้ ตกอยู่ในวงล้อม ทว่าแม้ตายก็มิยอมจำนน ก่อนตายยังคิดจะทำลายสารทิ้ง แต่ถูกยอดฝีมือพรรคมารชิงมาได้ก่อน
สารเช่นนี้ย่อมต้องเป็นเรื่องลับอย่างยิ่ง แต่หลงถิงเฟยกลับอยากจะเชื่อว่าสารนี้เป็นเพียงหลุมพรางมากกว่า เพราะแม้ว่าสารฉบับนี้จะกล่าวอย่างคลุมเครือ แต่ก็เผยข่าวประการหนึ่งที่ทำให้หลงถิงเฟยไม่อยากเชื่อ หลงถิงเฟยยกสารขึ้นมาอีกครั้งแล้วอ่านอย่างพิจารณา
‘พวกเขาส่งสารมาถึง ตอบเป็นเชิงมิรับปากจริงจังนัก อ้างว่ามิได้ติดตามกองทัพมาจึงติดขัดไม่สะดวก บางทีพวกเขาอาจยังคิดดูสถานการณ์ พวกเขาเป็นคนสนิทของแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพศัตรู หากโน้มน้าวพวกเขาได้ กองทัพเป่ยฮั่นต้องพ่ายแน่ ด้วยเหตุนี้แพ้ชนะของศึกนี้สำคัญยิ่งยวด หากฝ่ายพวกเขาชนะ คงไม่มีช่องว่างให้ยุแยงตะแคงรั่วอีก แต่หากฝ่ายเราชนะ พวกเขาย่อมกลับลำ โอกาสคว้าชัยของศึกนี้มิได้อยู่ที่ฉินเจ๋อ แต่อยู่ที่คลังเสบียง ภาระหนักหนาอยู่บนบ่า ขอให้ท่านทำอย่างเต็มกำลัง’
สารฉบับนี้แม้ไม่มีขึ้นต้น ไม่มีลงท้าย เพียงประทับตราส่วนตัวดวงหนึ่ง บนตรามีอักษรคำว่า ‘บัณฑิตแห่งสวนเหมันต์’ แต่พิจารณาจากถ้อยคำแล้ว สารฉบับนี้บุคคลผู้มีตำแหน่งอันดับหนึ่งอันดับสองของกองทัพต้ายงคงเป็นผู้เขียน
เมื่อดูจากอักษรพลิ้วไหวงดงามบนสารฉบับนี้ ในใจหลงถิงเฟยก็รู้สึกเลือนรางว่าเจียงเจ๋อ คู่ต่อสู้ในตอนนี้ของตนคงเป็นผู้เขียนสารด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเคยได้ยินว่าตอนเจียงเจ๋อพักอยู่ในจวนเก่าของจักรพรรดิต้ายง เขาอาศัยอยู่ในสวนเหมันต์ หลงถิงเฟยเคยอ่านบทกวีที่เจียงเจ๋อประพันธ์ช่วงนั้นอยู่บางชิ้น ก็เคยเห็นเขาเรียกขานตนเองว่าบัณฑิตแห่งสวนเหมันต์จริงๆ
แต่ผู้ที่คอยรับสารฉบับนี้คือจิงฉือจริงหรือ แม้สารฉบับนี้เพียงกล่าวถึงความสำคัญของการปกปักษ์ค่ายใหญ่คลังเสบียงที่เมี่ยวพัว แต่ก็ยังกล่าวเป็นนัยๆ ด้วยว่ามีแม่ทัพใต้บัญชาที่ตนเชื่อใจอย่างยิ่งคนหนึ่งคิดกบฏ เพียงแต่ยังไม่แน่วแน่นัก ต้องรอจบศึกนี้จึงจะตัดสินใจได้