ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 104 ภักดีกลับคลางแคลง (กลาง) (3)
ไม่นานประตูก็ถูกคนเปิดออก ต้วนอู๋ตี๋มองปราดแรกก็เห็นหลินปี้ผู้มีสีหน้าซีดเซียว องค์หญิงจยาผิงเสด็จมาด้วยตนเอง นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น ตอนนี้หลินปี้น่าจะเป็นแม่ทัพคุมการป้องกันอยู่ที่จิ้นหยางสิ ต้วนอู๋ตี๋สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาอย่างควบคุมมิได้ หลินปี้เดินตรงมานั่งหลังโต๊ะอ่านหนังสือ มองแผนการป้องกันที่น้ำหมึกยังเปียกชื้นบนโต๊ะ สีหน้าพลันหม่นหมอง กล่าวว่า “แม่ทัพต้วนยังมีใจเป็นห่วงการป้องกันเมืองจิ้นหยางอีกหรือ”
ต้วนอู๋ตี๋ยืนปล่อยแขนอยู่หน้าโต๊ะ กล่าวตอบว่า “ผู้น้อยเคยอยู่ในกองทหารรักษาเมืองหลวงของจิ้นหยาง การป้องกันของจิ้นหยางแต่เดิมก็แข็งแกร่งดุจปราการเหล็กอยู่แล้ว แต่นานวันเข้าย่อมมีช่องโหว่อยู่บ้างอย่างยากจะเลี่ยง ผู้น้อยเคยศึกษาอย่างละเอียดว่าจะปรับปรุงเช่นไร แต่น่าเสียดายกรมกลาโหมมิยอมรับ หลายวันนี้ผู้น้อยอาศัยความทรงจำวาดแผนการป้องกันขึ้นมาใหม่แผ่นหนึ่ง หลายแห่งในนี้คือจุดที่มีการป้องกันอ่อนแอ หากเสริมการป้องกันตามแผนฉบับนี้ได้ บางทีอาจดีขึ้น ขอองค์หญิงโปรดพิจารณา หากองค์หญิงรู้สึกว่าเป็นไปได้ มิสู้ลองสักตั้ง”
หลินปี้มองต้วนอู๋ตี๋ผู้มีสีหน้าจริงใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าเจ้าแคว้นมีคำสั่งลงมาแล้ว มีราชโองการชัดแจ้งให้ประหารท่านทันที ข้าเพียรเกลี้ยกล่อมหลายครั้งหลายหน แต่ท่านเจ้าแคว้นก็ยังยืนยันความคิดของตน ท่านราชครูเองก็กล่าวว่าแม้แต่เดิมท่านมิมีใจเป็นอื่น แต่ยามนี้ก็รับประกันมิได้แล้วว่าท่านจะมิไปเข้ากับฝ่ายศัตรู ด้วยเหตุนี้จึงสนับสนุนการตัดสินพระทัยของท่านเจ้าแคว้น”
ต้วนอู๋ตี๋ตอบอย่างนิ่งสงบ “ผู้น้อยคาดไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แม้แผนการของศัตรูจะเรียบง่าย แต่โหดเหี้ยมยิ่งนัก ผู้แซ่ต้วนก็มีส่วนผิด มิว่าจะด้วยเหตุใด เรื่องที่ในอดีตผู้น้อยรับสินบนลักลอบขนของเถื่อนก็เป็นความผิดที่มีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ ยิ่งไปกว่านั้นหากแม่ทัพสืออิงตายทั้งที่บริสุทธิ์จริง ผู้น้อยก็เป็นตัวการสำคัญ แล้วอีกอย่างการปล่อยเชลยเพื่อรักษาชีวิต ปล่อยซูชิงไปด้วยความรู้สึกส่วนตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง ผู้แซ่ต้วนทราบว่าความผิดของตนถึงประหารก็มิพอ ท่านเจ้าแคว้นเพียงสั่งให้ตัดศีรษะก็ถือว่ามอบความเมตตาให้แล้ว องค์หญิงอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
บนใบหน้าของหลินปี้เผยสีหน้าเจ็บปวด “ก่อนหน้านี้ถิงเฟยเคยเล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟัง ท่านมิห่วงว่าชื่อเสียงจะย่อยยับ ยอมทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อเป่ยฮั่น ความผิดทั้งหลายเหล่านี้ล้วนไม่เป็นธรรมต่อท่าน เรื่องที่ท่านใช้เซวียนซงแลกกับชีวิตท่านและทหารทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ข้าอนุญาตอย่างกลายๆ แล้ว การปล่อยซูชิงไปก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล จะให้เป่ยฮั่นของพวกเราสังหารทูตหรือไร เพียงแต่ในราชสำนักมีหลายคนลุกขึ้นมาโจมตีท่าน ข้าแก้ตัวแทนท่านอยู่หลายหนจนเกือบจะถูกเจ้าแคว้นไล่ออกจากท้องพระโรง
เฮ้อ ในอดีตราชสำนักยกย่องแม่ทัพดูแคลนบัณฑิต ยามนี้ขุนนางบุ๋นเหล่านั้นแต่ละคนๆ จึงต่อว่าด้วยวาจารุนแรง เสมือนว่าหากมิสังหารท่านแผ่นดินจะล่มสลาย แม่ทัพผู้เป็นชนชั้นสูงในราชสำนักมีอยู่มาก แต่เพราะในอดีตถิงเฟยชมชอบผลักดันแม่ทัพผู้เกิดจากตระกูลต่ำ เลื่อนขั้นด้วยความสามารถเท่านั้น ทำให้พวกเขาค่อนข้างขุ่นเคือง ยามนี้ถิงเฟยพลีชีพเพื่อแคว้นแล้ว พวกเขาจึงฉวยโอกาสโจมตีท่านด้วย
เหอะ ศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้า พวกเขามิขบคิดว่าจะจัดการศัตรูเช่นไร ยังจะมากีดกันผู้ที่มิใช่พวกตน ทำเหมือนกับว่าหากมีพวกเขานำทัพก็จะกอบกู้วิกฤตได้ฉะนั้น มิประมาณตน แม่ทัพต้วน หลินปี้ไร้ความสามารถ มิอาจปกป้องท่านได้ ทำได้เพียงแย่งชิงจนได้มาลงโทษท่านที่หยางอี้ด้วยตนเอง เช่นนี้จึงจะรักษาเกียรติของท่านเอาไว้ได้”
ต้วนอู๋ตี๋ก้มคำนับ “ขอบพระทัยองค์หญิงที่เชื่อในความภักดีของผู้น้อย เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ องค์หญิงอย่าได้แตกกับราชสำนักเพื่อความเป็นความตายของผู้น้อยเลย หากมิมีองค์หญิงรับหน้าที่แม่ทัพใหญ่ น่ากลัวว่าคงยากจะรักษาจิ้นหยางไว้ได้ แม้นตายผู้น้อยก็มิแค้นเคืองเจ้าแคว้นกับองค์หญิง ขอองค์หญิงโปรดให้ผู้น้อยได้ตัดศีรษะหน้ากองทัพด้วยเถิด หากปกป้องแผ่นดินและประชาชนได้ แม้ผู้น้อยชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปอีกหมื่นปีก็มิเคืองแค้น”
หลินปี้ยกมือปิดหน้า กล่าวว่า “ภักดีกลับคลางแคลง ราชสำนักผิดต่อท่านแล้ว ท่าน ท่านไปเถิด”
ต้วนอู๋ตี๋โขกศีรษะคำนับอีกหน หลังจากนั้นจึงยกเท้าเดินไปด้านนอกประตู เขาเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู องครักษ์ของหลินปี้ที่นอกประตูกำลังจะก้าวเข้ามาคุมตัวเขา ทันใดนั้นหลินปี้ก็เอ่ยเสียงดัง “ช้าก่อน”
ทุกคนล้วนตกตะลึง หันไปมองหลินปี้ จากนั้นก็เห็นหลินปี้สีหน้าแน่วแน่ยิ่งนัก นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “แม่ทัพต้วน หากข้าหลินปี้อยู่ที่นี่ จะมิให้ท่านตายทั้งที่ไร้ความผิด ตอนนี้ท่านไปจากเป่ยฮั่นเสียเถิด ยามนี้ภายในแคว้นโกลาหล มีสถานที่หลายแห่งกองทัพเราล่าถอยมาแล้ว แต่กองทัพต้ายงยังมิได้เข้าไปปักหลัก ท่านมีโอกาสมากที่จะหนีไปได้
ไปปินโจวเสียเถิด ยามนี้ที่นั่นยังเป็นอาณาเขตในนามของต้ายง ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ต้ายงมิมีเวลาสนใจจะประกาศจับท่าน จากปินโจวเดินทางต่อไปหนานฉู่ นี่เป็นหนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของท่าน วันหน้าหากขับไล่คนต้ายงได้แล้ว ท่านยังมีโอกาสหวนคืนเป่ยฮั่น”
ต้วนอู๋ตี๋ฟังถึงตรงนี้ก็นิ่งงัน เขาคิดมิถึงอย่างสิ้นเชิงว่าหลินปี้จะกล้าทำเช่นนี้ มนุษย์ หากมีโอกาสรอดแม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง จะมิคว้าไว้ให้มั่นได้เช่นไร เมื่อครู่ยามชิวอวี้เฟยกล่อมเขา เขามิต้องการให้หลินปี้คลางแคลงในตัวเขา ด้วยเหตุนี้จึงมิยอมจากไป แต่ตอนนี้หลินปี้กล่อมเขา ปมในหัวใจของเขาจึงคลายออก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ หากยังเก็บชีวิตเอาไว้ ก็ยังมีโอกาสทำเพื่อแว่นแคว้นอยู่ หากตายเสียแล้ว ก็มีแต่จะทำให้คนใกล้ชิดเจ็บปวด ศัตรูรื่นเริงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้นอกจากหลินปี้ก็มิมีผู้ใดค้ำจุนสถานการณ์อันตรายได้ หลินปี้เพียงต้องบอกว่าตนเองหลบหนีไปก่อน เจ้าแคว้นก็คงไม่ตำหนิหลินปี้
หลินปี้เห็นสถานการณ์ของเขาแล้วรู้สึกเจ็บปวดนัก เมื่อหวนนึกว่าคนผู้นี้ภักดีต่อแว่นแคว้น เป็นทหารกล้าผู้มิคำนึงว่าตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง นางจึงตัดสินใจยอมแบกรับความผิดฐานปล่อย ‘คนทรยศ’ หลบหนี
นางก้าวเข้าไปกล่าวว่า “แม่ทัพต้วน สถานที่นี้มิอาจรั้งอยู่นาน บางทีเจ้าแคว้นอาจส่งทูตมาอีก ถึงยามนั้นท่านย่อมมิอาจผละตัวจากไปได้แล้ว ข้าทราบว่าท่านซื่อสัตย์มาตลอด ครอบครัวไร้ทรัพย์สิน ทองคำอัญมณีเหล่านี้ ท่านพกไว้ใช้ระหว่างทาง” พูดพลางยัดถุงเงินใบหนึ่งเข้ามาในมือของต้วนอู๋ตี๋ ถุงเงินถุงนี้ด้านในมีทองคำกับอัญมณีชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ ราคามิมากมายแต่สะดวกพกติดตัว ก่อนออกเดินทาง หลินปี้พกติดตัวมาราวกับเทพยาดาดลใจ บางทีในยามนั้นนางก็อาจมีความคิดเช่นนี้อยู่แล้วกระมัง เพียงแต่สุดท้ายนางเพิ่งตัดสินใจได้เมื่อครู่
ต้วนอู๋ตี๋รับถุงเงินมา น้ำตาร้อนปริ่มขอบตาอย่างมิอาจห้าม เขาทราบว่าหลินปี้แบกความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงเอาไว้ แล้วก็ทราบว่านี่เป็นหนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของตนเอง แม้หนทางเบื้องหน้าจะเลือนราง มิแน่อาจตกไปอยู่ในมือกองทัพต้ายง หรืออาจถูกกองทัพเป่ยฮั่นสังหารในฐานะคนทรยศ แต่เขาก็ยังซาบซึ้งน้ำตานอง คุกเข่าสองข้างลงจดพื้น ร่ำไห้กล่าวว่า “บุญคุณขององค์หญิง ผู้น้อยมิมีวันลืม หากวันหน้าอู๋ตี๋โชคดีหนีรอดจักส่งสารกลับมา ขอเพียงองค์หญิงมีคำสั่ง อู๋ตี๋จักทำตามทั้งสิ้น องค์หญิงโปรดวางพระทัย หากอู๋ตี๋โชคร้ายตกอยู่ในมือศัตรู จะมิมีวันยอมอัปยศเพื่อเอาชีวิตรอดเป็นอันขาด”
หยดน้ำตาตั้งท่าจะร่วงหลงมาจากดวงตาของหลินปี้ นางกังวลอยู่เล็กน้อยว่าหากต้วนอู๋ตี๋ตกอยู่ในมือของศัตรู สุดท้ายจะหันไปสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ดังนั้นยามมานางจึงคิดว่าแม้นอยุติธรรมแต่สังหารต้วนอู๋ตี๋ไปเสียดีกว่า เมื่อเห็นต้วนอู๋ตี๋สัญญาเช่นนี้ ในใจนางจึงคลายกังวล แล้วรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย หลินปี้หันหลังกลับ แล้วโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้ต้วนอู๋ตี๋ออกไป ต้วนอู๋ตี๋โขกศีรษะคำนับอีกหน จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกไป การจากไปหนนี้อาจมิมีวันได้พบหน้ากันอีก จะมิให้ผู้กล้าสะเทือนใจได้เช่นไร
หลังจากเงาร่างของต้วนอู๋ตี๋หายลับไป ชิวอวี้เฟยที่ฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ที่ห้องด้านในมาตลอดก็เผยรอยยิ้มโล่งใจ เมื่อครู่ยามหลินปี้จะปล่อยให้ต้วนอู๋ตี๋ถูกตัดศีรษะ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะปล้นลานประหาร พอยามนี้เห็นหลินปี้ปล่อยต้วนอู๋ตี๋ไป เขาจึงโล่งอก เดิมทีอยากจะออกไปพบหน้าหลินปี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่านอกเมืองมีกลิ่นอายของคนที่เขาคุ้นเคยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ซุ่มซ่อนพร้อมกับจิตสังหาร เขาเหยียดยิ้มหยัน เงาร่างกลายเป็นดั่งภาพลวงตา กระโจนออกทางหน้าต่างของห้องด้านใน ฉวยโอกาสที่ในเมืองสับสนวุ่นวาย ไล่ตามไปยังทิศทางที่ต้วนอู๋ตี๋หลบหนี
นอกเมืองหยางอี้ เซียวถงยืนอยู่บนเนินเขามองต้วนอู๋ตี๋ควบอาชาออกจากเมืองแล้วกระทืบเท้าอย่างห้ามตนเองมิได้ พอท่านอาจารย์ทราบว่าหลินปี้จะเดินทางมาหยางอี้ด้วยตนเอง ก็ขบคิดซ้ำหลายหน แล้วสั่งให้เขารีบเร่งมายังที่แห่งนี้เพื่อตามล่าสังหารต้วนอู๋ตี๋ที่อาจถูกหลินปี้ปล่อยให้หนีไป ยามนี้เรื่องราวเป็นจริงดังคาด เขากำลังจะควบอาชาไล่ตาม ทันใดนั้นเสียงใสเย็นชาพลันดังขึ้นข้างหู “ศิษย์พี่ ท่านต้องการจะสังหารคนจริงหรือ”
เซียวถงตกตะลึง เงยหน้ามองก็เห็นชิวอวี้เฟยยืนเอามือไพล่หลังอยู่ เขายิ้มขมขื่น “ศิษย์น้อง นี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์ มิว่าแม่ทัพต้วนบริสุทธิ์หรือไม่ หากเขาตกอยู่ในมือศัตรู ล้วนเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง เจ้าอย่าได้ใจอ่อน”
ชิวอวี้เฟยเอ่ยอย่างเย็นชา “แม่ทัพต้วนภักดีต่อเป่ยฮั่นยิ่งนัก แม้นวันนี้มีข่าวลือทั่วหล้า แต่ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งความจริงจักปรากฏ ข้ากับองค์หญิงปี้มิเชื่อว่าแม่ทัพต้วนจะมีใจเป็นอื่น ต่อให้ท่านอาจารย์เดินทางมาด้วยตนเอง ข้าก็จะมิปล่อยให้ท่านอาจารย์ลงมือ”
เซียวถงได้แต่ยิ้มเจื่อน เขาทราบว่าหากกล่าวถึงวรยุทธ์ ตนมิใช่คู่ต่อกรของศิษย์น้องคนนี้ ดูท่าการตามล่าสังหารต้วนอู๋ตี๋จะเป็นไปมิได้แล้ว จึงได้แต่เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็ไปจิ้นหยางพบหน้าท่านอาจารย์เถิด”
ชิวอวี้เฟยตอบนิ่งๆ “ได้ พวกเราไปด้วยกัน”
เซียวถงรีบตอบว่า “ข้ายังมีงานของกองทัพที่ต้องทำ”
ชิวอวี้เฟยปรายตามองอย่างเย็นชา เซียวถงจึงรีบแก้ตัวว่า “เจ้าวางใจ ข้าสาบานต่อเทพมาร หากข้าไล่ตามไปสังหารแม่ทัพต้วน ขอให้ตายแล้วถูกขังในคุกโลหิตของเทพมาร มิอาจเกินใหม่ชั่วนิรันดร์ งานของกองทัพเร่งด่วนจริงๆ ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ”
ชิวอวี้เฟยเงียบงัน ในเมื่อเซียวถงสาบานต่อมารสวรรค์แล้วย่อมมิผิดคำพูด เขาหันหลังเดินจากไป เพียงพริบตาก็หายไปจากสายตา เซียวถงเงยหน้าหัวเราะฝืดเฝื่อน ศิษย์น้องผู้นี้ของตนมิได้พบหน้ากันหลายเดือน ฝีมือก้าวหน้าขึ้นพรวดพราด ศิษย์พี่เช่นตนอับอายแล้วจริงๆ เอาเถิด ในเมื่อองค์หญิงปี้กับอวี้เฟยล้วนเชื่อใจต้วนอู๋ตี๋ถึงเพียงนี้ คิดว่าต้วนอู๋ตี๋ก็คงจะภักดีมิมีใครเทียม ตนเองไยต้องไปทำตัวเป็นคนถ่อยด้วยเล่า