ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 8 แรกถึงปินโจว (2)
ในห้องพักห้องนั้นมีคนผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ เขาหันกลับมาตามเสียง สี่ตาสบประสาน น้ำตาแวววาวพลันคลอดวงตา ต่างคนก้าวเข้าไปจับแขนอีกฝ่ายเป็นการทักทาย คนผู้นั้นเอ่ยเรียกเบาๆ “ชื่อจี้ ไม่พบกันสามปีแล้ว”
หวังจี้ มิใช่สิ สมควรเรียกเขาว่าชื่อจี้ต่างหาก เอ่ยอย่างเนิบช้า “ลี่ว์เอ่อร์ ไม่พบหน้ากันสามปี เจ้าสุขุมขึ้นแล้ว คุณชายสบายดีหรือไม่ พี่น้องทุกคนสบายดีหรือ”
ลี่ว์เอ่อร์อ้าปากอยากจะพูด แต่รู้สึกว่ามีพันหมื่นถ้อยคำจนมิทราบจะเริ่มเล่าจากที่ใด เขาดึงชื่อจี้มานั่ง เรียบเรียงความคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ยามนี้คุณชายร่างกายแข็งแรงยิ่งนัก มักจะพาฮูหยินล่องเรือออกทะเล พลอดรักใต้แสงจันทร์ ทำให้คนอิจฉาแทบมิไหว เวลานี้คุณชายน้อยอายุครบหนึ่งขวบแล้ว คุณหนูโหรวหลันก็ร่าเริงน่ารัก แล้วยังมีท่านหลี่ หัวหน้าต่งกับโจวซั่งอี๋คอยรับใช้ สุขสำราญล้นเหลือ”
ชื่อจี้ฟังจบ ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดีแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ก่อนคุณชายหลบเร้นมาซ่อนตัวได้ส่งข้าไปแดนคนเถื่อน หลายปีนี้ระหว่างเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นดั่งดอกจอกลอยน้ำ ล่องลอยไร้ที่พึ่ง วันนี้ในที่สุดก็ได้กลับมาข้างกายคุณชาย พอดีกับงานมงคลคุณชายน้อยอายุครบหนึ่งขวบ ช่างทำให้ข้าดีใจอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ”
ลี่ว์เอ่อร์คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้ใดบอกว่ามิใช่เล่า หลายปีนี้ข้ารับคำสั่งมาบริหารโรงเตี๊ยมผิงอาน ก็เดินทางท่องไปสี่คาบสมุทรเช่นกัน จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนเพิ่งกลับมาถึงปินโจว ได้พบหน้าคุณชายอีกครั้งก็รู้สึกว่าจิตใจสงบลงทันที
เจ้าถูกคุณชายเลือกส่งไปแดนคนเถื่อนเพื่อสืบข่าวการทหารกับความคิดของผู้คน พวกเราเดิมทีเป็นห่วงเจ้าอยู่ กลัวว่าคนเถื่อนโหดเหี้ยมนัก ชีวิตเจ้าน่าเป็นห่วงยิ่ง คิดไม่ถึงเจ้าไม่เพียงกลับมาอย่างปลอดภัย ยังได้นามเพราะพริ้งว่า ‘หมอเทวดาปั๋วเล่อ’ กลับมาด้วย ได้ยินว่าพวกคนเถื่อนยกย่องเจ้าเป็นเทพ ข้ายังคิดอยู่ว่าเจ้าอาจจะมีความสุขจนลืมบ้านแล้วนั่น คิดไม่ถึงเจ้ายังคิดถึงคุณชายอยู่ทุกห้วงคะนึงเช่นนี้ หากคุณชายทราบจะต้องซาบซึ้งเป็นแน่ บางทีอาจไม่ไล่เจ้าไปแล้ว”
ชื่อจี้หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มคำเดียวหมด แล้วเล่าเสียงราบเรียบ “พวกคนเถื่อนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ดำรงชีพ ไม่เพาะปลูก ทุกใบไม้ร่วงช่วงอาชากำยำพ่วงพีก็จะบุกเข้ามาปล้นจงหยวน เผาเมืองปล้นชิง ทำทุกสิ่ง พวกเราชาวจงหยวนเห็นแล้วย่อมรู้สึกว่าพวกเขาดุร้ายป่าเถื่อน แต่ความจริงพอข้าอยู่ที่แดนคนเถื่อนมาสองปีกลับรู้สึกว่าชนเผ่าเร่ร่อนธรรมดาเหล่านั้นใสซื่อและนิสัยดียิ่งนัก
หลังจากข้าไปถึงทุ่งหญ้าเคยพานพบอันตรายหลายครั้ง แม้เอาชีวิตรอดมาได้ แต่เสบียงกับม้าล้วนหายหมด ล้วนได้ชาวเผ่าเร่ร่อนช่วยไว้ พวกคนเถื่อนหยาบกระด้างไม่รู้หนังสือ แต่นิสัยใสซื่อ รักหรือเกลียดล้วนแสดงออกบนใบหน้า ข้ากลับรู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับพวกเขามีความสุขนัก
น่าเสียดายบนทุ่งหญ้าไม่ได้มีเพียงชาวชนเผ่า แต่ยังมีชนชั้นสูงอยู่ด้วย ชนชั้นสูงที่ว่านี้มากกว่าครึ่งคือหัวหน้าของเผ่าต่างๆ กับเครือญาติของพวกเขา คนเหล่านี้มากกว่าครึ่งล้วนเป็นคนลำพองผู้มีจิตใจทะเยอทะยาน เพื่อแย่งชิงสตรีและข้าวของเงินทอง พวกเขาไม่เพียงบุกปล้นจงหยวน แต่ยังสู้รบกันเอง ชาวเผ่าธรรมดาในเผ่าเหล่านั้นความจริงแล้วก็ดีกว่าทาสหน่อยเดียวเท่านั้น ยามธรรมดาลำบากตรากตรำใช้แรงงาน ยามศึกยังต้องออกรบเข่นฆ่า
หากชนะย่อมได้แบ่งรางวัลเล็กน้อย แต่หากพ่ายแพ้ ภรรยา ลูกและทรัพย์สมบัติล้วนถูกศัตรูฉกชิงไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีผู้ใดมิห้าวหาญชาญศึก เพราะว่าแพ้ชนะเกี่ยวพันกับความเป็นความตายและเกียรติยศ ความจริงแม้พวกเขาชนะ แต่ของรางวัลจากชัยชนะกว่าครึ่งหนึ่งก็ถูกชนชั้นสูงครอบครอง ตัวพวกเขาเองก็ได้แบ่งเพียงเศษเหลือเล็กน้อยเท่านั้น”
ลี่ว์เอ่อร์ถามอย่างประหลาดใจ “ในเมื่อชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านั้นน่าสงสารเช่นนี้ ทั้งพวกเขายังเป็นนักรบผู้ชำนาญศึก เหตุใดจึงไม่ต่อต้านเล่า”
ชื่อจี้ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คิดต่อต้านไฉนจะง่ายดายดังปากว่า บนทุ่งหญ้าชีวิตความเป็นอยู่แร้นแค้น ตัวคนเดียวยากนักจะมีชีวิตอยู่รอด ชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านี้ขาดเผ่าไม่ได้ ชนชั้นสูงเหล่านั้นครอบครองทุ่งหญ้าแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ครอบครองม้าศึกและอาวุธอันยอดเยี่ยม พวกเขาซื้อตัวนักรบที่เก่งกล้าที่สุดในเผ่าให้ทำงานรับใช้จนตัวตายได้อย่างง่ายดาย ชาวเผ่าที่ถูกกดขี่มากที่สุดเหล่านั้นจะต่อต้านได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นมิว่ายุคใดแผ่นดินใด ขอเพียงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จะมีสักกี่คนยินดีเสี่ยงอันตรายถึงตาย”
ลี่ว์เอ่อร์เอ่ยอย่างลังเล “ข้าเคยได้ยินว่าพวกคนเถื่อนไม่มีเรื่องชั่วร้ายใดไม่ทำ แต่ฟังเจ้าเล่าเช่นนี้แล้ว ข้าก็เวทนาพวกเขาอยู่บ้าง แต่น่ากลัวว่าคุณชายได้ฟังแล้วคงโมโห”
ชื่อจี้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายเป็นคนเช่นไร เขาไม่มีทางตำหนิข้าหรอก แล้วอีกอย่างในใจข้ามีข้อสงสัยต้องการถามคุณชาย คนเถื่อนเหล่านั้นแม้เป็นศัตรูคู่แค้นของจงหยวนเรา แต่ข้าเห็นว่าพวกเขาก็มีดีมีชั่ว แผ่นดินจงหยวนของเรา ยามเปิดศึกแย่งชิงความเป็นใหญ่ กลอุบายก็ไม่แน่ว่าจะมีเมตตากว่าพวกเขาสักเท่าใด ดังนั้นข้าต้องลองถามคุณชายให้ได้ว่าเหตุใดพวกเราจึงมิอาจอยู่ร่วมกันอย่างสงบ กลับต้องเข่นฆ่ากันและกัน”
ลี่ว์เอ่อร์กล่าวตอบ “คุณชายต้องไขข้อสงสัยของเจ้าได้แน่”
ชื่อจี้พยักหน้า แล้วโยนความกลัดกลุ้มสงสัยในใจทิ้งก่อนจะถามว่า “ตอนนี้เจ้ากลายเป็นนายท่านของโรงเตี๊ยมผิงอานแล้ว ทรัพย์สมบัตินับหมื่นพวงย่อมน่ายินดีน่าฉลอง แต่ข้าได้ยินว่าเต้าหลีมีหน้ามีตายิ่งกว่าอีกหรือ”
ลี่ว์เอ่อร์หัวเราะ “ใช่แล้ว เต้าหลีล่องเรือออกทะเลสองครั้ง เดินทางครั้งหนึ่งใช่เพียงพันลี้หมื่นลี้ สมบัติล้ำค่ากับของแปลกโพ้นทะเลที่นำกลับมาทำให้คนตาลาย
ความจริงแล้วผู้ที่มีหน้ามีตาที่สุดกลับเป็นหัวหลิวต่างหาก เจ้าหนูคนนี้หลังจากตัวตนถูกเปิดโปง แม่ทัพฉินหย่งกับฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ตำหนิเขา เจ้าหนูคนนี้พอตัวตนถูกเปิดเผยก็ออกจากเมืองหลวงมิได้ สุดท้ายเลยถูกยงอ๋องรับมาเป็นองครักษ์ข้างกาย ได้ยินว่าตอนนี้ไปเป็นผู้ช่วยของเซี่ยโหวหยวนเฟิงที่กรมวินิจการณ์แล้ว หากกล่าวถึงตำแหน่ง เขาอยู่สูงที่สุดแล้ว
น่าเสียดายไป๋อี้ อวี๋หลุน ซานจื่อ ฉวีหวง พวกเขาสี่คนจนวันนี้ก็ยังยุ่งอยู่กับเรื่องกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกับหอกลไกสวรรค์ แม้แต่ครั้งนี้คุณชายก็ไม่ให้พวกเขากลับมา”
ชื่อจี้คลี่ยิ้ม “เจ้ารีบอันใดเล่า รอต้ายงรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง พวกเราก็จะได้ใช้ชีวิตสบายอิสระเสรีแล้ว”
แววตาวาดหวังฉายผ่านดวงตาของลี่ว์เอ่อร์ เขาคลี่ยิ้มตอบว่า “จริงด้วย ข้าเฝ้ารอคอยให้ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งจริงๆ ถึงเวลาพวกเราก็ไม่ต้องรบราฆ่าฟันแล้ว จริงสิ ชื่อจี้ เจ้ามาด้วยกันกับคนเป่ยฮั่นได้อย่างไร คุณชายเห็นสารลับแล้วขบขันนักเชียว”
ชื่อจี้ยิ้มเจื่อน “ข้าก็ไม่คิดว่าจะบังเอิญพบคนตระกูลหลินเข้า แต่ครั้งนี้ข้ากลับมีบุญไม่น้อย ไม่เพียงได้พบแม่ทัพใหญ่หลงถิงเฟย ยังได้พบองค์หญิงจยาผิงหลินปี้ผู้มีชื่อเสียงเทียบเคียงกับองค์หญิงอีก เฮ้อ พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นคู่รักวีรชนโดยแท้ แต่น่าเสียดายเป็นขุนนางของเป่ยฮั่น จริงสิ คุณชายมีคำสั่งอันใดหรือไม่ หลงถิงเฟยกับหลินปี้ต้องการให้ข้าเข้าร่วมทัพเป่ยฮั่น หากคุณชายมีคำสั่ง ข้ายินดีไปเป็นสายลับที่เป่ยฮั่น”
ลี่ว์เอ่อร์ส่ายหน้าตอบว่า “คุณชายกล่าวว่าหลินปี้กับหลงถิงเฟยล้วนเป็นยอดคนที่ไม่ได้จะหาพบได้ทุกยุค คนเช่นนี้ไม่เพียงปณิธานแรงกล้า แต่ยังเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง หากมิได้อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนาน เจ้าไม่มีทางได้ความเชื่อใจจากพวกเขา ดังนั้นเจ้าไปเป็นสายลับข้างกายพวกเขาตอนนี้ย่อมไร้ประโยชน์
คุณชายสั่งว่าหลังจากเจ้าไปร่วมงานฉลองสมรสของท่านโหวน้อยกับพวกเขาแล้วก็ให้หาข้ออ้างแยกตัวออกมา กับคนเช่นนี้ คุณชายย่อมมีวิธีอยู่แล้ว จริงสิ คุณชายยังให้ข้ากำชับเจ้าอีกว่า อย่าพลาดงานเสี่ยงทายครบขวบของคุณชายน้อย”
ดวงตาของชื่อจี้ฉายแววยินดีจางๆ แล้วเอ่ยว่า “โปรดบอกคุณชายว่าชื่อจี้น้อมรับคำสั่ง ก่อนเดือนสิบวันที่สองจะต้องเดินทางไปทันแน่”
ลี่ว์เอ่อร์พยักหน้า “ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว อีกสักพักตัวแทนของเจ้าจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์ไปเปลี่ยนโคมไฟดวงใหม่ เจ้าก็ใช้โอกาสนี้สลับตัวกับเขาเสีย”
ชื่อจี้พยักหน้า เรื่องกลุ้มใจล้วนปล่อยวางลงได้แล้ว เขาจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้านำของขวัญล้ำค่าอย่างหนึ่งมามอบให้คุณชายน้อยด้วย เดือนสิบวันที่สองข้าจะต้องไปทันให้จงได้”
ลี่ว์เอ่อร์คลี่ยิ้ม “แน่นอน ข้าก็เตรียมของขวัญมาเหมือนกัน แต่เกรงว่าของขวัญของผู้ใดก็คงไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าของขวัญของเต้าหลี เขาเพิ่งกลับมาจากโพ้นทะเล”
ชื่อจี้ตอบว่า “เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ แต่ของขวัญของข้าก็ไม่ด้อยกว่าสักเท่าไร นั่นน่ะเป็นของขวัญขอบคุณที่ข้าได้มาจากการรักษาอาชาของหัวหน้าเผ่าที่ทรงอำนาจที่สุดของแดนคนเถื่อนเชียวนะ”
ทั้งสองคนสนทนากันอยู่สักพักก็มีคนมาแจ้งว่าได้เวลาแล้ว ชื่อจี้จึงหยิบโคมไฟเดินกลับไปยังที่พัก แม้หลินปี้ส่งคนมาเฝ้ายามกลางคืน แต่ก็ไม่ได้ห้ามเสี่ยวเอ้อร์เข้าออก ชื่อจี้จึงกลับถึงห้องพักอย่างราบรื่น เสี่ยวเอ้อร์ที่นอนอยู่บนเตียงแทนเขาผู้นั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ชื่อจี้ล้มตัวนอนบนเตียง ไม่นานนักก็เข้าสู่ห้วงฝัน