ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 69 สังหารคนปิดปาก (2)
เวลานี้เอง หลี่หู่ผู้ผ่อนฝีเท้าลอบฟังทั้งสองคนสนทนากันจนจบก็ทราบว่าตนเองมิอาจโชคดีรอดพ้นแล้ว จึงเดินคอตกออกจากกระโจมไปอย่างหดหู่ เขามีนิสัยตรงไปตรงมาจึงมิวางท่าว่าไม่อนาทรต่อความตาย ผู้ใดจะคิดว่าเพิ่งเดินมาถึงนอกกระโจมก็เห็นบัณฑิตอาภรณ์สีเขียวห่มเสื้อคลุมตัวใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เบื้องหลังมีราชองครักษ์หู่จีสวมชุดสีดำยืนเฝ้าอยู่
แม้วันนั้นหลี่หู่มองเห็นเจียงเจ๋อเพียงไวๆ แวบหนึ่ง แต่เพียงเห็นท่าทางเช่นนี้ก็ทราบตัวตนของผู้มาเยือนแล้ว เขาหัวเราะหยันอย่างอดมิอยู่ “ที่แท้ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพก็มาลงทัณฑ์ด้วยตนเอง หากเป็นเช่นนี้ข้าหลี่หู่ตายก็คุ้มค่าแล้ว ทว่านึกถึงสภาพเหมือนไก่ตกน้ำวันนั้นของใต้เท้า นึกขึ้นมาแล้วก็น่าขันนักจริงๆ” กล่าวจบก็หัวเราะดังลั่น เขาคิดจะยั่วโมโหเจียงเจ๋อ ดีที่สุดยั่วให้เจียงเจ๋อเพลิงโทสะลุกท่วมหัว หนึ่งดาบฟันเขาตายเลยย่อมดีที่สุด
เสี่ยวซุ่นจื่อผู้กำลังจะก้าวออกจากประตูกระโจมมองไปเห็นเจียงเจ๋อผู้ยืนอมยิ้มอยู่ก็อุทานออกมาอย่างตกใจ เดิมทีวรยุทธ์ระดับเขาไม่มีทางเลินเล่อปล่อยให้ด้านนอกมีคนลอบฟังได้ แต่ภายในกองทัพผู้คนเดินมาเดินไป เมื่อครู่เจียงเจ๋อยังยืนอยู่ค่อนข้างไกล เสี่ยวซุ่นจื่อจึงคิดว่าเป็นคนไม่สำคัญ
อีกประการหนึ่ง เขาก็ไม่คิดว่าเจียงเจ๋อจะมาปรากฎตัวที่นี่ แม้อยู่ห่างพอสมควร แต่เสี่ยวซุ่นจื่อผู้ล่วงรู้ความสามารถของเจียงเจ๋อดีก็ทราบว่าคำพูดเมื่อครู่ของตนคงถูกได้ยินหมดแล้ว จึงหน้าแดงหูแดงอย่างห้ามมิได้ แล้วก้าวเข้าไปเอ่ยพึมพำ “ข้ามิได้คิดปิดบังคุณชาย แต่นึกแค้นเคืองคนผู้นี้จริงๆ ขอคุณชายอภัยด้วย”
หลี่หู่แต่เดิมกำลังโกรธแค้นเต็มอก ทว่าเมื่อครู่หลังเขาเอ่ยวาจาร้ายกาจออกไปตั้งหลายคำ กลับเห็นบุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นมองตนด้วยแววตาอ่อนโยน มิมีเจตนาร้ายแม้สักนิด ถึงขนาดที่ในแววตายังแฝงความชื่นชมอยู่บางส่วน เขาจึงทำตัวมิถูกอยู่เล็กน้อย ในใจคิดว่า ผู้ที่ต้องการสังหารข้าคือหลี่ซุ่นผู้นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ข้าเอ่ยวาจาร้ายกาจเช่นนั้นทำเกินไปหรือไม่
เขาขยับไปยืนด้านข้างอย่างละอายใจพลางลอบมองเจียงเจ๋อ ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าชายหนุ่มผอมบางผู้นี้น่าสงสาร นึกถึงวันนั้นตนพุ่งแหลนใส่เขาจนตกน้ำตกท่า ยามนั้นรู้สึกเพียงยินดีปรีดาสาแก่ใจ แต่วันนี้นึกย้อนกลับไปก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ตนเองถือตัวว่ากล้าแกร่งห้าวหาญ แต่เหตุไฉนไปลงมือสังหารบัณฑิตผู้ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่คนหนึ่งเสียเล่า
ฝั่งหลี่หู่กำลังสับสน แต่หลิงตวนผู้อยู่ในกระโจมเมื่อได้ยินคำว่า ‘เจียงเจ๋อ’ หัวใจก็สั่นไหว เขาทราบอยู่แล้วว่าคนผู้นี้เป็นผู้วางแผนการทำให้ท่านแม่ทัพติดกับดักจนตาย นอกจากความแค้น เขาก็อยากเห็นสักครั้งว่าคนผู้นี้หน้าตาเป็นเช่นไร ด้วยเหตุนี้จึงพยามฝืนออกมาจากกระโจมก่อนจะเพ่งสายตามอง
แม้รู้สึกว่าเจียงเจ๋อกิริยาท่าทางมิธรรมดา แต่ก็มิได้ดูเฉียบแหลมปานนั้นดังที่ในใจนึกจินตนาการ ถึงจะมีตำแหน่งสูงมียศเป็นถึงท่านโหว ทว่าคนผู้นี้ก็ยังสวมเพียงอาภรณ์สีเขียวตัวหนึ่ง มุมปากอมยิ้ม แววตาอ่อนโยน การเคลื่อนไหวและท่วงท่าแฝงกลิ่นอายความนิ่งสงบ ชวนให้ผู้มองเกิดความรู้สึกน่าเข้าใกล้น่าสนิทสนม หลิงตวนสับสนมึนงงอย่างห้ามมิได้ คนผู้นี้คือตัวการร้ายที่ทำให้ท่านแม่ทัพถึงแก่ความตาย เหตุไฉนตนกลับมิเกิดความคิดอยากสังหารสักนิดเลยเล่า
ข้าเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของทั้งสามคน ข้าก็ส่ายศีรษะแล้วหัวเราะเบาๆ ข้ารู้จักนิสัยของเสี่ยวซุ่นจื่อดี ได้มาเห็นเขาวางแผนเสียดิบดีว่าวันหน้าจะหาข้ออ้างมาแก้ตัวกับข้าเช่นไรก่อนลงมือชำระแค้น แม้ข้ารู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกตื้นตันและขบขันเสียมากกว่า
จากนั้นข้าก็มองหลี่หู่ผู้ยืนนิ่งงันอยู่ฝั่งนั้น คนผู้นี้มิเคยถูกข้าเก็บมาใส่ใจ วันนั้นที่ตกน้ำ ข้าเพียงนึกเคืองแค้นฉีอ๋องที่หัวเราะเยาะเท่านั้น มิเคยคิดชำระแค้นกับคนผู้นี้แม้แต่น้อย คิดไม่ถึงเสี่ยวซุ่นจื่อกลับแอบลงมือเอง หากมิใช่ข้ามาพบเข้า ต่อให้คนผู้นี้เดินทางไปถึงยมโลกแล้วก็คงก่นด่าสาปแช่งข้าอยู่กระมัง
ส่วนอีกคนนั่นแม้ข้ามิรู้จัก เขามีสีหน้าดุจน้ำแข็ง ไอสังหารเต็มเปี่ยมทั้งที่อายุยังน้อย แต่ใบหน้าขาวผ่องประหนึ่งน้อยครั้งจักต้องแสงตะวัน เป็นเด็กหนุ่มผู้โดดเด่นที่พบได้น้อย ข้ามองเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้งหนึ่งก็มองไปทางหลี่หู่ แล้วคลี่ยิ้มถามว่า “ที่แท้เจ้าคือผู้ที่ส่งข้าไปแช่น้ำหนาวยะเยือกนี่เอง มิทราบท่านนี้คือผู้ใด”
หลิงตวนเห็นข้าถามเขาก็หันหน้าหนีมิยอมตอบ เสี่ยวซุ่นจื่อมองเขาอย่างเย็นชาแล้วตอบว่า “คนผู้นี้นามว่าหลิงตวน เป็นทหารม้ากุ่ยฉีใต้บัญชาของถานจี้”
ข้าเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าทหารม้ากุ่ยฉีข้างกายแม่ทัพกุ่ยเมี่ยนเก่งกาจห้าวหาญ คิดไม่ถึงว่าอายุน้อยเช่นนี้ เจ้าก็มีความสามารถปานนี้ ช่างหายากนัก หายากจริงๆ”
ข้าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กำลังคิดจะเกลี้ยกล่อมอ้อมๆ มิให้เสี่ยวซุ่นจื่อสนใจหลี่หู่อีก ทันใดนั้นในใจก็พลันเกิดความคิดประหลาดอย่างหนึ่ง
ตอนนั้นในสารที่ข้าจงใจให้ทหารเป่ยฮั่นแย่งชิงไปกล่าวว่าทัพหลังของพวกเขามีแม่ทัพระดับสูงคิดทรยศอยู่ แต่มิได้เจาะจงผู้ใดเป็นพิเศษ ส่วนหลังจากนั้นจะเพิ่มความระแวงของหลงถิงเฟยเช่นไร ข้าล้วนยกให้ฉีอ๋องจัดการ เพียงแต่มอบกฎให้ข้อหนึ่ง นั่นคืออย่าทุ่มไปที่จุดใดจุดหนึ่ง ดีที่สุดคือทำให้ทุกคนล้วนน่าสงสัย ทุกคนล้วนดูเหมือนกบฏจึงจะดี เพื่อมิให้ใส่ความผิดคนจนทำให้หลงถิงเฟยได้สติขึ้นมา
แต่เมื่อเห็นพลทหารนายนี้ ข้าก็พลันคิดได้ว่าเมื่อเทียบกับแม่ทัพคนอื่น ความจริงแล้วสืออิงเป็นตัวเลือกอันเหมาะสมที่สุด ยามนั้นเขานำทหารมาดักสังหารข้ากับฉีอ๋อง แม้ความจริงแล้วที่ข้าหนีรอดมาได้เพราะพึ่งโชคดีเสียส่วนมาก แต่ในกองทัพเป่ยฮั่นก็คงมีผู้นึกคลางแคลงอยู่กระมัง หากกล่าวว่ายามสืออิงไล่ล่าสังหารพวกเรา เขายั้งมือไว้ก็พอฟังขึ้น
แม้ข้าอยากกำจัดต้วนอู๋ตี๋ก่อน แต่สืออิงค่อนข้างเลินเล่อ เขาดูจะตกลงมาในกับดักง่ายกว่า ยิ่งเมื่อนึกถึงข่าวสารที่ข้าเพิ่งได้รับมาไม่นานนี้ บอกว่ายามมีชีวิต ถานจี้ไม่ถูกกับสืออิงอย่างยิ่ง ครั้งนี้สืออิงบาดเจ็บรั้งอยู่ที่ชิ่นโจว ถานจี้นำทัพกลับถูกดักซุ่มจนสิ้นชีวา หากองครักษ์คนสนิทของถานจี้กล่าวว่าสืออิงคิดทรยศ เกรงว่าหลงถิงเฟยจะอย่างไรก็คงเชื่ออยู่สามส่วน เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าก็มองหลิงตวนอีกครั้ง มิทราบว่าเสี่ยวซุ่นจื่อตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจึงให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะใช้จารชนซ้อนสำเร็จก็ยิ่งมากขึ้น
แต่เรื่องนี้มิอาจรีบร้อน ภารกิจเร่งด่วนคือต้องเก็บสองคนนี้ไว้ข้างกายก่อน มิเช่นนั้นจะมีโอกาสปล่อยให้พวกเขาล่วงรู้ ‘ความลับ’ เรื่องนั้นได้อย่างไรเล่า เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “อากาศหนาวเย็น อย่าอยู่ด้านนอกคุยกันเลย เข้าไปด้านในเถิด” กล่าวจบก็เดินเข้าไปด้านในกระโจม
เสี่ยวซุ่นจื่อมายืนอยู่ข้างกายข้าอย่างว่องไว ป้องกันมิให้เชลยทั้งสองคนนี้ลอบสังหารข้า ความจริงยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาบาดเจ็บหนักจนยากจะลอบสังหาร มีเสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ข้างกายข้า ต่อให้พวกเขาร่างกายสมบูรณ์ดีก็อย่าฝันว่าจะลงมือสำเร็จ คำกล่าวที่ว่าปีนป่ายชะโงกผา ใจสงบดั่งเดินบนพื้นราบอะไรนั่น ความจริงแล้วส่วนใหญ่ทำได้เพราะในใจรู้ดีว่าไม่มีอันตรายต่างหาก
ข้าเดินเข้าไปในกระโจมแล้วนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง หลี่หู่กับหลิงตวนเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ท่าทางมิใคร่ยินดีนัก แต่ก็มีท่าทีสงสัยใคร่รู้อยู่เล็กน้อย
ข้ามองสำรวจสองคนนี้อย่างละเอียดอีกหนอยู่นานแล้วก็หัวเราะ “เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าอย่าวุ่นวายนักเลย ผ่านไปไม่กี่วันพวกเขาหายดีก็ต้องถูกส่งไปใช้แรงงานหนักแล้ว ถึงเวลาด้านนอกมีทหารคุมแน่นหนา ในมือไร้อาวุธให้ถือ ทุกวันทำงานเหนื่อยยากลำบาก ยิ่งสองคนนี้เป็นผู้มีวรยุทธ์โดดเด่น เกรงว่าคงต้องสวมตรวนเท้าเพิ่มอีก
คนเหล่านี้ล้วนตกเป็นเชลยแล้ว ต่อให้พวกเราทำลายเป่ยฮั่นสำเร็จ ถึงพวกเขาอยากหลุดพ้นความลำบาก แต่อีกหลายปีนับจากนี้ก็อย่าได้คิดเป็นอิสระ ความทุกข์ยากเช่นนี้ย่อมเพียงพอแล้ว ไยเจ้าต้องหาโอกาสชำระแค้นอีกเล่า”
แม้หลี่หู่กับหลิงตวนฟังแล้วหม่นหมอง แต่ก็ทราบว่าตามหลักสมควรเป็นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตามกฎยามสองทัพรบกัน พลทหารที่บาดเจ็บหนักเช่นพวกเขา ทั้งยังตำแหน่งมิสูงก็น่าจะถูกกองทัพศัตรูที่เก็บกวาดสนามรบตัดศีรษะทันที การเป็นเชลยมีแต่พลทหารที่บาดเจ็บเล็กน้อยกับแม่ทัพผู้มีฐานะสำคัญจึงจะได้รับสิทธิ์ประการนี้ ต่อให้กลายเป็นเชลย พวกที่บาดเจ็บหนักเช่นพวกเขา หมอในกองทัพโดยปกติแล้วก็ทำอันใดมิได้ ถึงรอดก็มีชีวิตได้อีกไม่นาน กล่าวไปแล้วที่หลี่หู่ยังรอดมาจนถึงวันนี้ก็เพราะเสี่ยวซุ่นจื่อต้องการแก้แค้นจึงให้คนตั้งใจรักษาเขา ส่วนหลิงตวนเพราะได้อานิสงส์จากถานจี้ ฉีอ๋องสั่งคนให้รักษาเป็นกรณีพิเศษ จึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้