ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 68 สังหารคนปิดปาก (1)
“ฮัดเช้ย” หลี่หู่จามเสียงดังลั่น เขามองเจียงเจ๋อผู้ยืนมือไพล่หลังชมหิมะอยู่หน้ากระโจมอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็นึกแค้นว่าเหตุไฉนตนจึงอ่อนแอเช่นนี้ จนต้องมายืนตากหิมะคุ้มกันศัตรู เขาเผลอเอื้อมมือไปคว้าข้างเอว ยังไม่ทันจับถูกด้ามดาบ ด้านหลังก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นเบาๆ เขาหันกลับไปมองอย่างขัดใจก็เห็นหลิงตวนยืนมองตนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนมิใช่รอยยิ้ม
เมื่อเห็นตนหันกลับไป หลิงตวนก็บุ้ยปากทำท่าบอกให้หลี่หู่ระวังองครักษ์หลายคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังจับจ้องมาอย่างมาดร้าย หลี่หู่พรูลมหายใจออกมา ไม่ว่าราชองครักษ์หู่จีคนใดก็จับกุมตัวเขาได้ทันที คิดลอบสังหารเจียงเจ๋อเป็นการรนหาความลำบากให้ตนโดยแท้
หลิงตวนมองแผ่นหลังหดหู่ของหลี่หู่ แล้วหัวเราะฝืดเฝื่อนอย่างห้ามมิได้ ตนเองไยมิใช่ไร้สิทธิ์เหนือชีวิตตนเช่นเดียวกัน คิดถึงตรงนี้ก็หักห้ามใจไม่อยู่ ลูบคลำขวานปากไก่เล่มสั้นข้างเอว ใคร่ครวญต่อว่าจะลอบสังหารเจียงเจ๋ออย่างไรให้สำเร็จ
ข้าเห็นทุกการกระทำของหลี่หู่กับหลิงตวนอย่างชัดเจน ริมฝีปากผุดรอยยิ้มจางๆ อย่างห้ามมิอยู่ ภาพเหตุการณ์ยามโน้มน้าวทั้งสองคนปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง แม้สองคนนี้มิยินยอมพร้อมใจ แต่นั่นมิสำคัญ ขอเพียงบรรลุเป้าหมายของข้าได้ก็เพียงพอแล้ว
ภายในกระโจม หลี่หู่มองชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวด้วยสายตาแปลกประหลาด แม้เขาจะบุ่มบ่ามอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่คนโง่เขลา วันนี้คนผู้นี้เผยลมปราณเย็นยะเยือกดุดันออกมาชวนให้เขาอึดอัดไปทั่วร่าง เขาทนมิไหวจึงเอ่ยขึ้นว่า “เฮ้ย วันนี้ผู้ใดทำเจ้าโกรธหรืออย่างไร ไฉนสีหน้าไม่น่ามองเช่นนี้เล่า”
ดวงตาของหลี่ซุ่นปรากฏจิตสังหารวูบหนึ่ง ตอบว่า “พบหน้ากันหลายวันแล้ว ทั้งสองท่านคงยังมิรู้จักตัวตนของข้า ข้านามว่าหลี่ซุ่น เป็นบ่าวรับใช้ในเรือนของฉู่เซียงโหว”
หลิงตวนคาดเดาอยู่ในใจมาก่อนแล้วจึงเพียงยิ้มฝืดเฝื่อน เวลานี้เอง หลี่ซุ่นก็กวาดสายตามองหลิงตวนอย่างเจตนาแต่ไม่เหมือนเจตนาหนหนึ่ง แววตาเย็นยะเยือกทำให้หลิงตวนรู้สึกหนาวสะท้านในใจ คิดรวบรวมลมปราณ แต่น่าเสียดายที่เขาบาดเจ็บหนักเพิ่งฟื้นตัว มิอาจใช้วรยุทธ์ได้แม้แต่น้อย จึงได้แต่ทรุดกลับไปนั่งอย่างหดหู่
หลี่หู่แววตาสับสน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเข้าใจ “ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกน้องของผู้ตรวจการกองทัพผู้นั้น ข้าก็ว่าแล้ว จะมีผู้ใดหวังดีเช่นนี้โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุที่ไหนกัน แต่ข้าแปลกใจยิ่งนัก หากนายท่านของเจ้าอยากสังหารข้าชำระแค้น วันนั้นฟันข้าดาบเดียวก็พอแล้ว เหตุใดต้องยุ่งยากเช่นนี้ รอจนแผลข้าหายดีแล้วค่อยลงมือ”
แววตาของหลี่ซุ่นเย็นยะเยือกขึ้นอีกขั้น “คุณชายของข้าฐานะมิธรรมดา หลายปีที่ผ่านมาข้ารับผิดชอบความปลอดภัยของคุณชายด้วยตนเอง แต่เจ้ากลับเกือบจะทำร้ายคุณชายถึงตายต่อหน้าต่อตาข้า ความอัปยศเช่นนี้ไฉนจะกล้ำกลืนได้ลง หากปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ผู้อื่นไยมิคิดว่าข้าหลี่ซุ่นข่มเหงรังแกง่าย
ชีวิตผู้แซ่หลี่ชื่นชอบคติร้ายมาร้ายตอบเป็นที่สุด ยามนั้นเจ้าถูกจับเป็นเชลย จิตใจตั้งมั่นที่จะตาย หากข้าสังหารเจ้าตอนนั้นก็ให้เจ้าสมใจเสียเปล่า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงให้คนรักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้า ปฏิบัติอย่างมีมารยาทกับเจ้าเป็นพิเศษ รอเมื่อเจ้ามิอยากตายแล้ว ข้าค่อยสังหารเจ้าเสีย เช่นนี้ถึงจะสาสมแก่ใจข้า ทว่าหนึ่งดาบสะบั้นศีรษะสบายเจ้าเกินไป
ดังนั้นข้าจะให้ทางเลือกสองทางกับเจ้า ทางเลือกแรก ข้าจะเลือกทหารกล้าจากเชลยกองทัพเป่ยฮั่นให้เจ้าประลองกับเขา ผู้ชนะรอด ผู้แพ้ตาย หากเจ้าชนะได้หลายหนหน่อยก็มีชีวิตรอดอยู่ได้เพิ่มอีกหลายวัน ทางเลือกที่สอง ข้าจะเตรียมทัณฑ์ทรมานนานาชนิดไว้ให้เจ้า หากเจ้าทนแต่ละอย่างได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป หากเจ้าทนไม่ไหวก็ตาย”
หลี่หู่ฟังแล้วสันหลังหนาววูบ วิธีตายสองวิธีนี้ล้วนมิมีตัวเลือกที่ดีสักทาง แต่เขาก็ใจกล้าอยู่พอสมควร จึงเอ่ยอย่างดันทุรัง “ในเมื่อข้าตกอยู่ในมือของเจ้าแล้ว เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นกับเจ้า แต่เข่นฆ่าพวกเดียวกัน ข้าไม่มีทางทำ เจ้าจะทรมานก็ทรมาน ดูสิว่าข้าจะทนได้นานเท่าใด”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไม รอยยิ้มแฝงความเหี้ยมเกรียม ขณะที่กำลังจะเอ่ยตอบ หลิงตวนกลับชิงพูดขึ้นว่า “เจ้าโง่ หากเจ้าอยากตายสบายหน่อยก็เลือกประลองเถิด อย่างมากรอบแรกเจ้าก็พุ่งเข้าใส่อาวุธคู่ต่อสู้เสีย ยังนับว่าได้ตายสบายสักหน่อย หากให้ผู้อื่นทรมาน รอเจ้าอยู่มิสู้ตายคงได้วิงวอนร้องขอผู้อื่น ถึงเวลาเขาลากเจ้าออกไปประจาน แม้นเจ้าตาย ชื่อเสียงก็ย่อยยับไม่เหลือไปด้วย”
หลี่หู่ฟังจบพลันรู้สึกดั่งตกลงไปในห้องเก็บน้ำแข็ง แต่ก็ยังดื้อดึงเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะทนทรมานจนตายมิได้จนต้องทำเรื่องน่าขายหน้าพรรค์นั้น”
หลิงตวนยิ้มฝืดเฝื่อน ในใจคิดว่าข้าติดตามข้างกายท่านแม่ทัพมาหลายปี หาญกล้าเผชิญความตายนั้นง่าย แต่อดทนเพื่อคุณธรรมนั้นยากกว่า แม้แต่บุรุษอกสามศอกผู้ทรหดอดทน เมื่อต้องทัณฑ์ทรมานก็ยากจะทนได้นานสักเท่าใด ท่านแม่ทัพก็เป็นผู้ชำนาญการใช้ทัณฑ์ทรมานผู้หนึ่ง เมื่อเริ่มทรมานแล้ว ผู้ที่ถูกทรมานมิหาโอกาสปลิดชีวิตตนก็ยอมจำนนร้องวิงวอน ผู้ที่อดทนต่อการทรมานจนจบชีวิตมีเพียงหนึ่งในพัน ส่วนผู้ที่อดทนต่อการทรมานได้จนถึงที่สุด ข้ายังมิเคยเห็นมาก่อน
แม้อยากพูดเพิ่มอีกสักสองสามประโยค ทว่าตอนนี้แววตาเย็นเยียบของหลี่ซุ่นเหลือบมองมาแล้ว หลิงตวนไม่มีความกล้าหาญจะเตือนหลี่หู่คนโง่เง่าผู้นั้นซ้ำอีกหน ได้แต่หันหน้าหนี ในใจคิดว่า หากเจ้ามิเข้าใจ ข้าก็จนหนทางแล้ว ข้ามิอยากเผชิญทางเลือกยากๆ ระหว่างเป็นกับตายหรอกนะ
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อปรากฎแววตามาดร้าย ในใจคิดว่า หลิงตวนผู้นี้ช่างยุ่งไม่เข้าเรื่องเสียจริง จะจัดการเขาไปด้วยกันเลยดีหรือไม่
ตอนนี้หลี่หู่เข้าใจแล้วว่าตัวเลือกทั้งสองล้วนเป็นกลลวง คนตรงหน้าผู้นี้ต้องการให้ตนตายอย่างเจ็บปวดทรมานและอัปยศ แต่เขามีนิสัยไม่ยอมจำนน จึงขยับยิ้มตอบว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เจ้านี่ช่างความคิดร้ายกาจจริง แม้แต่สังหารคนยังไม่ยินยอมสังหารครั้งเดียวให้จบ ข้ามีชีวิตอยู่มาได้หลายวันนี้ก็นับว่าเป็นกำไรแล้ว เจ้าอยากจัดการเช่นไรก็จัดการเช่นนั้นเถิด”
กล่าวจบก็กระโดดลงจากเตียงเดินออกไปด้านนอก เดินไปก็โวยวายไปด้วย “ถึงอย่างไรบ้านข้าก็ไม่มีพ่อแม่ไม่มีเมีย ทิ้งชื่อเสียงน่าอับอายไว้หน่อยจะเป็นอันใด”
เสี่ยวซุ่นจื่อกลับตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าหลี่หู่คงเปลี่ยนใจ เลือกการตายอย่างไม่ทรมาน ยังคิดอยู่ว่าถึงเวลาจะลงมือเช่นไรดี มิให้หลี่หู่ตายง่ายนัก แต่หลี่หู่กลับกลับเลือกวิธีตายที่ทรมานมากกว่า เพียงเพราะไม่ยินดีเข่นฆ่าสหายร่วมรบ เมื่อเป็นเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย แต่มิว่าอย่างไร ในใจเขากำหนดแล้วว่าคนผู้นี้คือคนที่ต้องตาย เขาเองก็เป็นคนเย็นชาใจอำมหิตอยู่แล้วจึงหมุนตัวหมายจะออกไปเตรียมการ
ในที่สุดหลิงตวนก็อดทนไม่ไหว กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายท่านนี้ ในสนามรบรอดหรือตายเป็นเรื่องธรรมดา ยามนี้นายท่านของท่านบรรลุสมประสงค์ พวกเราเหล่านี้ล้วนเป็นเชลยใต้อำนาจ พวกท่านย่อมจัดการได้ตามใจ แต่ยื้อเวลามาถึงวันนี้เพื่อชำระหนี้แค้นเก่าจะทำเกินไปหน่อยหรือไม่”
หลี่ซุ่นหยุดฝีเท้า เขาหันกลับมาเหลือบมองหลิงตวนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นทหารม้ากุ่ยฉีองครักษ์ข้างกายแม่ทัพถานจี้ ข้าค่อนข้างนับถือแม่ทัพถานจึงมิคิดเล็กคิดน้อยที่เจ้าปากมาก มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้ากับหลี่หู่รับโทษเดียวกัน
แม่ทัพถานเข่นฆ่าล้างบางทหารและประชาชนเจ๋อโจวนับไม่ถ้วนเพื่อความแค้นของตนเอง คนเหล่านี้เดิมทีล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ คิดว่าเจ้าก็คงมิเคยห้ามปราม หลี่หู่ผู้นี้เกือบทำอันตรายชีวิตคุณชาย เรื่องนี้ไฉนจะยอมทนได้ เจ้าจะบอกว่าข้าเจ้าคิดเจ้าแค้นก็ดี จะบอกว่าข้าอำมหิตก็ช่าง แต่คนผู้นี้ข้าต้องสังหาร
เจ้าสนใจชีวิตของตัวเองจะดีกว่า โลงศพของแม่ทัพถานถูกส่งกลับเป่ยฮั่นแล้วย่อมมิอาจถูกหยามหมิ่นศพได้อีก แต่เจ้า หากมิใช่เพราะฉีอ๋องใจกว้าง คงถูกสับเป็นหมื่นชิ้นชดใช้แก่ทหารและประชาชนเจ๋อโจวแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจมาฟ้องร้องความอยุติธรรมแทนผู้อื่นอีกหรือ”
หลิงตวนตะลึง มิใช่เพราะคนผู้นี้กล่าวเสียดสีตน แต่เพราะคนผู้นั้นกล่าวออกมาชัดเจนว่านับถือท่านแม่ทัพ นี่เป็นไปได้เช่นไร มิต้องพูดถึงคนในกองทัพต้ายงที่ตามหลักสมควรมีแต่ความเคียดแค้นต่อท่านแม่ทัพ แม้แต่ในกองทัพเป่ยฮั่นเอง นอกจากพวกตนที่อยู่ใต้บัญชาโดยตรงของท่านแม่ทัพ แม่ทัพและพลทหารผู้อื่นต่างก็หวาดหวั่นและไม่พอใจท่านแม่ทัพกันทั้งสิ้น