ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 64 จดหมายจากบ้านมีค่าหมื่นตำลึงทอง (2)
ข้าวางจดหมายจากบ้านลงแล้วหยิบสารลับของฮ่องเต้ขึ้นมาต่อ บนนั้นเขียนเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ ครั้งนี้หนานฉู่ยกพลมาอย่างไม่มีลางบอกล่วงหน้าแม้แต่น้อย เอาอย่างบทเรียนที่ฮ่องเต้เคยมอบให้ยามบุกตีเจี้ยนเย่
แม้ขุนนางในราชสำนักของหนานฉู่หวั่นเกรงต้ายงยิ่งนัก แต่เป็นความหวั่นเกรงที่กลบซ่อนความเคียดแค้นเอาไว้อยู่ ยามนี้ราชสำนักหนานฉู่ถูกซั่งเหวยจวินควบคุมไว้ในมือ คนผู้นี้ต้องการใช้เงินทองทรัพย์สมบัติซื้อความสงบสุขเป็นที่สุด หลายปีที่ผ่านมาแต่ละปีหนานฉู่ต้องจ่ายเงินห้าล้านตำลึงเป็นค่าชดเชย แล้วยังต้องมอบเครื่องบรรณาการอันเป็นของล้ำค่านานาชนิด รวมถึงสตรีและภูษาแพรพรรณให้อีก สองสามปีมานี้กิจการที่หนานฉู่ของข้าถูกทางการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสามเท่า
แม้มีแม่ทัพเช่นลู่ช่านกับหรงเยวียนอยู่ แต่กำลังทหารกลับแทบไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ยุทโธปกรณ์และเสบียงที่กองทัพต้องการมีปริมาณมากมหาศาล ไม่มีเงินก็จงอย่าคิดเลี้ยงดูทหาร แต่ข้านับถือลู่ช่าน สองปีนี้เขาทำนาในเขตค่ายทัพที่สู่จงแล้วยังลักลอบค้าของเถื่อนด้วยการขนส่งทางน้ำผ่านฉางเจียงกับการขนส่งทางทะเล จึงได้เงินทองมามากมาย ไม่เพียงฝึกฝนทหารชั้นยอดออกมาได้กองหนึ่ง ยังช่วยสนับสนุนหรงเยวียนที่พิทักษ์แถบจิงเซียงอยู่ได้อีกด้วย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ผู้ที่ล่วงรู้มีไม่มาก ลู่ช่านทำอย่างเป็นความลับยิ่งนัก แม้แต่ซั่งเหวยจวินผู้มีอำนาจใช้มือเดียวปิดฟ้าในหนานฉู่ได้ก็ยังไม่ระแคะระคาย ถึงอย่างไรตอนนี้กองทัพหนานฉู่ก็กล่าวได้ว่าเป็นใต้หล้าของตระกูลลู่ หากซั่งเหวยจวินบีบบังคับมากเกินไป เกรงว่าไม่ต้องรอต้ายงบุกลงใต้ หนานฉู่ก็คงเกิดจราจลภายในเสียก่อนแล้ว
ส่วนเหตุที่ข้าทราบเรื่องนี้ ความจริงแล้วเป็นเพราะหอกลไกสวรรค์กับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ข้ากลับไม่คิดขัดขวางเรื่องนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากิจการนี้นำเงินนับล้านตำลึงมาให้ข้าทุกปี เพียงการได้ควบคุมแหล่งรายได้ของกองทัพหนานฉู่ก็ทำให้ข้ากระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งนักแล้ว ขอเพียงต้องการ ข้าก็ตัดเส้นทางการลักลอบขนสินค้าของหนานฉู่ได้ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพหนานฉู่ที่ไม่มีเงินสนับสนุนย่อมตกที่นั่งลำบาก แต่อาวุธชั้นยอดเช่นนี้ย่อมต้องเก็บไว้ใช้ในยามสำคัญ แม้แต่ครั้งนี้ที่หนานฉู่ยกพลประชิดตงชวนข้าก็ยังไม่อยากใช้ ถึงอย่างไรต้ายงก็มิอาจทำศึกสองด้านได้ ก่อนปราบเป่ยฮั่นสำเร็จ ยังมิอาจดับความหวังของหนานฉู่
ข้าอ่านสารลับของฝ่าบาทกับข่าวการศึกที่กรมกลาโหมส่งมาอีกหน ทันใดนั้นในใจข้าก็เกิดความรู้สึกประหลาด เหตุไฉนจึงบังเอิญเช่นนี้ เป่ยฮั่นเพิ่งแพ้พ่าย หนานฉู่ก็ยกพลบุก การกระทำของชิ่งอ๋องก็ช่างแปลกประหลาด จากที่ข้าทราบมา ชิ่งอ๋องผู้นี้มีความสามารถควบคุมตงชวนมาได้นานปี แม้แต่ยามสำนักเฟิงอี้รุ่งเรืองดั่งดวงตะวันกลางฟ้าก็ยังมิอาจทำอันใดเขาได้ บุคคลเช่นนี้จะเผยความขัดแย้งที่มีต่อราชวงศ์ออกมาง่ายๆ ได้เช่นไร
เขาชิงชังฉีอ๋องก็มิเป็นอันใด แต่ก็ไม่ควรก่อปัญหาในยามที่ฉีอ๋องคุมกองทัพรบกับเป่ยฮั่นอยู่ ซือหม่าซิวย่วนแม้เป็นสตรีสูงศักดิ์จากสู่จง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนจากแคว้นที่สิ้นแล้ว ทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ ตามหลักไม่ต้องพูดถึงพระราชทานโทษโบยจนตาย ต่อให้เอาผิดกับตระกูลซือหม่าด้วยก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
เพียงชิ่งอ๋องขอความเมตตาไม่ให้ลงโทษตระกูลของซือหม่าซิวย่วนก็เป็นน้ำใจอันหาได้ยากแล้ว สตรีเพียงคนเดียวไม่สมควรเป็นเหตุให้ตระกูลซือหม่าตัดสินใจแตกหักกับราชสำนักต้ายง เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าการกระทำของชิ่งอ๋องดูจะกำเริบเสิบสานเกินไปอยู่บ้าง ระหว่างสามสิ่งนี้ต้องเกี่ยวพันกันแน่ แต่ตอนนี้ข้ายังขบคิดสาเหตุไม่ออก
ขบคิดอยู่เนิ่นนานก็ยังไร้เงื่อนงำ ข้าจึงวางเอกสารลงแล้วเดินออกไปนอกกระโจม ยามนี้ใกล้พลบค่ำแล้ว อากาศด้านนอกหนาวเย็นยิ่ง อากาศเย็นโถมเข้าใส่หน้า ข้าตัวสั่นเทา อากาศของแดนเหนือนี่เหลือทนเสียจริง แม้ออกจากหนานฉู่มาหลายปีแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่คุ้นชินกับความหนาวเย็นของแดนเหนือ สายลมหนาวทำให้หัวข้าโล่ง ข้าไม่ขบคิดสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงเดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้
ระหว่างที่เดิน ทันใดนั้นข้าก็เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อกำลังก้มหน้าเดินเข้าไปในกระโจมเล็กหลังหนึ่ง ข้านึกแปลกใจโดยพลัน หลายวันนี้เขามักหายตัวไปบ่อยๆ เดิมทีข้าคิดว่าเขาไปฝึกกระบวนท่าใหม่อันใดเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ที่นี่ ข้ากวาดสายตามองรอบด้านเล็กน้อย ที่แท้ข้าเดินมาจนถึงสถานที่คุมตัวเชลยสำคัญเสียแล้ว แต่เสี่ยวซุ่นจื่อมาทำอันใดที่นี่เล่า
แม้ทราบว่ามิสมควรแอบดู แต่ข้าสงสัยใคร่รู้มากจริงๆ จึงจงใจเดินไปยังจุดที่ไม่ไกลจากกระโจมหลังนั้นนัก แม้ว่าระยะห่างเท่านี้จะค่อนข้างไกล อย่างน้อยองครักษ์ข้างกายข้าก็ไม่ได้ยินบทสนทนาด้านใน แต่ข้าได้ยินชัดเจนนี่ ข้าแสร้งทำท่าตกอยู่ในภวังค์ความคิด เหมือนกำลังขบคิดแผนการรบอยู่ แต่สมาธิของข้าทั้งหมดล้วนเพ่งไปที่หู แอบฟังสถานการณ์ด้านในอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลิงตวนนอนอยู่บนเตียง แววตาเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เขาเป็นผู้โชคดีที่รอดชีวิตมาเพียงคนเดียวของทหารม้ากุ่ยฉีข้างกายแม่ทัพกุ่ยเมี่ยน จนวันนี้เขาก็ยังจดจำได้ชัดเจน ในห้วงเวลาสุดท้าย พวกเขาสูญเสียม้าศึกไปแล้ว ทหารม้ากุ่ยฉีที่เหลือเพียงไม่กี่คนประจันหน้ากับแหลนอาชาและดาบยาวนับไม่ถ้วนเพื่อปกป้องท่านแม่ทัพ สหายร่วมรบข้างกายสิ้นใจไปทีละคน จนในที่สุดสนามรบก็เหลือเพียงท่านแม่ทัพกับตน
ความจริงแล้วจวบจนวันนี้ หลิงตวนก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตนจะรอดมาจนถึงตอนนั้น กองทัพต้ายงตะโกนลั่นว่า ‘จับตัวถานจี้’ แล้วล้อมเข้ามา ท่านแม่ทัพปกป้องตนเองไว้ด้านหลัง แม้เขาจะปกป้องแผ่นหลังของท่านแม่ทัพได้บ้าง แต่ก็เห็นชัดว่าท่านแม่ทัพรับการโจมตีมากกว่าครึ่งเอาไว้
ณ ตอนนั้นหลิงตวนเพิ่งค้นพบว่าที่แท้ท่านแม่ทัพกำลังพยายามสุดชีวิตเพื่อปกป้องตนอยู่ ในใจหลิงตวนทั้งซาบซึ้งทั้งละอายใจ แต่ทำได้เพียงสู้สุดกำลังป้องกันไว้ หากข้าไม่ตาย ก็จะไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายแผ่นหลังของท่านแม่ทัพได้เป็นอันขาด นี่เป็นความคิดเพียงอย่างเดียวของหลิงตวน
สุดท้ายแม่ทัพต้ายงคนหนึ่งก็เหมือนจะมองออกว่าตนเป็นจุดอ่อนของท่านแม่ทัพ จึงหันมาโหมโจมตีตน ตอนที่แหลนอาชาของเขากำลังจะแทงเข้าที่ลำตอของตนนั่นเอง ท่านแม่ทัพก็ใช้แขนรับการโจมตีหมายเอาชีวิตนั้นแทนตน ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์จึงยิ่งวิกฤต หมื่นทหารรุมล้อม ทั้งยังบาดเจ็บหนักไร้อาชา ไฉนเลยยังมีหวังรอด เพียงครู่เดียวตนก็ถูกแทงล้มลงกับพื้น แต่ท่านแม่ทัพยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับสักก้าว ขวานปากไก่กลายเป็นกำแพงเหล็กปกป้องตน มิให้ทัพต้ายงที่เข่นฆ่าจนดวงตาแดงก่ำเหล่านั้นฉวยโอกาสเอาชีวิตตนไปได้ แม้เขาสิ้นใจแล้วก็ยังคงใช้ร่างกายปกป้องตนไว้ข้างใต้
หลิงตวนมิอาจขยับแม้แต่น้อย เฝ้ามองขวานปากไก่ของท่านแม่ทัพร่ายระบำในระยะประชิดช่วงชิงเอาชีวิตนับไม่ถ้วน มองดูเขาถูกผู้คนรุมล้อมสังหาร ตั้งแต่ต้นจนจบท่านแม่ทัพไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่หลิงตวนมองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยแววตาให้กำลังใจของท่านแม่ทัพชัดเจน แววตานั่นกำลังบอกตนว่า ‘รักษาตัวให้ดี’ เมื่อถานจี้ล้มลง หลิงตวนก็สลบไปแล้ว
ความจริงแล้วเมื่อหลิงตวนฟื้นขึ้นมาในค่ายทหารของต้ายง ท่ามกลางความโศกเศร้าเจ็บปวดและความอัปยศ ในหัวใจกลับมีความรู้สึกยินดีสายน้อยอยู่สายหนึ่ง เขายังไม่ทันได้สัมผัสความงดงามของชีวิตอย่างเต็มที่ ความตายย่อมมิใช่สิ่งที่เขาวาดหวัง แต่ชะตาชีวิตหลังถูกจับเป็นเชลยจะเป็นเช่นไรเล่า
เขาไม่คิดแค้นแม่ทัพและทหารต้ายงเหล่านั้น เพราะท่านแม่ทัพเคยบอกไว้นานแล้วว่าผู้ที่เข่นฆ่าผู้อื่น ผู้อื่นย่อมมาเข่นฆ่าเขา ยามตัวเขาเป็นทหารม้ากุ่ยฉี ดวงวิญญาณบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนเคยวางวายใต้คมขวานปากไก่ วันนี้ท่านแม่ทัพกับสหายร่วมรบล้วนตายด้วยน้ำมือกองทัพต้ายง แม้แต่พี่ชายทั้งสองของตนก็ล้วนตายในสมรภูมิ แต่หลิงตวนกลับไม่แค้นเคืองกองทัพต้ายง เขาเพียงเคียดแค้นสวรรค์ เหตุใดใต้หล้าจึงต้องรบราฆ่าฟัน เหยียบย่ำชีวิตของคนตัวเล็กๆ เยี่ยงตนเสมือนหนึ่งมดปลวก
แน่นอนว่าแม้หลิงตวนไม่แค้นกองทัพต้ายง แต่ก็มิได้ขอบคุณที่กองทัพต้ายงช่วยรักษาตน หากมีโอกาส หลิงตวนก็ยังหวังจะกลับไปสังหารศัตรูบนสมรภูมิอีกหน ท่านแม่ทัพเคยบอกไว้ว่ามีความแค้นอันใดก็จงจบมันบนสมรภูมิ แต่คิดหนีไฉนจะง่ายดายเช่นนั้น ตนกลายเป็นเชลยศึกแล้ว ต่อให้ไม่ถูกประหารก็คงต้องถูกส่งไปใช้แรงงานหนัก ไหนเลยจะยังมีโอกาสได้กลับเป่ยฮั่นอีก
ยังมิต้องพูดถึงความปรารถนาในใจของหลิงตวน กระโจมหลังนี้ก็มิใช่เขาอยู่เพียงคนเดียว เชลยทั้งหมดล้วนถูกคุมตัวอยู่ในค่ายทหาร มิว่าสูงศักดิ์ต่ำต้อยล้วนหนึ่งกระโจมสิบสองคน ไม่มีเตียงไม้โคมไฟ มีเพียงเชลยที่ฐานะค่อนข้างพิเศษจำนวนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติค่อนข้างดี ส่วนที่หลิงตวนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ กว่าครึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาเป็นทหารกุ่ยฉีข้างกายถานจี้
แต่เชลยอีกคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกับเขาช่างชวนให้แปลกใจอยู่บ้าง คนผู้นั้นคือหัวหมู่คนหนึ่งในกองทัพของสืออิง นามว่าหลี่หู่ แม้คนผู้นี้ห้าวหาญแต่นิสัยวู่วาม ตำแหน่งจึงต่ำเตี้ย เหตไฉนจึงถูกคุมตัวเป็นพิเศษด้วยเล่า คนผู้นี้เป็นลูกน้องของสืออิง ถานจี้กับสืออิงไม่ถูกกันเป็นที่สุด ดังนั้นหลิงตวนจึงไม่ยินดีจะสนใจเขา
จนกระทั่งคนผู้นี้เล่าอย่างภาคภูมิใจว่าเขาทำฉู่เซียงโหวผู้ตรวจการกองทัพของต้ายงตกน้ำ แม้เอาชีวิตคนผู้นั้นไม่สำเร็จ แต่หลี่หู่ก็สาแก่ใจยิ่งนัก คราวนี้หลิงตวนจึงเข้าใจแล้ว เขามองเจ้าโง่คนนี้ด้วยแววตาเวทนา แม้เขามิรู้ชัดนักว่าฉู่เซียงโหวผู้นี้เป็นผู้ใด แต่เห็นชัดว่าสาเหตุที่รักษาแผลให้เจ้าหมอนี่คงจะเตรียมเล่นงานเขาให้ดูไม่ได้เป็นแน่แท้ เหมือนก่อนเชือดหมูย่อมต้องเลี้ยงให้อ้วน
แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง เขาก็ตัดสินใจไม่บอกอนาคตอันเลือนรางกับเจ้าคนสมองนิ่มคนนี้ ถึงอย่างไรชีวิตน้อยๆ ของพวกตนก็มิใช่ของตนเองอีกต่อไปแล้ว รู้ล่วงหน้าก็หามีประโยชน์อันใดไม่ ให้เขาสบายอกสบายใจเพิ่มสักสองสามวันเถิด
ขณะที่กำลังคิดสะระตะอยู่ก็มีคนเดินเข้ามา คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่ง หน้าตาสง่างามแฝงความนุ่มนวล ทว่าแววตาดั่งน้ำแข็ง หยิ่งทะนงและใสพิสุทธิ์ประหนึ่งเกล็ดหิมะโปรยปรายยามเหมันต์ หลิงตวนเห็นแวบแรกก็ทิ้งตัวลงนอนทันควัน
หลายวันนี้คนผู้นั้นมักแวะมาอยู่บ่อยครั้ง จะว่าไปแล้วก็แปลก ทุกครั้งที่คนผู้นี้มาล้วนถามทั้งสองเพียงว่าอาการบาดเจ็บเป็นเช่นไร หลังจากนั้นชวนคุยสัพเพเหระสองสามประโยคก็จากไป แม้ท่าทีเย็นชาแต่กลับไม่มีเจตนาดูหมิ่นแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่มาล้วนนำยารักษาแผลชั้นดีกับอาหารเลิศรสจำนวนหนึ่งมาด้วย
หลิงตวนพบว่านับตั้งแต่คนผู้นี้มาเยือนบ่อยๆ พลทหารที่คอยคุมตนก็เหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีก็นอบน้อมยิ่งนัก จากสิ่งเหล่านี้ หลิงตวนจึงสันนิษฐานได้ว่าฐานะของคนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ แต่เมื่อลองถามพลทหารที่อยู่ด้านนอก แต่ละคนกลับเงียบเป็นจักจั่นหน้าหนาว ผู้ใดก็มิยอมปริปากบอกเรื่องของเขา
ทว่าแม้คนผู้นี้จะทำตัวเป็นมิตร แต่หลิงตวนกลับมิอยากใกล้ชิดกับเขาแม้แต่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะทำศึกสงครามบนสมรภูมิมานานปี หลิงตวนจึงมีสัมผัสเฉียบคมอย่างยิ่งต่ออันตราย เขาสัมผัสได้ว่าแม้คนผู้นี้หน้าตางดงาม บนสีหน้าก็ไม่เผยจิตสังหารออกมาแม้แต่น้อย แต่เนื้อในกลับเป็นผู้ที่ไม่เห็นชีวิตมนุษย์อยู่ในสายตา
ส่วนหลี่หู่เองก็ดูเหมือนจะไม่ชอบเห็นหน้าคนผู้นี้อย่างยิ่งด้วย แต่มิใช่เพราะเขาฉลาดแต่อย่างใด มีครั้งหนึ่งหลิงตวนได้ยินหลี่หู่พึมพำว่า ‘ไอ้กะเทย’ อะไรสักอย่าง ดูท่านิสัยหยาบคายของเขาจะแผลงฤทธิ์อีกแล้วจึงทนเห็นคนประเภทนี้เป็นมิได้ก็เท่านั้น
วันนี้คนผู้นี้เข้ามาหาแต่กลับไม่เหมือนวันก่อนๆ สองมือว่างเปล่ามิได้นำของสิ่งใดมา แม้ไม่เอ่ยวาจา แต่หลิงตวนกลับรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาแผ่ไอเย็นยะเยือกออกมาจากในกระดูก เขาอดไม่ได้หัวเราะฝืดเฝื่อนในใจ คิดในใจว่าวันนี้คนผู้นี้คงเตรียมจะถอดหน้ากากทิ้งแล้วกระมัง เขามองหลี่หู่ด้วยสายตาเวทนา หลิงตวนสัมผัสได้ว่าเป้าหมายของคนผู้นี้หาใช่ตนไม่