ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 76 ดุจพบสหายเก่า (2)
ข้าลงจากรถม้า มองปราดแรกก็เห็นฉือหย่วนต้าซือผู้นั้นทันที ในอดีตตอนข้าถูกลอบสังหารที่จวนยงอ๋อง ฝ่าบาทเคยใช้ชื่อของเผยอวิ๋นเชิญเขามาคุ้มกันสวนเหมันต์ หลังจากนั้นข้าก็เคยไปเยี่ยมเยือนเขาเพื่อขอบคุณ เขาเป็นพระชั้นสูงผู้แตกฉานพุทธศาสนาแห่งวัดเส้าหลิน คิดไม่ถึงวันนี้จะถูกส่งมาเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ วัดเส้าหลินคงมีเจตนาจะก่อตั้งสำนักที่เจ๋อโจวกระมัง แต่สิ่งเหล่านี้มิเกี่ยวข้องกับข้า ข้าก้าวเข้าไปคำนับทักทาย “มิพบหน้ากันหลายปี ต้าซือสบายดีหรือไม่”
ฉือหย่วนต้าซือมิกล้าต้อนรับบกพร่อง เขาก้าวเข้ามาประนมมือคำนับ “ท่านโหวให้เกียรติมาเยือนวัดซอมซ่อ อาตมาเป็นเกียรตินัก ทุกสิ่งตระเตรียมพร้อมแล้ว รอเพียงท่านโหวเซ่นไหว้ในวันพรุ่ง”
ข้ายิ้มแย้มกล่าวว่า “ต้าซือมิต้องมากพิธีเช่นนี้ วันนี้บุตรน้อยของข้าเป็นศิษย์สำนักท่านแล้ว มิต้องเรียกขานท่านโหวอันใดหรอก ต้าซือเพียงเรียกชื่อแซ่ผู้แซ่เจียงก็พอแล้ว วันนี้ดึกแล้ว เจียงเจ๋อเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ขอต้าซืออภัยให้ความไร้มารยาทของเจียงเจ๋อ ตอนนี้คงต้องพักผ่อนแล้ว”
ฉือหย่วนต้าซือคลี่ยิ้ม “ประสกเจียงร่างกายอ่อนแอโรครุมเร้า อาตมาทราบดีจึงเตรียมห้องที่เงียบสงบไว้ให้แล้ว เชิญ” กล่าวจบฉือหย่วนต้าซือก็นำพวกเรามาส่งที่เรือนด้านหลัง เกาเหยียนถูกจัดให้อยู่ในเรือนพักแขกด้านข้าง หลังจากอาบน้ำผลัดอาภรณ์ รับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้น ข้าก็นั่งมองหิมะที่โปรยปรายลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ จากตรงหน้าต่าง ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด
เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็จัดการทุกสิ่งเสร็จเรียบร้อย เขากล่าวขึ้นว่า “คุณชาย ท่านเจ้าอาวาสจัดแจงราชองครักษ์หู่จีทั้งหมดที่ถูกส่งมาล่วงหน้าได้เหมาะสมยิ่ง ตอนนี้วัดวั่นฝัวอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเราแล้ว แต่วันนี้คุณชายเสี่ยงอันตรายเกินไป ยังมิได้สืบความเป็นมาของเกาเหยียนผู้นี้ให้แน่ชัด คุณชายก็ร่วมรถม้าร่ำสุรากับเขา หากฐานะของเขาเป็นเรื่องหลอกลวง คิดหมายลอบสังหารขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า”
ข้าหัวเราะเบาๆ “เจ้ากังวลเกินไปแล้ว ผู้ชมชอบความสง่างามเช่นนี้ ต่อให้คิดลอบสังหารก็มิกระทำการบุ่มบ่าม หากไม่มั่นใจว่าจะลอบสังหารสำเร็จและจากไปได้อย่างปลอดภัย เขาไม่ลงมือง่ายๆ เป็นอันขาด ฐานะของคนผู้นี้จะจริงหรือลวงย่อมมีพวกเจ้าไปสืบค้น แต่มิว่าอย่างไรคนที่มีบุคลิกและความสามารถเช่นนี้ก็ทำให้ข้าประทับใจอย่างแท้จริง
ข้ารู้สึกประหนึ่งได้พบสหายที่รู้จักมาเนิ่นนาน สหายผู้เก่งกาจและรู้ใจอันหาได้ยากเช่นนี้ ข้าจะตัดใจปล่อยไปได้เช่นไร หากพวกเจ้าสืบจนชัดเจนแล้วพบว่าคนผู้นี้เป็นมือสังหารจริงๆ นับจากนี้ไปก็คงมิอาจสนทนาอย่างเบิกบานใจเช่นนี้ได้อีก ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเสี่ยงอันตรายร่วมเดินทางร่วมร่ำสุรากับเขา แน่นอนแม้จะคาดการณ์ถูกว่าเขามีปัญหาอยู่บ้าง แต่เขาก็คงมิลงมือระหว่างทาง
เอาเถิด เจ้าให้ฮูเหยียนโซ่วสั่งองครักษ์เบื้องล่างให้ทำงานระวังหน่อย จริงสิ ตอนนี้อย่าเพิ่งปล่อยให้หลิงตวนมีโอกาสหลบหนี รอวันพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ค่ำคืนอันยาวนาน พลิกกายไปมายากหลับใหล เกาเหยียน ไม่สิ สมควรเรียกว่าชิวอวี้เฟยแทบจะมิอาจข่มตาหลับลงตลอดทั้งคืน ในใจเขาคิดวนเวียนนับร้อยพันจบ เหตุไฉนสหายรู้ใจที่ตนยอมรับต้องเป็นเจียงเจ๋อที่ตนเดินทางมาลอบสังหารครั้งนี้ด้วยหนอ
นึกถึงความสามารถและกิริยาท่าทางของคนผู้นั้น ในใจก็มีเพียงความชื่นชมนับถือ แต่หลายวันหลังจากนี้ ตนต้องลอบสังหารเขา หากทำสำเร็จย่อมเจ็บปวดที่สูญเสียสหายรู้ใจ หากล้มเหลวย่อมมิมีโอกาสสนทนาเรื่องพิณภาพหมากอักษรกับเขาได้อีก ช่างน่าเสียดายยิ่งนักจริงๆ
ตัวตนที่ชิวอี้เฟยใช้มิใช่ตัวตนปลอม เกาเหยียนมีตัวตนอยู่จริง แต่เขามิได้ออกจากเกาลี่เพราะไม่ต้องการแย่งชิงอำนาจ แต่เพราะอ่อนแอจนมิอาจต่อสู้ได้ จึงถูกบีบให้ระเหเร่ร่อนมาถึงจงหยวน ทว่าเสด็จพี่ของเขาส่งคนมาไล่ล่าสังหาร โชคยังดีที่ต้วนหลิงเซียวช่วยเหลือไว้จึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้
ต้วนหลิงเซียวเห็นว่าชิวอวี้เฟยต้องการลอบสังหารเจียงเจ๋อ เขารู้ดีว่าภารกิจนี้ยากเย็นและอันตราย แม้พรรคของตนมียอดฝีมือมากมาย แต่จนปัญญาด้วยทำสงครามกับต้ายงมานานปี เกรงว่าสายลับของต้ายงเกินกว่าครึ่งคงจดจำใบหน้าพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ส่งชิงอวี้เฟยเดินทางมาผู้เดียว
แต่ต้องการเข้าใกล้เจียงเจ๋อไฉนจะง่ายดังปากว่า จักรพรรดิต้ายงคัดเลือกราชองครักษ์มาคุ้มครองด้วยตนเอง แล้วยังมีฉีอ๋องคอยดูแลความปลอดภัยสุดกำลัง ยอดฝีมือรายล้อมรอบกายดั่งหมู่เมฆ เฝ้าระวังเข้มงวดกวดขัน ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้าใกล้ ดังนั้นต้วนหลิงเซียวจึงจงใจยืมบ่าวรับใช้สองคนจากเกาเหยียน ให้ชิวอวี้เฟยสวมรอยเป็นเกาเหยียนเพื่อเข้าใกล้เจียงเจ่อ
ด้วยฐานะองค์ชายจากแคว้นต่างแดนของเกาเหยียน ย่อมทำให้เจียงเจ๋อลดความระแวงไปได้ส่วนหนึ่ง ต้วนหลิงเซียวเชื่อว่าชิวอวี้เฟยจะได้รับความชื่นชมจากเจียงเจ๋อ ขอเพียงเตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม ย่อมหาโอกาสเหมาะในการลอบสังหารได้ไม่ยาก
เดิมทีชิวอวี้เฟยก็รู้จักเกาเหยียนอยู่แล้ว พวกเขามักร่ำสุราพบปะกัน การสวมรอยเป็นเกาเหยียนจึงมิต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย ทว่าชิวอวี้เฟยกลับคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าจะได้รู้จักกับเจียงเจ๋อในสถานการณ์เช่นนี้ มิหนำซ้ำทั้งสองคนยังรู้สึกดั่งพานพบสหายเก่าตั้งแต่แรกเจอ ทั้งยังนับถือกันและกันอย่างยิ่ง
ตามแผนการเดิม ชิวอวี้เฟยวางแผนว่าจะถูกฝั่งกองทัพต้ายงสงสัยและถูกกักตัวไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้เพียงแจ้งฐานะของเกาเหยียนออกมา แม่ทัพเหล่านั้นย่อมมิกล้าจัดการตนโดยง่าย เจ๋อโจวยามนี้อยู่ในการปกครองของฉีอ๋อง ชิวอวี้เฟยย่อมถูกคุมตัวในค่ายใหญ่ของฉีอ๋อง ฐานะพิเศษเช่นนี้ ระหว่างสอบสวน ผู้ตรวจการกองทัพเช่นเจียงเจ๋อย่อมต้องปรากฏตัว ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ตรวจสอบว่าสถานะนี้เป็นเรื่องจริงหรือปลอม ชิวอวี้เฟยย่อมได้อยู่ในค่ายทัพช่วงเวลาหนึ่ง
ด้วยความสามารถของชิวอวี้เฟย เขาย่อมทำตัวให้เป็นที่ถูกใจของเจียงเจ๋อได้อยู่แล้ว แต่ผู้ใดจะคิดว่าชิวอวี้เฟยยังไม่ทันถูกกองทัพต้ายงสอบสวนก็บังเอิญพบเจียงเจ๋อที่เดินทางมาเซ่นไหว้บิดาที่วัดวั่นฝัว ชิวอวี้เฟยย่อมไม่มัวยึดติดกับแผนการ เขาใช้ตัวตนของเกาเหยียนผูกมิตรกับเจียงเจ๋อทันที ทว่าระหว่างกระบวนการนี้ สิ่งเดียวที่นอกเหนือจากความคาดหมายก็คือ ชิวอวี้เฟยผู้คิดแค้นและมิยอมแพ้เจียงเจ๋ออยู่ในใจกลับพบว่าเจียงเจ๋อผู้นี้เป็นสหายรู้ใจอันหาได้ยากยิ่งของตน โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งคนจนเหลือรับยิ่งนัก
วันรุ่งขึ้นข้าเปลี่ยนมาสวมชุดสีขาว เซ่นไหว้บิดาในอุโบสถหลังใหญ่ ภายในอุโบสถ นอกจากพระสงฆ์ก็ยังมีเสี่ยวซุ่นจื่อ เกาเหยียนและฮูเหยียนโซ่วอยู่ด้วยสามคน หลังจากจุดธูปเซ่นไหว้เสร็จ ข้าก็ให้พระเหล่านั้นถอยออกไปแล้วกล่าวขึ้นอย่างนิ่งสงบ “ซวี่จือสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเชิญท่านมาร่วมเซ่นไหว้ด้วย”
ในใจเกาเหยียนสงสัยตั้งนานแล้วจึงกล่าวว่า “ข้าสงสัยเรื่องนี้อยู่จริงๆ แต่ข้านับถือสุยอวิ๋นเป็นสหายรู้ใจ บิดาของท่านย่อมเป็นผู้อาวุโสของข้า เซ่นไหว้สักครั้งย่อมสมควรแก่มารยาท”
ข้าคลี่ยิ้ม “แม้เป็นเช่นนี้ เจียงเจ๋อก็มิใช่คนหยิ่งยโส วันนี้เชิญซวี่จือมาร่วมเซ่นไหว้ ความจริงแล้วเพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการไหว้วาน” กล่าวจบ ข้าพลันเอื้อมมือออกมารับตำราหุ้มผ้าแพรสีเหลืองเล่มหนึ่งจากเสี่ยวซุ่นจื่อ สองมือประคองส่งให้เกาเหยียนอย่างระมัดระวังยิ่งนัก
เกาเหยียนรับมาเปิดดูอย่างไม่ทันคิด บนปกเขียนไว้ว่า ‘ตำราพิณชิงหย่วน’ เขารักศาสตร์แห่งพิณเป็นที่สุดจึงอดใจมิไหว พลิกอ่านทันที มิคาดคิดว่ายิ่งอ่านยิ่งตกตะลึง บทเพลงในตำราเล่มนี้ส่วนมากล้วนเป็นบทเพลงโบราณที่ขาดการสืบทอด ทั้งยังมีหลายบทเพลงมิทราบนามแต่งดงามเลิศเลอยิ่งนัก ตำราพิณเล่มนี้ สำหรับผู้รักพิณ ถือเป็นของล้ำค่าอันหาได้ยากยิ่ง
เกาเหยียนรู้สึกว่าสองมือสั่นระริก เอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี “สุยอวิ๋น ตำราพิณเล่มนี้ ตำราพิณเล่มนี้ผู้ใดเป็นผู้รวบรวม ได้อ่านตำราเล่มนี้สักหน แม้ข้าต้องเสียอายุขัยสักสิบปีก็คุ้มค่า”
สีหน้าข้าหม่นหมองเล็กน้อย อธิบายว่า “ตำราเล่มนี้บิดาข้าเป็นผู้รวบรวมเอง ยามบิดายังอยู่ แม้มิยึดติดกับตำแหน่งขุนนาง แต่ความสามารถนับว่าหาได้ยากในโลก ถึงสุยอวิ๋นถือดีว่าตนรอบรู้ ความทรงจำเป็นเลิศ แต่กลับรู้เพียงตื้นเขินมิแตกฉาน สู้บิดาของข้ามิได้อยู่มาก
บิดาเป็นผู้รักดนตรี ท่านรักการบรรเลงพิณเป็นที่สุด ส่วนมารดาชื่นชอบการดีดเจิง[1] ท่านทั้งสองมักบรรเลงพิณกับเจิงพร้อมขับร้องประสาน รักใคร่กันยิ่งนัก แต่บิดาชอบเก็บงำความสามารถ ผู้คนจึงมิทราบว่าบิดาเป็นยอดฝีมือแห่งการบรรเลงพิณ จนปัญญาที่ตั้งแต่มารดาโชคร้ายจากไป บิดาก็เศร้าโศกจนหักพิณสะบั้นสายทิ้ง มิบรรเลงพิณอีก ตัดขาดกับดนตรีนับแต่นั้น
เจียงเจ๋อชอบรู้มากแต่มิรู้ลึก บิดาเคยกล่าวว่าข้ามิเหมาะกับการเรียนพิณ ดังนั้นจึงมิได้ถ่ายทอดวิชาพิณให้ ทว่าระหว่างรักษาตัว บิดาอาจไม่ต้องการให้สิ่งที่ร่ำเรียนมาไร้ผู้สืบทอดจึงเขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมาทั้งที่ยังป่วย สิ่งที่อยู่ในตำรามากกว่าครึ่งเป็นบทเพลงโบราณที่บิดารวบรวมและเรียงเรียงออกมา และยังมีบทเพลงส่วนหนึ่งที่บิดาประพันธ์ด้วยตนเอง
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เจียงเจ๋อเก็บรักษามันไว้อย่างดี ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็น เพราะผู้คนทั้งหลายส่วนมากล้วนเป็นผู้หลงใหลในลาภยศสรรเสริญ ข้ามิต้องการให้สิ่งที่บิดาทุ่มเทถูกเรื่องทางโลกทำให้มัวหมอง มิทราบเป็นชะตาฟ้าลิขิตหรือไม่ ครั้งนี้เจียงเจ๋อเดินทางมาเซ่นไหว้บิดา จึงตั้งใจนำตำราเล่มนี้ติดตัวมาด้วย คิดไม่ถึงว่าจะได้พานพบซวี่จือ
นิสัยและความสามารถของซวี่จือ ข้าประจักษ์ด้วยตาตนเองแล้ว ความรักที่ซวี่จือมีต่อการบรรเลงพิณ ข้าก็สัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง ดวงวิญญาณของบิดาบนสวรรค์คงอยากยืมมือข้าส่งต่อตำราพิณให้แก่ท่าน ทว่าตำราเล่มนี้เป็นมรดกจากบิดา ข้าจึงตัดใจทิ้งมันมิลง ทำได้เพียงขอให้ซวี่จือคัดลอกเองหนึ่งเล่ม หวังว่าซวี่จือจะไม่เห็นเป็นเรื่องลำบาก”
เกาเหยียนตะลึงอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้นก็ก้าวเข้าไปคุกเข่าคำนับ “บุญคุณของสหายเจียง ข้าจดจำสลักไว้ในดวงจิต นึกแค้นก็แต่มิอาจตอบแทนความรักของสหายได้” กล่าวจบสองตาก็แดงระเรื่อ น้ำตาหยดร่วงออกมา
ข้าประคองเขาลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “หากท่านมิใช่ยอดฝีมือแห่งศาสตร์พิณ ข้าก็คงไม่มอบตำราให้แก่ท่าน ซวี่จือมิต้องทำเช่นนี้ แม้นวันหน้าท่านกับข้ามิมีโอกาสได้พบหน้ากันอีก แต่ขอเพียงท่านถ่ายทอดตำราพิณชิงหย่วนต่อไป ดวงวิญญาณของบิดาบนสวรรค์ก็คงยินดีปรีดายิ่งนัก
ซวี่จือ บทเพลงสุดท้ายในตำราพิณเล่มนี้เป็นเพลงสุดท้ายของบิดาข้า เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นเพราะหวนระลึกถึงมารดา ต้องใช้ทักษะการบรรเลงซับซ้อน ข้ามิอาจบรรเลงได้ นับตั้งแต่บิดาวางมือจากพิณ ข้าก็มิได้ฟังบทเพลงนี้อีก วันนี้ข้าเซ่นไหว้บิดา ขอให้ท่านลองบรรเลงเพลงบทนี้ ปลอบประโลมหัวใจของข้าได้หรือไม่”
เกาเหยียนประสานมือ ค้อมกายคำนับ “มิกล้าปฏิเสธ”
[1]เจิง หรือกู่เจิง เครื่องสายประเภทหนึ่งของจีน