ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 102 ภักดีกลับคลางแคลง (กลาง) (1)
ต้วนอู๋ตี๋มองซูชิงผู้มีริ้วรอยแห่งความตรากตรำปรากฏบนใบหน้าแต่กลับยิ่งงดงาม แล้วพลันรู้สึกว่าในหัวใจสงบลง ความรักและความแค้นในวันวานสลายหายดั่งสายลม เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายแคว้นท่านรับปากเงื่อนไขของข้าแล้วหรือ”
อารมณ์ประหลาดผุดพรายขึ้นในดวงใจของซูชิง เพียงฟังจากประโยคนี้ นางก็ทราบแล้วว่าคนตรงหน้าผู้นี้มองตนเองเป็นเพียงคนผ่านทางคนหนึ่งแล้ว นี่มิใช่สิ่งที่ตนเองต้องการมาตลอดหรือไร วันวานครั้งจบบุญคุณสะบั้นเยื่อใยนอกเมืองชิ่นโจวย่อมกำหนดให้พวกเขากลายมาเป็นเช่นวันนี้
นางเงยหน้าขึ้น ตอบด้วยท่าทางผ่อนคลาย “องค์ชายรับปากเงื่อนไขของท่านแม่ทัพแล้ว ขอเพียงแม่ทัพเซวียนปลอดภัยไร้อันตราย องค์ชายก็ตกลง ภายในหนึ่งวัน มิไล่ตามโจมตีกองทัพของท่าน”
ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ทอประกายด้วยความยินดี เดิมทีต้องการเพียงว่าจะเดิมพันดูสักหน คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลจริงๆ เขายิ้ม “แต่กองทัพท่านแข็งแกร่ง กองทัพข้าอ่อนแอ ข้ามิอาจมิป้องกันหากองค์ชายผิดสัจจะ มิทราบว่าท่านทูตมีวิธีการเช่นไร”
ซูชิงตอบอย่างเย็นชา “ฉีอ๋องวาจาดั่งทองพันชั่ง หามีกลับคำไม่ แต่ท่านแม่ทัพมิเชื่อก็มีเหตุผล หากท่านแม่ทัพยินดี ขอให้ส่งแม่ทัพเซวียนกลับค่ายต้ายงไปก่อน ซูชิงยินดีเป็นตัวประกัน”
ความจริงแล้วต้วนอู๋ตี๋มิได้คลางแคลง แต่ทำเพื่อปลอบให้เหล่าทหารวางใจก็เท่านั้น ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากท่านทูตแล้ว”
ซูชิงยิ้มละไม งามสะกดตาประหนึ่งดอกเหมยแย้มกลีบกลางเหมันต์ นางเป็นคนขันอาสาเป็นตัวประกันเองเช่นนี้ หากต้วนอู๋ตี๋ฉลาดก็สมควรรีบขับไล่ตนไปถึงจะถูก แต่เกรงว่าจวบจนวันนี้ ในใจของบุรุษผู้นี้ ตนก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวโดดเดี่ยวผู้สับสนหลงทาง เขายังมิล่วงรู้ความอันตรายของนางกระมัง
เมื่อเซวียนซงเดินมาถึงประตูค่ายของกองทัพต้ายง ในใจพลันเกิดความรู้สึกดุจหวนคืนบ้านเกิด เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นในกองทัพ ทันใดนั้นประตูค่ายก็เปิดกว้าง หลี่เสี่ยนพาแม่ทัพทั้งหลายชูธงผืนใหญ่ออกมารับ เซวียนซงรู้สึกว่าขอบตาเปียกชื้น ก้าวเข้าไปสองสามก้าวแล้วทรุดลงคำนับ “ผู้น้อยทำให้กองทัพเสื่อมเกียรติ ขอองค์ชายโปรดลงโทษ”
หลี่เสี่ยนเร่งฝีเท้าก้าวเข้ามาเอื้อมมือประคอง ขวางมิให้เซวียนซงค้อมตัวลงไปคำนับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอายใจ เอ่ยตอบว่า “แม่ทัพเซวียนไยเอ่ยเช่นนี้ ยามนั้นหลี่เสี่ยนมิทันสังเกต เรื่องจึงกลายเป็นเช่นนั้น
วันนั้นก่อนแม่ทัพเซวียนหาญกล้ามุ่งไปเผชิญความตาย ข้าเคยกล่าวไว้แล้วว่า หากผิดพลาดประการใด ข้าจะแบกรับไว้เอง ท่านโชคดีรอดกลับมาได้แล้ว หากข้ากล่าวโทษท่านอีก ไยมิใช่โหดร้ายเกินไป ท่านวางใจเถิด ความอัปยศในวันนี้ ท่านจักต้องได้ทวงคืนทีละอย่างแน่นอน”
เซวียนซงซาบซึ้งน้ำตานอง ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะสงบลง รีบกล่าวว่า “องค์ชาย จะมัวแต่ยึดถือสัจจะเล็กน้อยมิได้ ต้วนอู๋ตี๋เป็นยอดแม่ทัพผู้ชำนาญการป้องกันที่สุด หากเขาหวนคืนจิ้นหยางเฝ้าพิทักษ์นคร ย่อมเป็นอันตรายต่อกองทัพของเรามากนัก ขอองค์ชายยกพลไล่ตามไปสังหารต้วนอู๋ตี๋เสีย”
หลี่เสี่ยนยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องกล่าวเช่นนี้ แต่ท่านมิต้องกังวลใจ ต้วนอู๋ตี๋มิมีทางหวนคืนจิ้นหยางได้แน่นอน อีกประการหนึ่ง แม่ทัพซูยังเป็นตัวประกันอยู่ในกองทัพของเขา ยามนี้ยังมิเหมาะจะบุกโจมตี”
เซวียนซงตกตะลึง “แม่ทัพซูไปเป็นตัวประกันได้เช่นไร แม้นางชาญฉลาดเก่งกาจ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีนางหนึ่ง แล้วยังมีความแค้นกับเป่ยฮั่นอย่างลึกล้ำ น่ากลัวว่าต่อให้ต้วนอู๋ตี๋รักษาสัจจะก็ยากเลี่ยงพานพบอันตราย”
หลี่เสี่ยนกล่าวเสียงเบา “ท่านวางใจเถิด ย่อมมีคนคอยช่วยเหลือแม่ทัพซูอยู่ มิว่าอย่างไร ต้วนอู๋ตี๋ผู้นั้นก็เป็นวิญญูชนคนหนึ่ง แล้วยังมีกองทัพใหญ่ของข้าตั้งอยู่ที่นี่ ซูชิงย่อมมิเป็นอะไร เกรงว่าเขาจะนึกเสียใจทีหลังเสียด้วยซ้ำ” คิดไปถึงเรื่องที่ชวนกระหยิ่มยิ้มย่อง หลี่เสี่ยนก็กลั้นมิไหวหัวเราะออกมาเสียงดัง ยังมีสิ่งใดทำให้คนปีติยินดีเท่าชัยชนะที่กำไว้ในมืออีกเล่า
ทั้งสองคนจับจูงกันเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่กลางกองทัพ ให้เซวียนซงนั่งตำแหน่งทางซ้ายถัดจากตำแหน่งประธาน แม่ทัพทั้งหลายต่างเข้ามานั่งตามตำแหน่งทีละคน หลี่เสี่ยนกล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพเซวียน ท่านรอดพ้นภัยกลับมาได้ ข้าสมควรให้ท่านพักรักษาตัวดีๆ แต่ยามนี้สถานการณ์ศึกเร่งด่วน ต้วนอู๋ตี๋ชำนาญการถอยทัพ ถอยทัพพลางตั้งค่ายทีละก้าว เรื่องนี้ก็เป็นความถนัดของท่าน คงได้แต่ให้ท่านเหน็ดเหนื่อยสักหน่อยแล้ว รอจนถึงยามนี้ของวันพรุ่งข้าจะนำทัพไล่ตามตีท้ายขบวน จะรุกถอยอย่างไรท่านจัดการตามสมควร”
เซวียนซงดีใจยิ่งนัก เขาเคยกังวลว่าตนอาจถูกปล่อยไว้บนหิ้งสักช่วงเวลาหนึ่ง คิดมิถึงหลี่เสี่ยนกลับไว้วางใจใช้งานตนทำงานสำคัญเช่นนี้ เขารีบลุกขึ้นขานตอบ “ผู้น้อยรับบัญชา”
หลี่เสี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มน้อยๆ ความจริงยามนี้มิใช่ว่าจำเพาะเจาะจงต้องให้เซวียนซงนำทัพออกรบ แต่เขาเพียงคิดจะใช้วิธีนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเห็นความสำคัญของเซวียนซง มิให้มีคนอาศัยเรื่องที่เซวียนซงเคยตกเป็นเชลยมาก่อคลื่นลม มิว่าอยู่ที่ใด คนถ่อยล้วนยากหลบเลี่ยง
หลังจากกองทัพเป่ยฮั่นถอยทัพจากผิงหยวนก็แทบจะเดินทัพเต็มกำลัง เวลาหนึ่งวันก็บรรลุถึงหยางอี้ เมื่อจัดการแนวป้องกันเสร็จสิ้น ต้วนอู๋ตี๋จึงเดินเข้ามายังที่พำนักซึ่งทหารคนสนิทตระเตรียมไว้ให้ตน เมื่อเดินเข้ามาในห้อง เขาพลันหยุดฝีเท้า เห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในห้องด้านนอก
ซูชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ มืองามเท้าคาง อมยิ้มมองตนเอง บนราวแขวนเสื้อไม้สาลี่ด้านข้างมีผ้าคลุมกันลมสีเขียวเข้มแขวนอยู่ ภายในห้องแทบมิมีฝุ่นสักเม็ด โต๊ะสี่เหลี่ยมตรงหน้าซูชิงวางอาหารกลิ่นหอมฉุย ส่วนบนเก้าอี้ด้านข้างวางอ่างทองแดงกับผ้าสี่เหลี่ยมผืนหนึ่ง ภายในอ่างคือน้ำสะอาดที่ยังคงมีควันร้อนลอยกรุ่น
องครักษ์คนสนิทสองนายที่ติดตามอยู่ด้านหลังต้วนอู๋ตี๋กุมด้ามดาบด้วยสัญชาตญาณ แต่ต่อจากนั้นพกวเขาก็เผยสีหน้าสับสน เห็นชัดว่าภาพอันอบอุ่นเช่นนี้ทำให้พวกเขาเกิดความฉงนงงงวย แม้แต่ต้วนอู๋ตี๋ก็ฉงนสนเท่ห์อยู่ครู่หนึ่ง หากซูชิงมิได้สวมชุดจอมยุทธ์ ตรงเอวห้อยกระบี่คู่กาย แล้วบนดวงหน้างดงามมีสีหน้าเย้ยหยันเย็นชาอยู่เล็กน้อย เขาก็แทบจะเข้าใจผิดว่าตนเองกลับมาถึงบ้าน ส่วนคนงามที่สวมอาภรณ์บุรุษอยู่ตรงหน้าก็คือภรรยาของตน ดวงตาเขากลับมาใสกระจ่าง แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างสุขุม “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ พลทหารที่เฝ้าจับตาดูเจ้าอยู่ที่ใด”
ซูชิงมององครักษ์คนสนิทด้านหลังต้วนอู๋ตี๋แล้วกล่าวขึ้นเรียบๆ “ท่านจะสอบสวนข้าต่อหน้าพวกเขาหรือ”
ต้วนอู๋ตี๋มิเอ่ยคำใด แต่โบกมือให้องครักษ์ออกไป หลังจากนั้นจึงนั่งลงเก้าอี้อีกตัวข้างโต๊ะ มองซูชิงนิ่งๆ ดวงตาของซูชิงทอประกายประหลาด นางกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ในกองทัพมีไพร่พลสังกัดเก่าของแม่ทัพสืออยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาจดจำข้าได้ บางคนหาโอกาสเข้ามาถามเรื่องในอดีต ข้าจึงบอกพวกเขาว่ายามนั้นแม่ทัพสือมิทราบตัวตนของข้า ข้าเพียงใช้ประโยชน์จากแม่ทัพสือแฝงตัวเข้ามาอยู่ในเมืองชิ่นโจวเท่านั้น แม้จะคอยยุยงอยู่ด้านข้างบ้าง แต่ก็คิดมิถึงว่าแม่ทัพหลงจะเชื่อสนิทว่าแม่ทัพสือทรยศ เฮ้อ แม่ทัพสืออารมณ์ร้อนเกินไป หากในวันนั้นเขายอมแก้ข้อกล่าวหากับแม่ทัพหลง มิแน่ว่าจะมีโอกาสล้างคำใส่ความ”
ต้วนอู๋ตี๋พลันรู้สึกว่าในปากขมปร่า “สิ่งที่เจ้ากล่าวคือความจริงหรือ”
ซูชิงหวนนึกถึงภาพที่สืออิงปลิดชีพตนอย่างคับแค้นในวันนั้น แม้หัวใจแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าก็ยังอดมิได้เผยสีหน้าเศร้าหมอง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ย่อมเป็นความจริง บางครั้งความจริงก็หลอกล่อให้ผู้คนหลงผิดได้มากยิ่งกว่า แต่ท่านมิจำเป็นต้องนึกเสียใจ แม้สืออิงมิได้ลอบเปลี่ยนฝ่ายมาเข้ากับต้ายง แต่เขาก็ตั้งใจจะเล่นงานท่านจริง เพียงเพราะข้ากล่าวโป้ปดเกี่ยวกับท่านให้เขาฟังเล็กน้อยเท่านั้น อีกประการหนึ่ง วันนั้นยามสืออิงปลิดชีพตน เขาเดาตัวตนของข้าออกแล้ว แต่เขาก็มิได้บอกพวกท่าน แต่ยินดีเดินเข้าสู่ความตาย”
ต้วนอู๋ตี๋โกรธจนมิอาจระงับ มือขวาฉับพลันทุบผิวโต๊ะ ถ้วยชามถูกแรงกระแทกส่งเสียงเคร้งดังลั่น เขามองซูชิงอย่างเกรี้ยวกราด แต่เพลิงโทสะก็สงบลงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เพียงเพราะเขาเห็นสีหน้านิ่งสงบและเย็นชาของซูชิง เขาผ่อนอารมณ์แล้วยิ้มฝืดเฝื่อน ตนมิได้ตัดสินใจตั้งนานแล้วหรือว่าจะมองสตรีนางนี้เป็นศัตรูเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องเคียดแค้นชิงชังสิ่งที่นางกระทำอีกเล่า
ต้วนอู๋ตี๋รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขากล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “ช่างร้ายกาจนัก วันวานบีบให้แม่ทัพสือปลิดชีพตน วันนี้ก็นำมาใส่ร้ายป้ายสีข้า แม่นางซู เจ้าใจเหี้ยมนัก แต่เหตุใดเจ้าจึงบอกความจริงกับข้า”
ซูชิงกล่าวอย่างแฝงความนัย “วันนี้ท่านกับข้าพบกันเป็นการลับ วันพรุ่งย่อมมีข่าวลือกระพือไปทั่ว มิต้องใช้เวลานานนัก แม้แต่นครหลวงจิ้นหยางก็จะทราบว่าท่านอ้างคุณธรรมอันยิ่งใหญ่เพื่อปล่อยตัวแม่ทัพเซวียน แล้วยังสนทนาเป็นการลับกับอดีตคู่หมั้น ท่านว่าจิ้นหยางจะคิดเช่นไรเล่า”
ต้วนอู๋ตี๋เงียบงัน ซูชิงลุกขึ้นยืน คว้าผ้าคลุมมาผูกจนเรียบร้อยแล้วกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้ว หากตอนนี้ท่านสังหารข้าเสียก็ยังแก้ไขทุกสิ่งได้ มิเช่นนั้นข้าคงได้มีโอกาสเก็บศพท่าน แต่หากท่านคิดตกแล้ว ฉีอ๋องก็รอให้ท่านกลับใจอยู่”
ต้วนอู๋ตี๋มิกล่าวคำใด แม้ซูชิงทำร้ายเขาจนถึงขั้นนี้ แต่เขาก็มิมีความแค้นเคืองแม้สักนิด ต่างฝ่ายต่างทำเพื่อนายของตน มิว่าทำสิ่งใดล้วนเป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ซูชิงยังเหลือทางรอดสายหนึ่งไว้ให้ตน นี่เพียงพอทำให้เขาซาบซึ้งแล้ว แต่น่าเสียดาย ทางเส้นนั้นเขายินดีตาย แต่มิยินดีเลือกเดิน ในตอนที่ซูชิงกำลังจะเดินออกจากประตูห้อง เขาพลันกล่าวขึ้นแผ่วเบา “ขอบคุณเจ้ามาก ขออภัยเจ้าด้วย”