ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 108 พานพบกลางทาง (1)
บนถนนไพร่พลเนืองแน่น ธงทิวพลิ้วดั่งเปลวเพลิง ทหารม้าสวมชุดเกราะวาววับกองหนึ่งคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งแล่นไปตามถนนหลวง สองฟากฝั่งถนนมีต้นข้าวฟ่างกับข้าวสาลีอยู่ประปราย แต่มิเห็นร่องรอยผู้คน มิใช่ว่าชาวบ้านแถบนี้หนีไปหมดแล้ว ความจริงจักรพรรดิต้ายงหลี่จื้อบุกมาสายฟ้าแลบ ชาวบ้านในที่แห่งนี้มิมีโอกาสได้หนีสักนิด สาเหตุที่ยามนี้มิมีผู้คนเป็นเพราะว่าเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนมีคนรับบัญชามาจัดการกันผู้คนออกจากเส้นทางตรงนี้เอาไว้ก่อนเพื่อมิให้เกิดเหตุมิคาดฝันประการใดขึ้น
ข้านั่งอยู่บนรถม้า ม่านสองฝั่งเปิดเอาไว้ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ยามวสันต์อันอบอุ่นของเป่ยฮั่น มีทหารม้าห้าพันนายคุ้มกัน ข้าจึงมิกังวลสักนิดว่าจะมีคนมาลอบสังหาร กลับกัน ข้าเชยชมทิวทัศน์ริมทางจนอิ่มใจ ผ่อนคลายเสมือนหนึ่งมาท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิ
ตอนที่ข้าออกเดินทางขึ้นเหนือ หลี่เสี่ยนกับจ่างซุนจี้รวมพลกันเป็นกองเดียว จากนั้นยกกองทัพใหญ่เคลื่อนไปทางจิ้นหยางแล้ว ยามนี้เป่ยฮั่นมิมีทางส่งกองทหารมากกว่าพันคนออกมานอกวงล้อมของกองทัพต้ายงได้ ขอเพียงทางไต้โจวเสร็จเรื่อง กองทัพใหญ่โอบล้อม ก็จะเริ่มบุกตีครั้งสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องทางตงชวนก็จบแล้ว ต้ายงทุ่มกำลังทั้งหมดจัดการเป่ยฮั่นได้ พลังต่างกันใหญ่หลวง ชัยชนะย่อมสามารถนับวันรอ เมื่อคิดถึงตรงนี้ แม้แต่ข้าก็รู้สึกพออกพอใจอย่างหักห้ามมิได้
เวลานี้เองหูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ด้านข้าง ข้าหันกลับไปมองก็เห็นหลี่ซุ่นเผยสีหน้ากลัดกลุ้มน้อยๆ ข้าเบิกตาโต เจ้าหมอนี่ตอนประมือกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ยังไม่มีแม้แต่สีหน้ากลุ้มใจ วันนี้เป็นอันใดขึ้นมา
หลี่ซุ่นเหมือนจะมองความสงสัยของข้าออก เอ่ยขึ้นมาอย่างกังวล “คุณชาย ก่อนหน้านี้แพ้ชนะของสองกองทัพยังมิปรากฏ ประมุขพรรคมารย่อมมิลงมือโดยง่าย ยามนี้ผลปรากฏแล้ว จิงอู๋จี๋ไฉนจะนิ่งดูดายอีก ปรมาจารย์ฉือเจินอารักขาอยู่ข้างกายฝ่าบาท ข้างกายฉีอ๋องก็มียอดฝีมือเส้าหลินคอยคุ้มกันไม่น้อย แต่ข้างกายคุณชายกลับมีข้าเพียงคนเดียว แม้แต่พวกจางจิ่นสยง คุณชายก็ไม่พามาด้วย
ลูกศิษย์พรรคมารเช่นต้วนหลิงเซียว ชิวอี้เฟยล้วนเป็นยอดฝีมือผู้บรรลุขอบขั้นเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ หากพวกเขาลงมือพร้อมกัน มิต้องพูดถึงข้างกายคุณชายมีทหารม้าเพียงห้าพัน ต่อให้มากกว่านี้ก็ยากจะขวางพวกเขาจากการเข้าประชิดตัวโจมตี ความจริงคุณชายขัดขืนราชโองการอีกสักสองสามหนจะเป็นอันใดไป อย่างไรก็ดีกว่าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้”
ข้าเอ่ยอย่างมิแยแสว่า “เจ้ากังวลเกินไปแล้ว ประมุขพรรคมารเป็นคนระดับใด ต่อให้คิดจะลอบสังหารก็คงลงมือกับฝ่าบาทหรือฉีอ๋องมากกว่า วันนี้หากจะกอบกู้สถานการณ์ มีแต่ต้องทำให้สองคนนี้เกิดเรื่องมิคาดฝันอันใดขึ้นมาเท่านั้น ยามนี้ข้ามิมีคุณค่ามากมายเช่นนั้นแล้ว ลอบสังหารข้าไป อย่างมากก็จุดโทสะให้ฝ่าบาทกับฉีอ๋องเท่านั้น การลอบสังหารข้าเป็นเรื่องไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง มีประโยชน์อย่างเดียวคือการระบายความแค้น”
หลี่ซุ่นยิ้มเฝื่อน “คุณชาย คนบางคนก็ลงมือทำบางสิ่งโดยไร้เหตุผล คนเช่นประมุขพรรคมารลงมือ ไยผู้คนจะคาดเดาได้”
ข้ากำลังจะกล่อมเขา ทันใดนั้นหูก็พลันได้ยินเสียงพิณดีดสามหน เสียงพิณใสประหนึ่งอสนีบาตฟาดอยู่ในหู ข้าพลันรู้สึกว่าโลหิตจากหัวใจพลุ่งพล่าน ร่างกายสั่นสะท้าน หลี่ซุ่นประกบฝ่ามือลงกลางหลังของข้า ถ่ายทอดลมปราณเข้ามาให้
เสียงพิณดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย นุ่มนวลดุจเส้นไหม ทั้งที่เสียงไม่ดังแต่กลับกระจ่างชัดในหู มิทราบว่าเสียงมาจากที่ใด แต่คล้ายผู้ดีดพิณอยู่ข้างกาย ในเสียงพิณงดงามแฝงอารมณ์กลัดกลุ้มละม้ายแม่น้ำที่จับตัวแข็ง ยามต้องแสงตะวันเป็นประกายงดงามมิอาจละสายตา ทว่าใต้ผืนน้ำกลับมีจิตสังหารแฝงเร้น อันตรายซุ่มซ่อน
เสียงพิณรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กองทัพใหญ่หยุดเดินทัพมิเคลื่อนไปข้างหน้าต่อ แต่ละคนรู้สึกว่าเสียงพิณซัดสาดมาดั่งจะพลิกขุนเขาคว่ำสมุทร ทั้งที่ฝั่งตนมีทหารมากมายรายรอบ แต่กลับรู้สึกไร้ที่พึ่งพิงประหนึ่งเรือลำน้อยเดียวดายกลางทะเลสีคราม
ในตอนนี้เองรถม้าที่ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาคันนั้นก็มีเสียงดนตรีดั่งเสียงร่ำไห้ดังออกมา มิใช่เครื่องสายและเครื่องเป่า แต่เสียงใสกังวานอ้อยอิ่ง เสียงพิณยิ่งโหมดัง เสียงดนตรีก็ยิ่งดังขึ้นมิขาดสาย พันเกี่ยวอยู่กับเสียงพิณ บุกมาแรงก็โต้แรงกลับ
มินานเสียงพิณก็ค่อยๆ หยุดลง หลังจากนั้นเสียงพิณก็ดังกระจ่างชัดขึ้นสองสามหนลึกเข้าไปในท้องทุ่งข้างถนนเส้นเก่า แม้มากกว่าครึ่งของคนที่อยู่ตรงนี้มิเข้าใจดนตรี แต่กลับเข้าใจสัญญาณเชิญชวนในเสียงพิณอย่างชัดเจน
สีหน้าข้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เสียงพิณนี้ผู้ใดเป็นคนดีด ข้าฟังแล้วก็ทราบทันที แต่สิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจก็คือความนัยอีกประการหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเสียงพิณนี้ ผู้ที่ดีดพิณนี้เห็นชัดว่ามิมีทางเลือก ดังนั้นจึงมีความกลัดกลุ้มอัดแน่นอยู่ ข้าเปิดม่านรถ เอ่ยขึ้นเบาๆ “หยุดตรงนี้ประเดี๋ยว เสี่ยวซุ่นจื่อ ฮูเหยียนโซ่วตามข้าเดินทางไปคารวะประมุขพรรคมารด้วยกัน”
บนใบหน้าของหลี่ซุ่นกับฮูเหยียนโซ่วปรากฏสีหน้าตกตะลึง แต่พวกเขาก็คาดเดาไว้ในใจอยู่แล้ว จึงมิได้ตั้งคำถามอันใดออกมา ฮูเหยียนโซ่วกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ประมุขพรรคมารยากคาดเดา สองแคว้นเป็นอริกัน ใต้เท้ามิควรเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย” แม้หลี่ซุ่นมิได้เอ่ยวาจา แต่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย
ข้ามิยอมให้คัดค้าน กล่าวว่า “ต่อให้ข้าอยากเปลี่ยนเส้นทางก็สายไปแล้ว แม้มีทหารม้าห้าพันก็ทำได้เพียงรักษาตัวรอด อีกประการหนึ่ง ประมุขพรรคมารเป็นบุคคลระดับใด ในเมื่อเชื้อเชิญข้าไปพบจะบุ่มบ่ามลงมือสังหารได้หรือ พอแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้ามิต้องพูดอีก”
ฮูเหยียนโซ่วสีหน้าตกตะลึง ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนสุภาพในยามปกติคนนี้จู่ๆ ก็มีแววตาเด็ดเดี่ยว คำพูดแฝงอำนาจมิยอมให้ขัดขืน เขาจึงทำใจแล้วลอบคิดกับตนเองว่า หากใต้เท้าบาดเจ็บขึ้นมา อย่างมากที่สุดข้าก็ลงสุสานเป็นเพื่อนเท่านั้น
หลังจากตัดสินใจแล้ว เขาจึงเลือกราชองครักษ์หู่จีที่วรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดด้วยตนเอง จากนั้นตั้งขบวนสิบแปดคนคุ้มกันอย่างแน่นหนาที่สุดแล้วออกเดินทางไปด้วยกัน จากนั้นออกคำสั่งให้ทหารทั้งหมดล้อมทุ่งนาด้านหน้าไว้ หากด้านในมีวี่แววว่าเกิดความผิดปกติอันใดขึ้นก็โจมตี ให้หยกกับศิลาแหลกลาญไปด้วยกัน
ระหว่างที่ฮูเหยียนโซ่วจัดการกำลังคน ข้ากลับเล่นพัดในมืออย่างมิรีบร้อน แสร้งทำมองมิเห็นหลี่ซุ่นผู้ทำสีหน้าเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้จะกะทันหันไปบ้าง แต่การพบหน้ากับประมุขพรรคมารก็อยู่ในแผนการของข้าอยู่แล้ว เพียงแต่เดิมทีคิดว่าจะได้พบกันหลังจากล้อมจิ้นหยาง
ในหมู่สามปรมาจารย์ เจ้าสำนักเฟิงอี้มิต้องพูดถึง ส่วนปรมาจารย์ฉือเจินสมกับเป็นพระสงฆ์ผู้ตั้งมั่นในธรรมะ แต่มิทราบว่าราชครูแห่งเป่ยฮั่น ประมุขแห่งพรรคมารคนนี้จะเป็นบุคคลเช่นไร ดูจากศิษย์ทั้งหลายของเขา ต้วนหลิงเซียวองอาจผ่าเผย กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มิเสียทีเป็นศิษย์สายตรงของประมุขพรรคมาร เซียวถงชาญฉลาดก่งกาจ แม้ถูกข้ารังแกอยู่หลายหน แต่ก็เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอยู่ก่อน ซูติ้งหลวนที่วายชนม์ในนครหลวงต้ายงเมื่อครั้งกระโน้นก็ดุดันห้าวหาญ ชวนให้คนชื่นชม
แม้ชิวอวี้เฟยหยิ่งทะนงเฉยเมย แต่จิตใจและความสามารถก็กล่าวได้ว่าเป็นเลิศ มิเสียทีเป็นศิษย์จากสำนักชื่อดัง แม้แต่หลงถิงเฟย ถานจี้ หลิงตวน คนที่ได้รับการชี้แนะจากประมุขพรรคมารเหล่านี้ก็ล้วนเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญแห่งยุค มีศิษย์เช่นนี้ ประมุขพรรคมารก็คงมิทำให้ข้าผิดหวังกระมัง
เมื่อเห็นฮูเหยียนโซ่วจัดกำลังพลเสร็จแล้ว ข้าจึงก้าวเท้าเชื่องช้าลงจากรถมุ่งหน้าไปยังจุดที่เสียงพิณดังลอยมา เมื่อครู่ฮูเหยียนโซ่วสั่งให้ราชองครักษ์หู่จีสองนายไปสืบดูทางแล้ว มีพวกเขานำทางย่อมตรงดิ่งไปถึงรังของศัตรูได้ทันที
แต่เพราะข้ามิเป็นวรยุทธ์ ทุกครั้งที่รองเท้าผ้าไหมบนเท้าจมลงไปในโคลนอ่อนยวบ การก้าวเดินก็เป็นไปอย่างยากลำบาก หลี่ซุ่นอยากจะเอื้อมมือมาประคองข้าหลายหน แต่ถูกข้าปฏิเสธอย่างอ้อมๆ จะไปพบประมุขพรรคมารเชียวนะ ต้องแสดงความเลื่อมใสสักหน่อยสิ สภาพน่าเวทนาสักหน่อยจึงจะแสดงความจริงใจได้ดีถูกหรือไม่
หลังจากเดินผ่านนาผืนน้อย อ้อมผ่านเนินเขาขนาดเล็กลูกหนึ่ง ก็พบกระโจมหลังหนึ่งตั้งอยู่บนที่ราบเตี้ยๆ ซึ่งถูกคนถางจนราบเรียบตรงจุดที่ภูเขาคอยกำบังลมให้ กระโจมหลังนั้นแตกต่างจากระโจมทหารที่บังลมบังฝนได้ ม่านกระโจมของกระโจมหลังนี้ล้วนเป็นม่านไหมสีขาว เมื่อแสงตะวันส่องลงมาแทบเห็นทะลุเข้าไปข้างใน ประตูกระโจมก็มิมีสิ่งบดบัง มองเห็นภาพในกระโจมได้อย่างชัดเจน
บนพื้นด้านในกระโจมขนาดหลายจั้งปูพรมขนแกะหรูหราอบอุ่นไว้หนาเตอะ เพียงเห็นความหนาก็ทราบแล้วว่าข้างใต้คงปูพรมรองพื้นไว้หลายชั้น เพียงพอสกัดความหนาวเย็นจากใต้พื้นดิน ภายในกระโจมมิมีเก้าอี้ มีเพียงเบาะนั่งวงกลมหุ้มด้วยผ้าลายปักดิ้นเงินดิ้นทองสี่ห้าใบกับโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเตี้ยหน้าตาโบราณสองสามตัว
ตรงมุมกระโจม กระถางกำยานสำริดกำลังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอวล แม้ข้าวของจะเรียบง่าย ทว่าแต่ละชิ้นล้วนวิจิตรประณีตอย่างยิ่ง เผยให้เห็นรสนิยมที่ต่างจากขนบนิยมของเจ้าของสถานที่แห่งนี้
พวกฮูเหยียนโซ่วมิมีกะจิตกะใจชื่นชมแม้แต่น้อย แม้เขามิกล้าสั่งให้ราชองครักษ์หู่จีเข้าใกล้กระโจมด้วยติดขัดที่อำนาจของเจ้าของกระโจม แต่ก็กระจายกำลังไปรอบด้าน ล้อมกระโจมไว้รางๆ ข้ายิ้มละไม แม้ทราบว่าการกระทำเหล่านี้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง แต่ก็มิคิดจะออกปากขัดขวาง ปล่อยให้พวกเขาสบายใจสักนิดก็ดีมิใช่หรือไร
ข้าเดินเข้าไปหน้ากระโจม มองพรมหรูหราด้านใน แล้วมองรองเท้าผ้าไหมที่เต็มไปด้วยโคลน จากนั้นยิ้มแหย จำใจต้องทิ้งรองเท้าแล้วจึงเดินตรงเข้าไปในกระโจม ประจันหน้ากับบุรุษวัยกลางคนหน้าตาสุภาพอ่อนโยน ท่วงท่ากิริยาสง่างามสวมอาภรณ์สีน้ำเงินผู้นั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานตรงกลาง แล้วค้อมกายต่ำคำนับ กล่าวว่า “ผู้น้อยเจียงเจ๋อ คารวะท่านประมุข ผู้น้อยเลื่อมใสผู้อาวุโสมานานแล้ว วันนี้พานพบกันกลางทาง ทั้งยังได้รับการเชื้อเชิญจากผู้อาวุโส ช่างเป็นโชคดีมิมีใดเกิน”