ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 65 วางหมากทั่วหล้า (1)
หลงถิงเฟยนั่งสีหน้าย่ำแย่อยู่บนเบาะทรงกลม เฝ้ามองเปลวเพลิงของโคมไฟที่ส่ายไหวอยู่เงียบๆ ผ่านไปเจ็ดวันแล้วนับจากศึกที่เจ๋อโจว ชายแดนสงบลงชั่วคราว หลงถิงเฟยถูกเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นเรียกกลับจิ้นหยาง เดิมทีในใจหลงถิงเฟยเต็มไปด้วยความละอาย คิดแต่ว่าคงถูกตำหนิ คิดไม่ถึงหลังกลับถึงจิ้นหยาง เมื่อเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นเรียกเขามาพบในพระราชวังจิ้นหยาง ผู้ที่รอเขาอยู่กลับเป็นราชครูแห่งเป่ยฮั่น จิงอู๋จี๋
แม้หลงถิงเฟยมิใช่ศิษย์พรรคมาร แต่ก็ได้รับคำชี้แนะจากจิงอู๋จี๋มามากมาย ในใจจึงนับถือเขาเป็นอาจารย์มานานแล้ว หากจิงอู๋จี๋ดุด่าเขาสักหลายคำ เขาคงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ประมุขพรรคมารกลับมิเอ่ยถึงเรื่องความปราชัยในสงครามแม้แต่คำเดียว เพียงสั่งให้เขานั่งทำสมาธิในห้องว่างเปล่าอันเงียบสงบแห่งนี้เจ็ดวันเท่านั้น
เจ็ดวันนี้หลงถิงเฟยได้อยู่อย่างสงบสุขอย่างหาได้ยาก จึงได้ขบคิดพิจารณาความผิดพลาดของตนเอง เขานึกย้อนศึกเจ๋อโจวตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าต่อให้คิดทบทวนไปมาเช่นไร หลงถิงเฟยกลับค้นพบอย่างน่าเศร้าว่ากับดักครั้งนี้ต่อให้ตนล่วงรู้ล่วงหน้า อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงชนะโดยเจ็บหนักเท่านั้น หรือว่านามวีรบุรุษอันกระเดื่องเลื่องลือของตนจะมาเพราะยังมิเคยพบคู่ต่อกรกันแน่ ถ้าเช่นนั้นเจียงเจ๋อผู้ไม่เคยพบหน้าก็คือดาวข่มของตนหรือไร
ทุกครั้งที่คิด หลงถิงเฟยก็ยิ่งรู้สึกหัวใจเหน็บหนาว หลังจากเจ็ดวัน หลงถิงเฟยก็รู้สึกว่าอาภรณ์หลวมขึ้นจนอดหัวเราะฝืดเฝื่อนมิได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้นมากนัก แม้ทราบถึงความแข็งแกร่งของศัตรูแล้ว แต่หัวใจขอหลงถิงเฟยกลับนิ่งสงบ เขาไม่มีทางเลือกอื่น กองทัพต้ายงบุกประชิดชิ่นโจวแล้ว อย่างช้าสุดปีหน้าสงครามใหญ่ย่อมบังเกิด ศึกนี้ มิใช่เป่ยฮั่นล่มสลาย ต้ายงก็คงไม่มีกำลังยกพลขึ้นเหนืออีกหลายปี
เวลานี้ก็มีคนผลักประตูเข้ามา หลงถิงเฟยไม่หันกลับไป เขายังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา คนผู้นั้นถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยว่า “ท่านประมุขเรียกเจ้าไปพบ”
หลงถิงเฟยลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วหันกายกลับมาคำนับบุรุษวัยกลางคนผู้มีร่างกายสูงโปร่งผู้นั้นอย่างนอบน้อม “ถิงเฟยคารวะศิษย์พี่ต้วน”
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ก็คือต้วนหลิงเซียว ศิษย์เอกของประมุขพรรคมาร แม้หลงถิงเฟยมิใช่ศิษย์พรรคมารแต่ก็เคยได้รับคำชี้แนะจากประมุขพรรคมาร ต้วนหลิงเซียวเองก็เอ็นดูเขาอย่างยิ่ง หลงถิงเฟยจึงมองเขาเสมือนหนึ่งพี่ชาย เวลานี้ย่อมมิกล้าเสียมารยาท
พรรคมารสืบทอดเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่มีการรับศิษย์จำนวนมาก แม้แม่ทัพและพลทหารฝีมือเยี่ยมของเป่ยฮั่นมากมายเคยได้รับการสั่งสอนจากพรรคมาร แต่อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงศิษย์ในนามเท่านั้น จิงอู๋จี๋อยู่ที่เป่ยฮั่นมานานปี แต่กลับมีลูกศิษย์เพียงสี่คนเท่านั้น ผู้สืบทอดของผู้อาวุโสพรรคมารคนอื่นรวมเข้าด้วยกันแล้วยังไม่เกินจำนวนครึ่งร้อย
จิงอู๋จี๋ถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ทั้งสี่ด้วยตนเอง ศิษย์คนแรกคือต้วนหลิงเซียว เขาเป็นศิษย์ที่ติดตามประมุขพรรคมารมานานปี จิงอู๋จี๋มักเก็บตัวมิพบแขก งานในพรรคมารอยู่ในการดูแลของต้วนหลิงเซียวแทบทั้งสิ้น คนผู้นี้อุปนิสัยหนักแน่น สุขุมฉลาดเฉลียว วรยุทธ์ก็โดดเด่นยิ่งนัก เป็นตัวเลือกประมุขพรรครุ่นถัดไปโดยไม่มีผู้ใดเป็นคู่แข่ง ถานจี้เองก็เคยได้ร่ำเรียนวิชาใช้ขวานปากไก่จากเขา
ซูติ้งหลวน ศิษย์คนที่สองของประมุขพรรคมารเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพใต้บัญชาหลงถิงเฟย คนผู้นี้นิสัยกล้าหาญตรงไปตรงมา เป็นศิษย์ที่จิงอู๋จี๋รักที่สุด น่าเสียดายจบชีวิตลงที่ต้ายง จากไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น
ศิษย์คนที่สามของประมุขพรรคมารนามเซียวถง เป็นองครักษ์คนสนิทของหลงถิงเฟย รับผิดชอบสืบข่าวการศึก นิสัยโหดเหี้ยมเด็ดขาด ช่างระแวงสงสัย สืบข่าวการศึกน้อยครั้งจะผิดพลาด ถือเป็นคนสนิทของหลงถิงเฟย แล้วก็เป็นแขนซ้ายแขนขวาของเขา
ศิษย์คนที่สี่ของประมุขพรรคมารนามว่าชิวอวี้เฟย เดิมเป็นศิษย์ของนิกายจันทรา แต่อาจารย์ของเขาจากไปเร็ว จึงฝากเด็กกำพร้าไว้กับจิงอู๋จี๋ เด็กคนนี้ปีนี้เพิ่งอายุยี่สิบหกปี ในตัวมีข้อเด่นจากทั้งนิกายสุริยาและนิกายจันทรา รอบรู้เก่งกาจ ชำนาญทางดนตรี ใช้เสียงเพลงทำร้ายผู้คนได้ พรสวรรค์ในด้านวรยุทธ์ก็โดดเด่นอย่างยิ่ง เขามีนิสัยมิชอบการผูกมัด ชอบท่องเที่ยวเป็นที่สุด นอกจากคำสั่งของประมุขพรรคมาร มิเคยสนใจเรื่องอื่นใด แม้คนภายนอกทราบว่าประมุขพรรคมารมีศิษย์สี่คน แต่แทบไม่มีผู้ใดรู้จักหน้าตา หรือความสามารถของชิวอวี้เฟย
ต้วนหลิงเซียวยิ้มละไม กล่าวว่า “ถิงเฟย เจ้าอย่าได้กลัดกลุ้มเกินไปนักเลย ท่านประมุขเรียกพบ จักต้องมีวิธีช่วยเหลือแน่”
หลงถิงเฟยจึงวางใจลงเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มเจื่อน กล่าวว่า “ถิงเฟยวางกลศึกผิดพลาด ได้แต่หวังว่าท่านราชครูจะกอบกู้สถานการณ์ได้”
ต้วนหลิงเซียวเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ต่อให้ท่านประมุขมีแผนการ หากไร้ยอดแม่ทัพเช่นเจ้านำทัพออกศึกก็ไม่มีประโยชน์อันใด ไปกันเถิด น้องสี่กลับมาแล้ว รอพบเจ้าอยู่ด้วยกันกับท่านประมุข”
ยังห่างจากตำหนักที่จิงอู๋จี๋อาศัยอยู่ระยะหนึ่ง จู่ๆ เสียงพิณทรงพลังก็ลอยมาตามสายลม เพียงได้ยินเสียงพิณอันล้ำเลิศ หลงถิงเฟยก็ทราบว่าชิวอวี้เฟยเป็นผู้รังสรรค์ท่วงทำนอง เขายิ้มละไมกล่าวขึ้นว่า “ทักษะการบรรเลงพิณของอวี้เฟยก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว”
เพิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ จู่ๆ เสียงพิณพลันเปลี่ยน กระแสเสียงเปี่ยมไอสังหารอาบทั่วฟ้าดิน หลงถิงเฟยหยุดฝีเท้าอย่างห้ามมิได้ ท่วงทำนองนี้เหมือนเคยรู้จัก หลงถิงเฟยนับว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ ฟังอยู่ครู่หนึ่งก็จดจำได้ว่านี่คือเสียงกลองที่ดังมาจากกองทัพฝ่ายศัตรูระหว่างศึกที่ฉินเจ๋อ แต่ถูกชิวอวี้เฟยเปลี่ยนกลายเป็นทำนองพิณ
เขาจะลืมเลือนวันนั้นได้เช่นไร เสียงกลองนี้ทำให้ขวัญกำลังใจของพลทหารต้ายงกลับมามั่นคงจนต่อต้านการโจมตีของตนได้ เขาจดจำได้ชัดเจน ระหว่างที่เขาชะเง้อมองไปยังใจกลางทัพต้ายง ใต้ธงแม่ทัพตรงนั้น เงาร่างผอมบาง สองมือถือไม้ ยืนอยู่บนที่สูงทุ่มสุดแรงตีกลอง บัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นเองที่ทำให้ตนปราชัย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลงถิงเฟยพลันกระจ่างแจ้งว่าเหตุใดวันนั้นบนสนามรบจึงมีเสียงแตรสัญญาณประสานช่วยเหลือฝั่งตน ชิวอวี้เฟยคงไปเยือนฉินเจ๋อ แล้วเห็นเจียงเจ๋อตีกลองปลุกขวัญทหารจึ งใช้เสียงดนตรีช่วยกองทัพเป่ยฮั่น น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ ดูท่าหลายวันนี้ชิวอวี้เฟยคงยุ่งอยู่กับการพิเคราะห์ว่าจะเปลี่ยนเสียงกลองของเจียงเจ๋อในวันนั้นให้กลายเป็นเพลงพิณได้เช่นไรกระมัง ความพ่ายแพ้ในวันนั้น คงเป็นทั้งความล้มเหลวของตนและเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ของชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนงผู้นี้ด้วย
หลงถิงเฟยถอนหายใจแผ่วเบาแล้วยกเท้าเดินขึ้นบันไดหยกอีกครั้ง ด้านหน้าคือหอกล้วยไม้ สถานที่เก็บตัวฝึกปรือวิชาของจิงอู๋จี๋ ราชครูแห่งเป่ยฮั่น
หอกล้วยไม้เป็นหอสูงสามชั้นหลังหนึ่ง คานสลักเสลาเสาประดับภาพวาด งดงามวิจิตร พระราชวังจิ้นหยางแต่เดิมเป็นพระตำหนักยามแปรพระราชฐานของราชวงศ์ตงจิ้น หนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมาบูรณะมาหลายครั้ง ทั้งโอ่อ่าและงดงาม แม้เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นทั้งสองรุ่นมิใช่คนรักความหรูหรา นอกจากส่วนที่จำเป็นต้องซ่อมบำรุงก็มิเคยต่อเติมอันใด แต่ก็ยังมีทิวทัศน์งดงามที่ชวนให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มและตำหนักห้องหับงดงามอันโอ่อ่าอลังการ
หอกล้วยไม้ที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของพระราชวังจิ้นหยางเป็นยอดมงกุฎในหมู่ตำหนักทั้งหลาย สถานที่แห่งนี้เดิมทีเป็นตำหนักที่เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นรักที่สุด ทว่านับตั้งแต่จิงอู๋จี๋ได้รับแต่งตั้งเป็นราชครู เพื่อแสดงความเคารพและความสนิทสนม เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นจึงยกหอกล้วยไม้ให้เป็นที่พำนักของจิงอู๋จี๋ นับจากนั้นเป็นต้นมา หากจิงอู๋จี๋ไม่เชื้อเชิญ แม้แต่เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นก็มิอาจเยื้องกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ตามอำเภอใจได้
หลงถิงเฟยเดินตามบ่าวรับใช้ของประมุขพรรคมารขึ้นไปยังหอกล้วยไม้ ชั้นสามของหอกล้วยไม้สร้างให้เปิดโล่งเห็นท้องฟ้า ด้านบนมีโดมบังแสงตะวัน ตรงกลางมีเสาหยกคานทองคำคอยค้ำจุน บนพื้นปูพรมทอลายอันวิจิตรงดงาม รอบด้านมีราวหยกคอยป้องกัน จากบนเพดานจรดพื้นห้อยม่านมุกและผืนผ้าโปร่งบดบังไว้เป็นชั้นๆ เสมือนหนึ่งวิมานสวรรค์ มิเหมือนโลกมนุษย์
หลงถิงเฟยเดินตามบันไดหยกขึ้นไปยังหอกล้วยไม้ แล้วจึงเห็นบุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินผู้หนึ่งนั่งด้วยท่วงท่าสบายๆ อยู่บนตั่งนุ่มตรงกลางค่อนไปทางด้านหลังของหอกล้วยไม้ สองตาปิดสนิทคล้ายกำลังพักผ่อน เบื้องหน้าตั่งนุ่มทางด้านขวามีชายหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งนั่งอยู่ ด้านหน้าวางพิณโบราณกับโต๊ะเตี้ยทำจากหยกเอาไว้ ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังจดจ่อบรรเลงพิณ ฝั่งซ้ายของตั่งนุ่ม ควันกำยานจางๆ ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากเตาเครื่องหอม เสริมให้ที่แห่งนี้เหมือนแดนเซียนขึ้นอีก
หลงถิงเฟยมองเสร็จก็เดินไปคุกเข่าลงบนเบาะกลมด้านในหอ ส่วนต้วนหลิงเซียวคารวะบุรุษอาภรณ์สีน้ำเงินผู้นั้น หรือจิงอู๋จี๋ก่อนครั้งหนึ่งแล้วจึงนั่งลง
เวลานี้เอง เสียง ‘ผึง’ ก็ดังขึ้น สายพิณเส้นหนึ่งขาดสะบั้น เสียงพิณหยุดชะงักกะทันหัน ชายหนุ่มอาภรณ์สีดำคนนั้นเงยหน้าขึ้น ดวงหน้างดงามไร้ตำหนิเผยสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย จิงอู่จี๋ขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจ “อวี้เฟย จิตใจเจ้าสับสน ดูท่าการฝึกฝนหลายวันนี้ยังมิอาจทำให้เจ้าฟื้นความมั่นใจที่ถูกทำลายในวันนั้นกลับมาได้”
ชายหนุ่มอาภรณ์สีดำเผยสีหน้าละอาย เขาก้มลงคารวะแล้วกล่าวว่า “อาจารย์ ชีวิตศิษย์มิชมชอบสิ่งใด หลงรักเพียงเสียงดนตรี ถือดีว่าใต้หล้ามิมีคู่ต่อกร แต่เจียงเจ๋อผู้นั้นใช้เพียงเสียงกลองก็บรรเลงเป็นท่วงทำนองในช่วงเวลาฉุกละหุก เอาชนะศิษย์ได้ ในใจศิษย์มิอาจยอมรับ แต่กระนั้นศิษย์กลับนำท่วงทำนองนั้นมาปรับเปลี่ยนเป็นเพลงพิณมิได้
เจียงเจ๋อผู้นั้นอายุเพียงสามสิบปี แล้วยังล้มหมอนนอนเสื่ออยู่นานปี ไม่ว่าอย่างไร ศิษย์ก็มิเชื่อว่าความทุ่มเทที่เขามอบให้ดนตรีจะเหนือกว่าเวลาหลายปีที่ศิษย์ตรากตรำฝึกปรือฝีมือ บนโลกใบนี้มีผู้ที่พรสวรรค์ล้ำเลิศเช่นนี้อยู่จริงหรือ”