ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 12 สิ้นบุญคุณหมดเยื่อใย (3)
สายลมหนาวพัดผ่าน โลกทั้งใบแลดูอ้างว้างวังเวง ชิงไต้ยืนอยู่หน้าสุสานหยาบๆ ของสืออิง หัวใจเศร้าสลดอย่างมิอาจพรรณนา หลังเผากระดาษเงินกระดาษทองแล้ว ต้วนอู๋ตี๋ก็เอ่ยเสียงเบา “ชิงไต้ กลับกันเถิด เหมันต์หนาวเหน็บมิควรรั้งอยู่นาน วันนี้เจ้ามาเยี่ยมแม่ทัพสือ ตัวเขาในปรโลกรู้เข้าคงตายตาหลับแล้ว”
ชิงไต้คลี่รอยยิ้มจางๆ แลดูขมขื่น น่ากลัวว่าหากวิญญาณของสืออิงรับรู้จริงและได้ทราบว่าตนวางแผนทำร้ายหลอกลวงเขาเช่นไรคงยากจะตายตาหลับ นางรินสุราร้อนแรงในกาสุราที่ตั้งใจเตรียมมาลงบนสุสาน ในใจภาวนาอยู่เงียบๆ
แม่ทัพสือ ชิงไต้ทำให้ชื่อเสียงวีรบุรุษของท่านมัวหมองด้วยไร้ทางเลือก หากต้ายงรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้เมื่อใด ชิงไต้จะคิดหาหนทางล้างความผิดให้ท่านแน่นอน
ภาวนาจบแล้ว ชิงไต้ก็ปลดผีผาบนหลังลงมาดีด ‘กลับค่าย’ ท่อนสุดท้ายของบทเพลง ‘ดักซุ่มสิบทิศ’ ที่แทบจะไม่เคยได้บรรเลงท่ามกลางสายลมหนาว
ต้วนอู๋ตี๋ไม่คิดว่ามีสิ่งใดแปลก หลังจากเขาพบชิงไต้อีกครั้ง เขาก็ค้นพบว่าชิงไต้เหมือนจะชมชอบผีผาจนแทบจะใกล้เคียงกับความบ้าคลั่ง นางแทบมิปล่อยผีผาห่างตัว การที่นางจะบรรเลงผีผาหน้าสุสานของสืออิงย่อมเป็นเรื่องปกติ
ทว่าทันใดนั้นเองเสียงเพลงก็หยุดชะงัก ต้วนอู๋ตี๋พลันได้ยินเสียงหวีดแหลมดังขึ้น เขาหันกลับไปด้วยสัญชาตญาณ องครักษ์คนสนิทสองนายด้านหลังครวญครางล้มอยู่กับพื้น หางลูกศรสีดำเสียบอยู่ที่ลำคอ ห่างออกไปสามสิบจั้ง ทหารม้าอาภรณ์ดำผู้ใช้ผ้าสีดำปิดบังใบหน้าสิบกว่าคนสะพายศรคันงามอยู่บนแผ่นหลังและกำลังจับจ้องมองตนอย่างเย็นชาน่าขนลุก
ต้วนอู๋ตี๋ตกตะลึง มีมือสังหารลอบโจมตีได้เช่นไร หรือผู้ใต้บัญชาของสืออิงมีคนคิดแค้น เขาอดนึกเสียใจไม่ได้ที่พาองครักษ์คนสนิทมาเพียงสองนาย เขาชักดาบข้างเอวออกมาแล้วคุ้มกันอยู่ด้านหน้าชิงไต้ พลางพูดเสียงเบา “ขึ้นม้าเสีย พวกเราจะฝ่าออกไป”
ผู้ใดจะคิดว่าชิงไต้กลับถอนหายใจแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นต้วนอู๋ตี๋ก็รู้สึกว่าลมปราณสายหนึ่งแทรกเข้ามาในร่าง อาการชารุนแรงทำให้เขายืนไม่อยู่อีกต่อไป ร่างกายอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น หลังจากนั้นมือเรียวสองข้างก็ประคองเขาลุกขึ้น พาเขาไปนั่งพิงสุสานของสืออิง ดวงหน้างามพิสุทธิ์แต่เย็นชาดั่งน้ำแข็งดวงนั้นของชิงไต้ตกอยู่ในสายตาของเขา
ต้วนอู๋ตี๋พลันเข้าใจเรื่องราวมากมายในทันใด เหตุใดสืออิงจึงเคียดแค้นตนเช่นนี้ และเหตุใดเขาจึงตายอยู่ในหอเฟยเยี่ยน เขาตวาดเกรี้ยวกราด “ชิงไต้ เจ้าเข้ากับฝ่ายต้ายงเช่นนั้นหรือ”
ดวงตาของชิงไต้ทอประกายเย็นยะเยือก เวลานี้เอง ทหารม้าอาภรณ์ดำนายหนึ่งก็หิ้วสัมภาระห่อหนึ่งลงจากม้า เดินเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า “คุณหนู เชิญรีบผลัดอาภรณ์ พวกเรามิอาจรั้งอยู่นาน ต้องรีบออกจากเมืองชิ่นโจวก่อนจะมีผู้ใดสังเกต” เสียงของเขาใสรื่นหู เมื่อมองรูปร่างของเขาอีกหนจึงทราบว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง
ชิงไต้ส่งผีผาให้นาง จากนั้นจึงหิ้วห่อสัมภาระไปด้านหลังป้ายหิน ไม่นานก็เปลี่ยนมาใส่อาภรณ์สำหรับขี่ม้าสีดำเยี่ยงบุรุษ ต่อจากนั้นคนชุดดำอีกคนหนึ่งก็ส่งผ้าคลุมสีดำมาให้ ชิงไต้ยามนี้สวมอาภรณ์บุรุษ ข้างเอวห้อยกระบี่ยาว สีหน้าเคร่งขรึม มิใช่หญิงขับร้องผู้ขายเสียงเพลงในหอคณิกาอีกต่อไป แต่เป็นซูชิง เจ้าของฉายาขนงโก่งแพรเขียวและเป็นหัวหน้าหน่วยสอดแนมผู้บัญชาการสายลับพันกว่าคนในเป่ยฮั่น
นางก้าวมาเบื้องหน้าต้วนอู๋ตี๋แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเฉยชา “เจ็ดปีก่อนท่านไร้หัวใจปล่อยให้ข้าเกือบปลิดชีพตนกลางหุบเขา แต่ท้ายที่สุดข้าก็รอดมาได้ ในเมื่อท่านภักดีต่อเป่ยฮั่นเช่นนี้ ข้าก็มิมีคำใดจะกล่าว จำต้องเลือกเส้นทางนี้เท่านั้น เป่ยฮั่นมิล่มสลาย ชีวิตนี้ข้ามิอาจนอนตายตาหลับ อู๋ตี๋ ยามนี้ท่านกับข้าเป็นศัตรู ไม่เกี่ยวข้องกันอีก แม้จะทราบว่าเป็นไปมิได้ แต่ข้าก็ยังต้องถามท่านสักคำ ท่านจะยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายงหรือไม่”
ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มหยัน “ในเมื่อเจ้าทราบใจภักดีของข้า เรื่องทรยศแว่นแคว้นเข้ากับศัตรูข้าจะทำได้เช่นไร ชิงไต้ ข้าโง่เขลาเพราะความรู้สึกส่วนตัว วันนี้เมื่อคิดดูแล้ว เจ้าคงเป็นผู้ยุยงสืออิงให้ก่อปัญหาแก่ข้าสินะ เจ้าตั้งใจไว้เช่นนี้หรือ แม่ทัพสือทรยศจริง หรือถูกเจ้าใส่ร้าย”
ชิงไต้ถอนหายใจแผ่วเบา นางทราบอยู่ก่อนแล้วว่าต้วนอู๋ตี๋มิมีทางยอมสวามิภักดิ์ ในมื่อสังหารคนผู้นี้มิได้ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่ใส่ร้ายสืออิงต่อไป นางแสดงสีหน้าโกรธแค้นแล้วกล่าวว่า “สืออิงรู้จักสถานการณ์ดีกว่าท่านมากนัก หากมิใช่เขาหาเรื่องท่านโดยพลการเพราะข้า ต้ายงของเราก็คงมิสูญเสียไส้ศึกชั้นเยี่ยมเช่นนี้ไป”
ต้วนอู๋ตี๋ถอนหายใจอยู่ในใจ ตนกลายเป็นเชลยของผู้อื่นแล้ว สืออิงก็ปลิดชีพตนไปแล้ว ในเมื่อชิงไต้ยังกล่าวเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นสืออิงก็คงเป็นผู้ทรยศแคว้นจริงๆ เขาฝืนเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “ชิงไต้ ข้ามิโทษเจ้าที่เข้าข้างต้ายง ในใจเจ้ามีความแค้น กระทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ข้าต้วนอู๋ตี๋ไม่มีวันยอมคุกเข่าสวามิภักดิ์เป็นอันขาด หากเจ้ายังเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานก็ปลิดชีพข้าในดาบเดียวเถิด”
ชิงไต้เอ่ยอย่างเย็นชา “ท่านวางใจเถิด แต่เดิมข้าก็ไม่คิดจะจับตัวท่านกลับไปต้ายงอยู่แล้ว นิสัยของท่าน ข้ารู้ชัดดี ในเมื่อหนทางซ้ายขวาล้วนเป็นความตาย ไยต้องให้ท่านอัปยศเพิ่มด้วยเล่า”
ต้วนอู๋ตี๋รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย กล่าวต่อว่า “ก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ข้าติดค้างเจ้าในวันวานก็ใช้ชีวิตชดใช้ให้แล้ว นับจากนี้บุญคุณความแค้นระหว่างพวกเราถือว่าหมดสิ้น” กล่าวจบก็หลับตาลง รอให้ชิงไต้ลงมือ
ชิงไต้เอื้อมมือจับด้ามกระบี่ หัวใจพลันเจ็บปวดวูบหนึ่ง นางพึมพำออกมา “สิ้นบุญคุณหมดเยื่อใย ก็ดี ดีแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง” กล่าวจบก็เสือกกระบี่เข้าใส่ต้วนอู่ตี๋
เวลานี้เอง สตรีอาภรณ์สีดำผู้ปิดบังใบหน้านางนั้นก็พลันชักกระบี่ออกจากฝักขวางกระบี่ยาวของชิงไต้เอาไว้ ต้วนอู๋ตี๋ได้ยินเสียงประหลาดจึงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าสีหน้ายังคงสุขุมนิ่งเฉย ชิงไต้เห็นสีหน้าของเขาก็ใจอ่อน ความรักลึกซึ้งในวันวานผุดขึ้นในหัวใจ ในใจคิดว่า หากไม่มีผู้ใดขัดขวาง หนึ่งกระบี่นี้ข้าจะแทงลงจริงหรือไม่
หญิงสาวที่ขัดขวางชิงไต้ผู้นั้นกล่าวว่า “คุณหนู ท่านทำให้แม่ทัพสือตายเพราะความรู้สึกส่วนตัว หากพาตัวแม่ทัพต้วนกลับไปได้ อาจยังพอใช้ความชอบมาชดใช้ความผิด หากสังหารเขาจะน่าเสียดายเกินไปอยู่บ้าง”
ชิงไต้ฉุกคิดได้ ตนทำได้เพียงใช้เพลงผีผาส่งข่าวให้เริ่มแผนการที่นัดแนะกันไว้ก่อนหน้า ดังนั้นคนสนิทกับผู้ช่วยของตนจึงทราบเพียงว่าต้องรักษาชีวิตของต้วนอู๋ตี๋เอาไว้ แต่เหตุผลที่นางกล่าวออกมาก็มิใช่เรื่องลวง ครั้งนี้ตนเปลี่ยนแผนการตามอำเภอใจ แม้ผลลัพธ์จะน่าพอใจมากขึ้น แต่เกรงว่าเบื้องบนอาจตำหนิ น่าเสียดายตนเองคงทำได้เพียงยอมรับ
นางแสร้งจงใจมองต้วนอู๋ตี๋ เห็นสีหน้าเขาวิตกขึ้นมาเลือนรางก็ทราบว่าเขากลัวตนจะพาตัวเขาไปจริงๆ ในใจนางยิ้มขมขื่นเล็กน้อย สมกับที่กล่าวว่าผู้ตกอยู่ในเหตุการณ์ย่อมมองสถานการณ์ไม่ขาด ตนไม่มีความสามารถพาเชลยคนหนึ่งกลับไปต้ายงเสียหน่อย แต่ละครยังต้องเล่นให้จบ
นางจงใจลดกระบี่ลงแล้วเงียบไป ในที่สุดผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจกล่าวว่า “ในเมื่อข้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่ย่อมไม่เพ้อฝันจะเอาความชอบมาลบล้างความผิด ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ หากไม่มีเขาช่วยเหลือ ข้าก็คงติดอยู่ในชิ่นโจว มิอาจรอดชีวิตกลับไปได้ ช่างเถิด ข้าจะยอมเสี่ยงชีวิตสักครั้งชดใช้บุญคุณของเขาก็แล้วกัน ปล่อยเขาไว้ที่นี่ พวกเราไปเถิด”
คนชุดดำอีกคนหนึ่งชักอาชาออกจากแถวมา กล่าวว่า “คุณหนู คนผู้นี้เป็นถึงยอดแม่ทัพของเป่ยฮั่น หากไม่สังหารเขา วันหน้าเกรงว่าคนผู้นี้จะสังหารทหารของพวกเราอีกนับไม่ถ้วน คุณหนูไยปล่อยเขาไปเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว”
ชิงไต้เลิกคิ้ว กล่าวว่า “เรื่องในที่นี้ผลัดไม่ถึงตาเจ้าตัดสินใจ ในเมื่อข้าตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว หากเบื้องบนกล่าวโทษ ย่อมมีข้ารับไว้เพียงผู้เดียว”
ยามนี้ คนชุดดำคนหนึ่งก็ห้อม้าเข้ามา ตะโกนเสียงดัง “คุณหนู แย่แล้ว เซียวถงกับชิวอวี้เฟยควบม้ามาทางด้านนี้แล้ว คุณหนู พวกเรารีบเดินทางเถิด”
ชิงไต้รับสายบังเหียนอาชาที่ลูกน้องส่งให้แล้วพลิกกายขึ้นม้า จากนั้นเอ่ยกับต้วนอู๋ตี๋อย่างเย็นชา “นับจากนี้ท่านกับข้าไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก วันหน้าหากชิงไต้โชคดีไม่ตายแล้วได้พบท่านบนสนามรบ ท่านก็มิจำเป็นต้องออมมือไว้ไมตรี” กล่าวจบก็ชักม้าหวดแส้จากไป
คนชุดดำที่ถูกชิงไต้ตำหนิผู้นั้นมองต้วนอู๋ตี๋อย่างเคืองแค้นปราดหนึ่งแล้วควบม้าตามไป หญิงสาวอาภรณ์ดำผู้ปิดบังใบหน้าผู้นั้นกลับขยับตัวเป็นคนสุดท้าย สายตาแฝงจิตสังหารกวาดมองบนใบหน้าของต้วนอู๋ตี๋รอบหนึ่ง ในที่สุดก็จากไป
ทว่าก่อนจาก มือขวาของนางกลับดีดเข็มสองคมเล่มหนึ่งจากด้านหลังพุ่งเข้าใส่ร่างของต้วนอู๋ตี๋ ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มขมขื่น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ไกลออกไป ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนดังมาจากทิศทางของเมืองชิ่นโจว จุดที่ต้องเข็มเกิดอาการชาประหลาด เกิดความรู้สึกเวียนหัวตาลายอยู่พักหนึ่ง จากนั้นต้วนอู๋ตี๋ก็ค่อยๆ สิ้นสติ