ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 59 ยุแยงตะแคงรั่ว (3)
นี่เป็นการโหมโจมตีครั้งที่สี่ของเป่ยฮั่น ข้ามองสนามรบที่มีซากศพเกลื่อนท้องทุ่งอย่างจนปัญญา ในใจทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด ข้ามองข้ามความเด็ดขาดของหลงถิงเฟยไปใช่หรือไม่ ดูท่าเขาคงจะเตรียมพร้อมจ่ายค่าแลกเปลี่ยนมหาศาลเพื่อคว้าชัยชนะครั้งใหญ่เอาไว้
หากกำลังหลักของทัพต้ายงที่นี่พ่ายแพ้ย่อยยับ ถ้าเช่นนั้นต่อให้แผนการตัดปีกหลงถิงเฟยที่ข้าใส่ใจวางแผนจะสำเร็จก็ยังเท่ากับพ่ายแพ้ หากหลงถิงเฟยเอาชนะทัพต้ายงได้ ความมั่นใจของเขาคงยิ่งเพิ่มพูน ไม่ต้องพูดถึงความสูญเสียของกำลังทหารฝ่ายเรา เพียงความจริงเรื่องฝ่ายเราพ่ายแพ้ย่อยยับก็ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารและประชาชนเป่ยฮั่นตั้งแต่บนจรดล่างเพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ข้ามองดูเซวียนซงผู้ใจเย็นและบัญชาการทัพอย่างสุขุมขึ้นเรื่อยๆ แล้วถอนหายใจโล่งอก การบัญชาการรบของเขาอาจยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยอาศัยกำลังทหารเกือบสองเท่าก็คงรบเสมอได้กระมัง หลายวันก่อนหลงถิงเฟยคิดถ่วงเวลาเช่นเดียวกัน จึงไม่สั่งทหารบุกรุนแรงนัก นี่กลับเป็นเรื่องดีของเซวียนซง ทัพเป่ยฮั่นก็เหมือนหินลับมีดก้อนหนึ่ง ลับเซวียนซงจากดาบคมกริบให้กลายเป็นเทพวุธ ยามนี้เป็นเวลาทดสอบประสิทธิภาพพอดี
หากมีตัวเลือก ข้าคงไม่เผยความลับที่ฉีอ๋องไม่อยู่เสียก่อน แต่นี่เป็นเรื่องจนหนทาง มีเพียงผ่านศึกเช่นนี้แล้วหลงถิงเฟยไร้ความสำเร็จกลับไป จึงจะทำลายความมั่นใจของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากฉีอ๋องนำกองทัพใหญ่อยู่ที่นี่ เกรงว่าหลงถิงเฟยคงไม่ยอมต่อสู้ตัดสินเอาชัยที่ฉินเจ๋อ
การสู้ศึกกับทัพเป่ยฮั่นครานี้ ข้าหมายจะยิงนกสามตัวในศรเดียว หนึ่งสังหารถานจี้เป็นการตัดปีกหลงถิงเฟย สองสร้างสารลับฉบับหนึ่งยุแยงให้เขาแคลงใจคนสนิท และสามให้เซวียนซงทำลายความมั่นใจของหลงถิงเฟย
สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอให้เขายากจะทนรับไหวแล้ว แต่หลังจากนี้ยังมีเรื่องอีกมากรอคอยให้หลงถิงเฟยเผชิญอีก แต่ถึงกระนั้น ข้าถอนหายใจอีกครั้ง มิว่าอย่างไรก็ต้องผ่านพ้นศึกนี้ไปให้ได้ก่อนจึงจะสำเร็จ
หลงถิงเฟยมองดูสนามรบตรงหน้าอย่างเย็นชา หกชั่วยามแล้ว แม้แนวป้องกันของทัพต้ายงจะอ่อนแรงลงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพังทลาย คิดไม่ถึงว่าเซวียนซงผู้นี้เป็นเพียงหัวหน้ากองไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่กลับมีความสามารถเช่นนี้ ต้ายงมีวีรบุรุษมากล้นจริงๆ แต่จะยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไปมิได้
หลงถิงเฟยตัดสินใจเด็ดขาด เขาลูบทวนวงเดือนสีดำวาวที่ทำจากเหล็กกล้าซึ่งผ่านการหลอมมานับร้อยหนเบาๆ ตัวทวนสลักลวดลายอันประณีต เพราะอาบชุ่มด้วยโลหิตและหยาดเหงื่อมานานปีจึงทำให้สีดำของทวนเล่มยาวซ่อนสีแดงคล้ำเอาไว้ มีเพียงคมของหัวทวน คอเรียวของทวนยาวกับคมดาบโค้งรูปจันทร์เสี้ยวด้านบนที่ยังคงแวววาวดุจหิมะ
หลงถิงเฟยมองอาวุธที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ตนมานานหลายปี ความฮึกห้าวฉับพลันผุดขึ้นในหัวใจ เขาเปล่งเสียงหัวเราะลั่น “บุรุษเป่ยฮั่นของพวกเรา แต่ละคนล้วนเป็นวีรชนผู้กล้า ไฉนจะยอมให้คนต้ายงดูหมิ่น ทหารทั้งหลายจงติดตามข้าเข่นฆ่าศัตรู ให้คนต้ายงเหล่านั้นเห็นความสามารถของพวกเรา” กล่าวจบก็ทะยานม้านำหน้าเพียงลำพัง พุ่งเข้าไปยังจุดที่สองทัพสู้รบชุลมุนอยู่ อาชาหนุ่มแผงคอสีแดงฉาน ชุดออกศึกสีแดงสะบัดพลิ้วท่ามกลางสายลมกับทวนวงเดือนสีดำแดงทำให้หลงถิงเฟยดูองอาจน่าเกรงขาม ประหนึ่งเทพสงครามผู้ไร้พ่าย ชวนให้คนอกสั่นขวัญแขวน
ข้าแทบกลั้นหายใจยามเห็นหลงถิงเฟยพุ่งเข้ามากลางกระบวนทัพ พลังดุจดั่งเปลวเพลิงโหมลามทุ่ง อำนาจยามพุ่งทะยานบดขยี้ผู้ขวางทางทำให้ข้าหวาดหวั่นในหัวใจอย่างห้ามมิได้ ทั้งที่มีองครักษ์คนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่พลังอันแข็งแกร่งประหนึ่งมิอาจเอาชนะได้เช่นนั้น กลับทำให้ทุกคนบนสมรภูมิถอยหนีอย่างห้ามตนเองไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพกองนี้
ข้าเห็นกระบวนทัพของต้ายงถูกหลงถิงเฟยทำเหมือนมองไม่เห็น ในใจก็กลัดกลุ้มเล็กน้อย ทว่าความตื่นเต้นกลับมีมากกว่า หลงถิงเฟยที่เป็นเช่นนี้จึงจะสมกับเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อผู้เป็นหนึ่งไม่มีสอง บีบให้ต้ายงมิอาจยึดครองแผ่นดินเป่ยฮั่นแม้สักคืบมาหลายปี
ในห้วงเวลานี้ สมรภูมิทั้งหมดราวกับมีเพียงเปลวเพลิงร้อนแรงสีแดงแผดเผา แผ่ลามออกไป กองทัพเป่ยฮั่นคล้ายถูกความห้าวหาญของแม่ทัพปลุกขวัญกำลังใจ การโจมตีของพวกเขาจึงเริ่มดุเดือด กองทัพเป่ยฮั่นทั้งหมดราวกับกำลังลุกไหม้
เวลานี้เอง เซวียนซงก็สั่งเคลื่อนทหารอย่างรวดเร็ว เขาเลือกใช้ยุทธวิธีป้องกัน ในใจข้ารู้ว่าจุดเด่นของเซวียนซงไม่ได้อยู่ที่การจู่โจม เขาจึงใช้ข้อเด่นหลบเลี่ยงข้อด้อย คิดจะใช้การป้องกันต้านการจู่โจมอันรุนแรงของกองทัพเป่ยฮั่น ถึงอย่างไรก็การโถมรุกครั้งนี้ก็คงไม่นานนัก ขอเพียงต้านไว้ได้จนกำลังของกองทัพเป่ยฮั่นโรยราก็จะฉวยโอกาสโจมตีโต้กลับได้
คิดเช่นนี้ย่อมไม่ผิด แต่ทัพต้ายงในตอนนี้ยังมิเชื่อมั่นในตัวเซวียนซงเต็มร้อย ในห้วงเวลาสำคัญเช่นนี้จึงลังเลอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนทัพทั้งหมดจึงสับสนเล็กน้อย เมื่อหลงถิงเฟยตะลุยเข่นฆ่าสังหาร ชั่วขณะหนึ่งกระบวนทัพต้ายงจึงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หากไม่มีจังหวะพลิกสถานการณ์ เกรงว่ากระบวนทัพคงพังทลายในอีกไม่กี่อึดใจ
เหงื่อเย็นพรั่งพรูออกมาจากศีรษะของเซวียนซง เขามองมาทางข้า ดวงตาฉายแววสับสนและวิงวอน ข้ารู้ว่าเขาหวังให้ข้าช่วยเขาอีกแรง หรือกระทั่งอาจหวังให้ข้ารับช่วงอำนาจบัญชาการทัพ ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเวลานี้ข้าสอดมือเข้าไปยุ่งกับการบัญชาการทัพของเซวียนซงย่อมทำลายความมั่นใจของเซวียนซงอย่างสาหัส เช่นนั้นแม้ได้ชัยมาก็ได้ไม่คุ้มเสีย คนที่ข้าต้องการคือยอดแม่ทัพผู้ต้านทานศึกได้ด้วยตัวเอง แต่หากข้าไม่เข้าไปยุ่ง กล่าวกันว่าทหารพ่ายดั่งเขาล้ม แม้ทัพเราแข็งแกร่ง แต่เกรงว่าคงมิอาจต้านทานการโจมตีประหนึ่งสายลมสารทกวาดใบไม้ร่วงของกองทัพเป่ยฮั่นได้
ข้ามองดูสถานการณ์ศึกที่เริ่มสับสนอลหม่าน ในใจข้ารู้ดีว่าความจริงแล้วการบัญชาการทัพของเซวียนซงไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เพียงแต่แม่ทัพกับเหล่าทหารแห่งต้ายงยังคงคลางแคลงในตัวเขาและยังคงตกอยู่ใต้อำนาจที่สั่งสมมาของหลงถิงเฟย เหล่าทหารจึงหวั่นเกรงเล็กน้อยอย่างห้ามมิได้ ขอเพียงปลุกขวัญกำลังใจทหารได้ ถ้าเช่นนั้นเซวียนซงต้องคุมสถานการณ์ได้แน่ ดวงตาข้าทอประกายวาบ ข้ามองเห็นกลองศึกด้านข้าง แผนการผุดขึ้นในใจ ข้าหันกลับไปสั่งเสี่ยวซุ่นจื่อ “เจ้าใช้พลังภายในช่วยข้า ข้าจักตีกลองปลุกขวัญกำลังใจด้วยตนเอง”
เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอบว่า “มิอาจใช้นานเกินไป พลังภายในของข้าเป็นพลังหยินอันหนาวเย็น ไม่เหมาะเสริมแรงให้ท่าน”
ข้าหัวเราะ “ไม่เป็นไร ไม่นานเกินไปหรอก”
กล่าวจบข้าพลันพลิกกายลงจากม้าเดินไปถึงหน้ากลองศึก โบกมือให้พลทหารที่รับผิดชอบตีกลองผู้นั้นถอยไป แล้วหยิบไม้กลองขึ้นมา ข้ายืนอยู่หน้ากลองศึก เสี่ยวซุ่นจื่อยืนอยู่หลังร่างข้า ฝ่ามือขวาแนบลงกลางแผ่นหลัง ข้ารู้สึกว่าลมปราณเย็นยะเยือกสายหนึ่งแทรกซึมเข้ามาในร่าง ทันใดนั้นก็ราวกับเลือดร้อนระอุทั่วร่างถูกลมปราณสายนี้ก่อกวนให้ปั่นป่วน สี่แขนขาร้อยกระดูกอัดแน่นด้วยพลัง ข้ายกไม้กลองในมือขวาขึ้นแล้วตีกลองจังหวะแรก
จู่ๆ เสียงดั่งอสนีบาตฟาดกลางทุ่งราบพลันดังขึ้นในหูของทัพต้ายงที่กำลังสับสน หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน หลังจากนั้นเสียงกลองศึกทุ้มหนักกังวานก็ดังก้องฟ้าดิน เสียงทุ้มต่ำของกลองศึกดังหนักแน่นกังวานประหนึ่งสายวารีไหลเคลื่อนคล้อย แม้ศิลาก้อนใหญ่กลางแม่น้ำตั้งตระหง่านดุจกำแพงก็มิอาจขวางสายน้ำมิให้ไหลไปข้างหน้า แม้นาวาน้อยแหวกเกลียวคลื่นข้ามลำน้ำใหญ่ได้ แต่มิอาจหลุดพ้นพันธนาการของสายธารา ท่ามกลางเสียงกลองศึกอันมั่นคงนี้ กองทัพต้ายงค่อยๆ ใจเย็นลง การแปรกระบวนทัพก็กลับมามีระเบียบตามไปด้วย
เวลานี้เอง เสียงแตรสัญญาณพลันดังกระหึ่มขึ้นกลางกองทัพเป่ยฮั่น กองทัพเป่ยฮั่นที่เหมือนจะถูกสายน้ำชะลอไว้กลับมามีพละกำลังอีกครั้ง แล้วเริ่มโหมจู่โจมอีกระลอกหนึ่ง แต่เสียงกลองศึกกลับแปรเปลี่ยนเป็นซ่อนเร้นแผ่วเบาทว่าหนักแน่นมิหวั่นไหว ขุนศึกทุกคนบนสมรภูมิได้ยินชัดเจนอยู่ตลอด เสียงกลองกับเสียงแตรพัวพันประสานคล้ายการต่อสู้โรมรันอันดุเดือดระหว่างทัพต้ายงกับทัพเป่ยฮั่น
เสียงแตรดังกระหึ่มแหลมคมดุจดวงตะวันร้อนกับสายลมหนาว ส่วนเสียงกลองนั่น เมื่อฟังแล้วทุกคนต่างรู้สึกประหนึ่งมองเห็นต้นหญ้าที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบากท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บกับเปลวเพลิงแผดเผา แต่มิว่ายากลำบากเพียงไร ก็มิอาจขัดขวางพวกมันมิให้งอกออกมาจากผืนดิน
เสียงแตรก้องกังวานกับเสียงกลองทุ้มเบาฉับพลันแผ่วลงทั้งคู่ แต่ในบรรยากาศกลับเต็มเปี่ยมด้วยจิตสังหารที่ใกล้ถึงจุดระเบิด ทันใดนั้นดุจดั่งอสนีบาตฟาดกลางทุ่งราบ เสียงกลองกับเสียงแตรแทบจะดังขึ้นในเวลาเดียวกัน ประหนึ่งเกลียวคลื่นโถมซัดในทะเลตงไห่ คลื่นแต่ละลูกสูงท่วมทับลูกก่อนหน้า คลื่นแต่ละลูกเร็วกว่าคลื่นลูกก่อนหน้า
ในเวลาเดียวกันนี้ หลงถิงเฟยกับเซวียนซงออกคำสั่งแทบจะพร้อมกัน สองทัพโรมรันอุตลุด โลหิตเศษเนื้อปลิวกระจาย ทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าสองกองทัพพุ่งเข้าประจัญบานเข่นฆ่าสังหาร เปิดศึกสังหารด้วยหัวใจอันเด็ดเดี่ยว ไม่คิดอยู่ร่วมฟ้าเดียวกับฝั่งตรงข้าม
เวลานี้เอง เสียงแตรสัญญาณพลันดังกึกก้องทะลวงชั้นเมฆและดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกลับหายไปกลางคันอย่างไร้ร่องรอย เสียงกลองเองก็เริ่มลดทอนความหนักหน่วงและช้าลงเช่นกัน ทว่ากลับมิได้หยุดชะงัก เสียงแต่ละครั้งกระแทกจิตวิญญาณผู้คนให้สั่นไหว พลทหารทั้งหลายต่างทุ่มสุดกำลังเข้าเข่นฆ่า บนทุ่งกว้างหยาดโลหิตนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น ม่านราตรีเริ่มทอดตัวลงมา สองกองทัพบนทุ่งกว้างเริ่มจุดคบเพลิง สู้รบอย่างดุเดือดต่อท่ามกลางรัตติกาล ผู้ใดก็มิยอมถอย
เสียงกลองศึกนั่นหายไปจากสนามรบอันคลุ้งคาวเลือดตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ กะทันหันดังเช่นยามมา สองกองทัพตกอยู่ท่ามกลางสงครามอันดุเดือดผลัดกันรุกผลัดกันรับ
ใต้แสงสว่างของคบเพลิง เซวียนซงบัญชาการทัพต้ายงอย่างมั่นใจยิ่งนัก แต่หลงถิงเฟยผู้ถอยกลับไปยังทัพหลวงแล้วหน้าซีดเล็กน้อย แม้กองทัพเป่ยฮั่นที่มีเขาบัญชาการทัพจะยังครองความเหนือกว่าอยู่ แต่ในห้วงเวลานี้ก็ยากนักจะหาโอกาสคว้าชัย
ในเงามืดที่ผู้คนไม่สนใจ เสี่ยวซุ่นจื่อประคองเจียงเจ๋อผู้สิ้นเรี่ยวแรงใกล้หมดสติเดินไปยังกระโจมที่ตั้งขึ้นชั่วคราวอย่างเชื่องช้า ส่วนฝั่งเป่ยฮั่น คนชุดดำผู้สวมผ้าคลุมสีดำปกปิดร่างตั้งแต่บนจรดล่างมองแตรสัญญาณที่หักครึ่งในมืออย่างเงียบงัน สุดท้ายจึงถอนหายใจยาวแล้วเร้นกายเข้าไปในเงามืด เงาร่างของเขาประหนึ่งผสานกับรัตติกาล หายลับไร้ร่องรอยอย่างว่องไวยิ่งนัก