ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 60 ศึกในยังมีห่วง ศึกนอกเข้ารอนราญ (1)
ต้ายัง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบเจ็ด ฉีอ๋องใช้อุบายของผู้ตรวจการกองทัพฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อ ใช้พลทหารจำนวนมากกว่าขวางกองทัพรองของเป่ยฮั่ย สังหารถานจี้ จากนั้นเร่งเดินทางพันลี้มุ่งมาลอบจู่โจมกำลังหลักของทัพเป่ยฮั่น ยามนั้นหลงถิงเฟยทราบว่าฉีอ๋องมิอยู่ในกองทัพหลวงจึงยกกำลังทั้งหมดโหมโจมตี ฉู่เซียงโหวตีกลองศึกปลุกขวัญกำลังใจทหาร ขวางทัพเป่ยฮั่นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน
เดือนสิบเอ็ด วันที่เก้า ฉีอ๋องนำไพร่พลคนสนิทเข้าใกล้ฉินเจ๋อสี่สิบลี้ หลงถิงเฟยทราบว่าสถานการณ์ลำบากจึงถอยหนี ฉีอ๋องไล่ล่าสามร้อยลี้ หลงถิงเฟยคุมท้ายกองทัพด้วยตนเอง สองทัพปะทะกันสิบกว่าครั้ง ต่างมีแพ้มีชนะ
เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบห้า ต้วนอู๋ตี๋แห่งเป่ยฮั่นยกพลมารับ ฉีอ๋องเห็นทหารเหนื่อยล้าจึงถอยทัพกลับเจ๋อโจว สองทัพรบกันอยู่ครึ่งเดือนกว่า ทัพต้ายงบาดเจ็บล้มตายหกหมื่น ทัพเป่ยฮั่นบาดเจ็บล้มตายเกือบสี่หมื่น อาจกล่าวได้ว่าศึกนี้มิมีผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ ทว่าหลังจากศึกครานี้ กองทัพเป่ยฮั่นก็ไม่มีกำลังเหลือมารุกรานเจ๋อโจวกับเจิ้นโจวอีก
ณ นครฉางอัน เมืองหลวงแห่งต้ายง นับตั้งแต่เจ๋อโจวส่งข่าวด่วนเรื่องการศึกข้ามระยะทางแปดร้อยลี้มาตอนต้นเดือน ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักก็ล้วนกลัดกลุ้ม ครั้งนี้หลงถิงเฟยยกพลใหญ่บุกเจ๋อโจว แม้ค่ายใหญ่ที่เจ๋อโจวมีกำลังทหารมากมาย แต่ก็มิได้หมายความว่าจะคว้าชัยได้แน่นอน ยังไม่ต้องพูดถึงหลงถิงเฟยเป็นแม่ทัพผู้ขึ้นชื่อลือชาอันดับต้นๆ ในใต้หล้า แม้หลายปีนี้ฉีอ๋องพอฝืนต้านไว้ได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ยากคว้าเอาชัย อีกประการหนึ่ง ปมในใจระหว่างฉีอ๋องกับฝ่าบาทยังไม่คลี่คลาย แม่ทัพในค่ายใหญ่ที่เจ๋อโจวขาดความกลมเกลียว จึงทำให้ทุกคนกลัดกลุ้มยิ่งนักจนปวดศีรษะ
เมฆดำอึมครึมก้อนนี้มิได้สลายหายเพราะฝ่าบาทส่งฉู่เซียงโหวผู้ตรวจการกองทัพคนใหม่ไป ถึงอย่างไรเจียงเจ๋อก็เป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่ง ผู้คนมากมายล้วนไม่เชื่อว่าเขาจะคุมฉีอ๋องได้จริง ต่อให้เขามีความสามารถคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างฉีอ๋องกับเหล่าแม่ทัพได้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสชนะหลงถิงเฟย
ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่ทัพเป่ยฮั่นรุกเข้าเจ๋อโจว ข่าวลือก็ผุดขึ้นทั่วทุกแห่งหนของต้ายง มีคนกล่าวว่าครั้งนี้หลงถิงเฟยขนทหารทั้งแว่นแคว้นมาบุกเจ๋อโจว กำลังทหารของต้ายงไม่ได้เปรียบอีกต่อไปแล้ว มีคนกล่าวว่าทัพต้ายงพ่ายแพ้ย่อยยับ ฉีอ๋องไม่รู้เป็นตาย ยังมีคนกล่าวอีกว่าภายในกองทัพต้ายงเกิดกบฏจึงมิอาจต้านการโจมตีของทัพเป่ยฮั่น กองทัพเป่ยฮั่นกระทำเหิมเกริมในเขตเจ๋อโจว เข่นฆ่าทหารและประชาชนนับไม่ถ้วนมาหลายวันแล้ว
เมื่อข่าวลือแพร่มาถึงฉางอัน จิตใจของประชาชนก็สับสน แม้หลายปีนี้ความรุ่งเรืองแข็งแกร่งของต้ายงทำให้ประชาราษฎร์ค่อนข้างมีความเชื่อมั่น แต่ข่าวลือเหล่านั้นก็เล่าอย่างถึงรสถึงชาติยิ่งนัก จิตใจผู้คนจึงหลงเชื่ออยู่ประมาณหนึ่งอย่างห้ามมิได้ ผ่านไปไม่นานนัก ข่าวลืออีกทางหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เล่าว่าแม่ทัพคนดังของต้ายงเสนอชื่อหลี่จื้อ มีเพียงหลี่จื้อยกทัพออกรบด้วยองค์เองจึงจะพลิกสถานการณ์พ่ายแพ้ได้
ท่ามกลางสถานการณ์คลื่นใต้น้ำเร้นซ่อนเช่นนี้ องค์หญิงฉางเล่อกลับเป็นผู้สร้างความมั่นคงให้แก่จิตใจของผู้คน องค์หญิงฉางเล่อเพิ่งเสด็จกลับคืนเมืองหลวง ระหว่างทางนางจึงได้ฟังข่าวลือเหล่านี้มาบ้าง แม้แต่ชิ่งอ๋องก็ยังเคยถามนางเป็นการส่วนตัวว่าเจียงเจ๋อมีวิธีควบคุมฉีอ๋องหรือไม่ องค์หญิงฉางเล่อย่อมทำได้เพียงยิ้มละไมปลอบชิ่งอ๋อง แจ้งว่าฉีอ๋องกับพระราชบุตรเขยมิมีความขัดแย้งอันใดกัน การรบแนวหน้าย่อมมีฉีอ๋องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ชิ่งอ๋องคล้ายจะยังกังวลยิ่งนัก แม้มิได้พูดอย่างเปิดเผย แต่ก็ลอบส่งคนเพิ่มการคุ้มกันขบวนรถ
ในใจองค์หญิงฉางเล่อมิใช่ไม่กังวลการศึกที่แนวหน้า แต่นางเชื่อมั่นว่าเจียงเจ๋อจะทำให้ค่ายใหญ่เจ๋อโจวมั่นคง แล้วนางก็เชื่อมั่นในกลศึกของฉีอ๋อง ต่อให้มิอาจคว้าชัย ก็คงไม่พ่ายแพ้หนักหนา นับประสาอันใดกับเมื่อข้างกายเจียงเจ๋อยังมีเสี่ยวซุ่นจื่อคอยคุ้มครองอยู่อีก ดังนั้นนางจึงยังคงอารมณ์สงบนิ่งไว้ได้
ทุกวันเพียงชมดูทิวทัศน์ข้างทางกับโหรวหลันและหลี่หลิน แน่นอนว่าบางครั้งก็ต้องอุ้มเจียงเซิ่น จะว่าไปแล้ว ในหมู่เด็กน้อยสามคนนี้ เจียงเซิ่นดูเหมือนจะสงสัยใคร่รู้มากที่สุด หากอยากให้เขาหลับนานสักหน่อย ไม่ให้เขามองดูหน้าต่าง เขาก็มักจะร้องไห้โฮดังลั่นอยู่ร่ำไป
ถึงกระนั้น องค์หญิงฉางเล่อกลับรู้สึกว่าการที่ข่าวลือแพร่ลามเช่นนี้ผิดปกติอยู่เล็กน้อย วันหนึ่งหลังจากได้รับราชโองการลับจากนครหลวงต้ายง องค์หญิงฉางเล่อก็จงใจยืดระยะเวลาเดินทางให้ช้าลงและอ้อมทางผ่านเมืองหลายแห่ง ทุกแห่งหนที่ไปเยือน นางล้วนเป็นฝ่ายเรียกครอบครัวของขุนนางชั้นสูงในพื้นที่มาพบ แม้นางไม่เคยกล่าวสักคำเกี่ยวกับการศึกที่เจ๋อโจว หรือข่าวลือ แต่ท่าทางนิ่งสงบมีความสุขของนางก็ส่งผลต่อฮูหยินตราตั้งเหล่านั้น
ทุกคนล้วนทราบว่าฉู่เซียงโหวผู้เป็นพระราชบุตรเขยอยู่ที่เจ๋อโจว หากเจ๋อโจวเกิดเรื่อง องค์หญิงจะนิ่งสงบสบายใจเช่นนี้ได้อย่างไร ในเวลาไม่นาน ความคิดเช่นนี้จึงแพร่ต่อไปในหมู่ขุนนางชั้นกลางและชั้นล่างด้วยวิธีการอันรวดเร็วยิ่งกว่า
หลังจากองค์หญิงฉางเล่อกลับถึงนครหลวงต้ายงช้าขึ้นหลายวัน แม้เจ๋อโจวยังมิส่งข่าวการศึกมา แต่ข่าวลือก็แทบไม่ส่งผลต่อบรรดาขุนนางแล้ว แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะราชสำนักเข้าควบคุมด้วยส่วนหนึ่ง แต่คุณงามความชอบขององค์หญิงฉางเล่อก็เห็นเด่นชัด
เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบเจ็ด ในที่สุดขบวนเดินทางขององค์หญิงฉางเล่อก็มาถึงฉางอัน จักรพรรดิต้ายงมีราชโองการ รับสั่งให้องค์รัชทายาทหลี่จวิ้นนำขุนนางผู้มีตำแหน่งสูงกว่าขั้นสามตั้งขบวนต้อนรับนอกเมืองสามสิบลี้ ด้วยฐานะองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ นี่มิได้เป็นการกระทำเกินขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น ในเมืองหลวงผู้ใดมิทราบบ้างว่าครั้งนี้ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง องค์หญิงฉางเล่อมีความดีความชอบในการปลอบประโลมจิตใจผู้คนมาตลอดทาง
ม่านมุกบนราชรถเลิกเปิด ม่านหมอกขุ่นมัวปกคลุมดวงเนตรขององค์หญิงฉางเล่อ ความทรงจำช่วงแล้วช่วงเล่าแล่นผ่านดุจสายฟ้า รัชศกอู่เวยปีที่สิบเจ็ด ตนแต่งงานไปอยู่ไกลถึงหนานฉู่ จิตใจของตนในยามนั้นโศกสลด นึกชิงชังที่ราชรถแล่นเร็วเกินไปจนมองไม่เห็นแม้แต่เงาของนครฉางอัน
รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสาม ตนกลับมาจากหนานฉู่ แม้หวนคืนสู่ต้ายงบ้านเกิด แต่หัวใจกลับดั่งบ่อน้ำเก่าคร่ำคร่า ต้องการเพียงใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขข้างกายครอบครัว หลังจากนั้นแม้ตนหลบเลี่ยงสุดความสามารถ ก็ยังถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวน่าเศร้าของการแย่งชิงบัลลังก์ จนแทบมิได้อยู่ในพระราชวังอย่างสงบ ยามนั้นเอง หัวใจของตนเองผู้ตกพุ่มม่ายก็เริ่มหวั่นไหว แต่บุรุษในห้องหัวใจอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือกลับเสมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า
จนกระทั่งรัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้า ตนเองทอดทิ้งทุกสิ่งติดตามคนรักออกจากฉางอัน นางจึงได้พบความสุขที่ไม่เคยพานพบมาก่อน วันนี้ตนกลับคืนฉางอันอีกครั้ง น่ากลัวว่าคงไม่มีโอกาสได้กลับไปปลีกวิเวกที่ตงไห่อีกแล้ว ในใจมีความยินดีปรีดาที่ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แต่ก็มีความรู้สึกจำใจกับการต้องย่างเท้ากลับเข้ามาในโลกอันวุ่นวายอีกครั้งด้วย
เวลานี้เอง โจวซั่งอี๋ก็นำนางกำนัลหลายคนเดินเข้ามาอุ้มเด็กน้อยทั้งหลายออกไป องค์หญิงฉางเล่อสงบอารมณ์ที่กำลังหวั่นไหวแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยน จากนั้นก้าวเท้าลงจากราชรถ มองผู้คนที่มาต้อนรับตนด้วยท่าทางอันสุขุมนิ่งสงบ
องค์รัชทายาทหลี่จวิ้นผู้อายุเกือบสิบชันษารีบร้อนมารอคอยราชรถของเสด็จอาตั้งนานแล้ว กล่าวความจริง เขากับเสด็จอามิได้สนิทสนมกันนัก ถึงอย่างไรก็พบหน้ากันเพียงไม่กี่หน แต่เขาทราบฐานะของเสด็จอาผู้นี้ดียิ่ง หากมิใช่เพราะองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ เสด็จพ่อของตนอาจไม่มีโอกาสได้นั่งบนบัลลังก์ ส่วนตนก็คงไม่เหลือชีวิตนานแล้ว
แต่หลี่จวิ้นย่อมเข้าใจดีว่าสิ่งที่เสด็จพ่อของตนให้ความสำคัญที่สุดก็คือเสด็จอาแต่งงานกับฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อ หากกล่าวด้วยคำพูดของเสด็จพ่อ นี่คือวิธีการอันดีที่สุดในการผูกยอดอัจฉริยะผู้ล่องลอยอย่างอิสระดั่งก้อนเมฆผู้นั้นให้ติดอยู่กับราชรถศึกของต้ายง นอกจากนี้ ยังมิเป็นการบีบบังคับ หรือสร้างความบาดหมางแต่อย่างใดด้วย
ทว่าสำหรับหลี่จวิ้นแล้ว เกรงว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือน้องสาวตัวน้อยที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีผู้นั้น ซึ่งครั้งนี้ตามเสด็จอากลับมาเมืองหลวงด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่จวิ๋นก็อดขุ่นเคืองมิได้ ในอดีตตอนเขากลับจากโยวโจวมาถึงฉางอัน คิดว่าจะได้พบหน้าโหรวหลันหลังจากกันมาเนิ่นนาน แต่กลับประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ เมื่อพบว่าโหรวหลันถูกท่านเจียงพาจากไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สองปีกว่าที่ผ่านมาแม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไม่มี ในใจจึงวิตกกังวลเล็กน้อย เฝ้าหวังว่าโหรวหลันคงมิได้ลืมเลือนเขาไปแล้วกระมัง
ในที่สุดก็รอจนราชรถขององค์หญิงฉางเล่อมาถึงจนได้ เมื่อหลี่จวิ้นเห็นเสด็จอาผู้สวมเครื่องทรงขององค์หญิงยิ้มละไมก้าวเข้ามาตรงหน้าตน ดวงตาก็เบิกจนกลม เขายังจดจำภาพของเสด็จอาได้ แต่สิ่งที่ได้เห็นวันนี้กลับไม่เหมือนในความทรงจำ ทั้งที่รูปโฉมภายนอกมิเปลี่ยนแปลงไปอย่างใด แต่เหมือนกลับกลายเป็นคนละคน สีหน้าอ่อนโยนสง่างาม สุขุมแต่เปี่ยมสุขเช่นนั้น ทำให้คนรู้สึกเคารพและชื่นชมอย่างห้ามมิได้
หลังจากขบวนต้อนรับทำความเคารพเสร็จ เวลานี้เอง เด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราคนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกลุ่มนางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านหลังราชรถ แล้วคว้าแขนเสื้อของหลี่จวิ้นพลางเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “พี่จวิ้น ท่านยังจำหลันหลันได้หรือไม่”