ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 19 กองบัญชาการสุสานโบราณ (2)
ดวงตาของเฉินเจิ่นทอประกายเย็นยะเยือก หากกู้หนิงมีความคิดเช่นนี้คงทำให้หลายคนในกลุ่มมีความคิดแตกเป็นฝักฝ่ายอย่างยากจะเลี่ยง ถึงอย่างไรชื่อเสียงของกู้หนิงก็ยังคงอยู่ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วตั้งแต่บนจดล่างต้องมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เฉินเจิ่นจะไม่ยอมปล่อยภัยที่อาจทำให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแตกแยกไว้
จะให้ชาวแคว้นสู่ผู้ทุ่มเทกับการฟื้นฟูแว่นแคว้นออกไปจากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไม่ได้ นี่คือกฎเหล็กที่เจียงเจ๋อตั้งไว้ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ท่านหัวหน้า มีเรื่องหนึ่งผู้น้อยอยากรายงาน แต่ก่อนหน้านี้หาจังหวะมิได้ ในกลุ่มของพวกเรามีสมาชิกสองคนเกิดเอาใจออกห่าง พวกเขาเบื่อหน่ายกับการฟื้นฟูแคว้น ต้องการออกจากกลุ่ม จะจัดการเช่นไรขอท่านหัวหน้าตัดสินด้วย”
ต่งเชวียเข้าใจเจตนาของเฉินเจิ่นจึงแสร้งทำเป็นโกรธจัด ตวาดดุดัน “มีอย่างที่ไหน กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วใช่สถานที่เข้าออกได้ตามใจหรือ สองคนนี้คือผู้ใด ถ่ายทอดคำสั่งข้า ประหารสมาชิกสองคนนี้เสีย ครอบครัวก็มิเว้น”
สายตาของเฉินเจิ่นกวาดมองผู้คนเบื้องล่างทีละคน ผู้ใดก็ตามที่ประสานสายตากับเขาล้วนก้มหน้าหลบอย่างห้ามตนเองมิได้ หลายปีที่ผ่านมาสู่จงฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล การปกครองของชิ่งอ๋องที่เป็นไปตามความประสงค์ของราชสำนักต้ายงก็นับว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ ประชาชนอยู่ดีมีสุข แม้แต่ในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็มีสมาชิกอายุน้อยจำนวนหนึ่งเกิดความคิดว่าไม่ต้องการฟื้นฟูแว่นแคว้นแล้ว
ถึงอย่างไรความยึดติดที่มีต่อแว่นแคว้นในอดีตของพวกเขาก็ค่อนข้างเบาบาง ในใจพวกเขาเข้าใจว่าเฉินเจิ่นคงจะฉวยโอกาสเล่นงานใครสักคน แม้จะมั่นใจมากกว่าครึ่งว่าเป้าหมายมิใช่ตนเอง แต่ทุกคนก็ยังคงหวาดหวั่นอยู่ในหัวใจ
ดวงตาเฉินเจิ่นทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “สยงเป้ากับซั่งกวนเยี่ยน ลูกน้องของผู้คุมกฎกู้ขอรับ” เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนส่วนใหญ่ล้วนพรูลมหายใจ แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งเผยสีหน้ากังวล สยงเป้าเป็นหลานชายของกู้หนิง ซั่งกวนเยี่ยนเป็นบุตรบุญธรรมของกู้หนิง กู้หนิงมีตำแหน่งในใจผู้คนในกลุ่มค่อนข้างสูง เพียงแต่ทุกคนหวาดกลัวเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของฮั่วจี้เฉิงกับกับเฉินเจิ่นมากกว่า ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าสนับสนุนกู้หนิง
กู้หนิงตกใจยิ่งนัก สีหน้าซีดเผือดในทันที สองคนนี้ล้วนเป็นคนในครอบครัวใกล้ชิดของเขา ทั้งยังเป็นคนหนุ่มผู้เก่งกาจ ความคิดแรกของกู้หนิงคือเฉินเจิ่นคิดจะฉวยโอกาสลดทอนอำนาจของตน แต่เมื่อคิดทบทวนอีกครั้ง กู้หนิงก็รู้สึกทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง
ไม่นานมานี้สยงเป้ากับซั่งกวนเยี่ยนเคยบ่นอยู่บ้างจริงๆ พวกเขากล่าวว่าความจริงการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งของต้ายงมิอาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว แทนที่จะวางแผนฟื้นฟูแว่นแคว้น มิสู้ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขเสียจะดีกว่า ในใจกู้หนิงก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงได้แต่เตือนพวกเขามิให้พูดออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าเฉินเจิ่นยังจะล่วงรู้อีก
มิว่าอย่างไรกู้หนิงก็มิอาจมองเด็กหนุ่มทั้งสองถูกสังหารไปเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากมิละเว้นครอบครัว ถ้าเช่นนั้นตนเองย่อมถูกหางเลขไปด้วย จึงได้แต่ลุกขึ้นค้อมกายคารวะกล่าวว่า “ท่านหัวหน้ากลุ่ม เด็กสองคนนี้ในสังกัดผู้น้อยเพียงกล่าวเหลวไหลมิจริงจังเท่านั้น พวกเขาจงรักภักดีต่อกลุ่มของเรา มิมีทางคิดทรยศเป็นอันขาด
ขอท่านหัวหน้าให้อภัยความเลอะเลือนชั่วขณะของพวกเขาด้วย โปรดเห็นแก่ความดีความชอบที่พวกเขาทำให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ละเว้นโทษตายพวกเขาเถิด ผู้แซ่กู้ยินดีรับโทษทัณฑ์แทนพวกเขาเอง”
กู้หนิงยอมก้มหัววิงวอนอย่างนอบน้อมพลางลอบเหลือบมอง เห็นนิ้วมือขวาที่วางอยู่บนที่วางแขนเก้าอี้ของหัวหน้ากลุ่มขยับเล็กน้อย นี่เป็นความเคยชินเมื่อฮั่วจี้เฉิงคิดจะสังหารคน ในใจกู้หนิงยิ่งเคร่งเครียด น้ำเสียงเริ่มร้อนรน
เวลานี้เอง หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรก็ยกมือขวาขึ้นหยุดมิให้กู้หนิงกล่าวต่อ แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อผู้คุมกฎกู้ขอร้อง ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสสักครั้ง ข้าตัดสินใจจะส่งฮั่วอี้ไปทำงานกับชิ่งอ๋อง ให้พวกเขาตามฮั่วอี้ไปด้วยก็แล้วกัน เรื่องนี้ผู้คุมกฎกู้มีความเห็นเป็นอื่นหรือไม่”
กู้หนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยอย่างหดหู่ “ผู้น้อยมิมีความเห็น”
เมื่อนึกถึงครอบครัว ในที่สุดเขาก็ต้องยอมประนีประนอม เขายอมสละได้ทุกสิ่งเพื่อการใหญ่อย่างการฟื้นฟูแว้นแคว้น แต่การจะสละครอบครัวเพื่อเรื่องนี้มิใช่สิ่งจำเป็น หลายปีที่ผ่านมาฮั่วจี้เฉิงมิเคยวางแผนผิดพลาด อย่างน้อยก็น่าจะถอนตัวได้อย่างปลอดภัยกระมัง กู้หนิงคิดเช่นนี้
เฉินเจิ่นกับต่งเชวียลอบส่งสายตาให้กัน เขาจงใจเลียนแบบท่าทางที่ฮั่วจี้เฉิงติดเป็นนิสัยเพื่อให้กู้หนิงเชื่อว่าหัวหน้ากลุ่มคิดจะสังหารคน การข่มขู่อย่างเงียบงันทำให้กู้หนิงยอมแพ้อย่างรวดเร็ว บุรุษผู้ปณิธานแน่วแน่คนหนึ่งถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนนอกเห็นเข้าคงล้วนเวทนาสงสาร แต่เฉินเจิ่นกับต่งเชวียล้วนมีหัวใจดุจก้อนศิลา พวกเขามิรู้สึกรู้สาแม้สักนิด
ต่งเชวียเอ่ยเสียงกังวาน “เรื่องนี้ตกลงเช่นนี้ แต่กลุ่มพันธมิตรของพวกเราจะทุ่มหมดหน้าตักย่อมมิได้ การระวังผู้อื่นเป็นสิ่งมิควรขาด รองหัวหน้าเฉินจะพาคนกลุ่มหนึ่งไปร่วมมือกับชิ่งอ๋อง แต่ข้ายังจะซ่อนตัวลอบดำเนินแผนการใหญ่ต่อไป”
ทุกคนขานรับเป็นเสียงเดียว
เฉินเจิ่นกับต่งเชวียสบสายตากัน ในใจทั้งสองคนวางแผนมาก่อนแล้วว่าจะส่งสมาชิกในกลุ่มที่มุ่งมั่นกับการฟื้นฟูแว่นแคว้นเหล่านั้นไปเป็นลูกน้องของชิ่งอ๋อง ปล่อยให้พวกเขาเสียสละพลีชีพให้หมดสิ้น จะเป็นการจัดการที่ดีที่สุด ทั้งสองคนชื่นชมความเยือกเย็นของกู้หนิงอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายสุดท้ายของเจียงเจ๋อคือการทำให้ผู้คนในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเลิกล้มความคิดที่จะฟื้นฟูแว่นแคว้น ดังนั้นกู้หนิงจึงไม่จำเป็นต้องไป ส่วนที่ให้สยงเป้ากับซั่งกวนเยี่ยนตามไป๋อี้ไปอยู่ใต้บัญชาชิ่งอ๋องก็เพื่อหาโอกาสควบคุมพวกเขาไว้ มิให้กู้หนิงเคลื่อนไหวตามอำเภอใจเท่านั้น
หลังจากให้ทุกคนแยกย้ายกันแล้ว ต่งเชวียก็เอ่ยเสียงเบา “คนผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉินเจิ่นทราบว่าต่งเชวียถามถึงสายลับของกรมวินิจการณ์ที่ถูกจับเป็นเชลยจึงตอบเสียงเบาว่า “ยังถูกคุมตัวอยู่ คนผู้นี้พักนี้ไม่อยู่สงบเสงี่ยมดีๆ พยายามหลบหนีอยู่หลายครั้ง หากมิใช่ว่าเขาเป็นคนของกรมวินิจการณ์คงตายไปสิบหนได้แล้ว”
ต่งเชวียตอบว่า “คนผู้นี้สมควรปล่อยไปได้แล้ว คุณชายกล่าวว่าจะให้กรมวินิจการณ์กับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วต่อสู้กันสักหน ฝั่งพวกเราจะได้กำจัดพวกคนหัวแข็งที่มิอาจสั่งสอนจำนวนหนึ่ง ส่วนความเสียหายของกรมวินิจการณ์ย่อมทำให้ชิ่งอ๋องเชื่อในความจริงใจของพวกเรา แต่คุณชายกล่าวว่าอย่าให้หนักเกินไป ถึงอย่างไรกรมวินิจการณ์ก็เป็นคนของต้ายง แม้ในนั้นมีคนบางพวกเคยฆ่าคนวางเพลิง แต่คุณชายก็มิต้องการล่วงเกินเซี่ยโหวหยวนเฟิง คนผู้นี้มิควรหาเรื่อง”
เฉินเจิ่นยิ้มหยัน “เซี่ยโหวหยวนเฟิงคงมิปวดใจนักหรอก แต่ท่านกล่าวมีเหตุผล ไม่ว่าอย่างไรก็ปรองดองกับเขาไว้ดีกว่า ทว่าหากจะทำเช่นนี้น่ากลัวว่าคงต้องให้ท่านเดินทางไปสักเที่ยว”
ต่งเชวียพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่จะรีบร้อนเกินไปมิได้ คุณชายตั้งใจจะให้เหลือกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไว้ในวันหน้า ปล่อยคนของกรมวินิจการณ์ผู้นั้นออกมาก่อน ให้เขากลับไปส่งข่าวสักหน ในใจเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็น่าจะพอเดาอันใดได้บ้างแล้ว”
เฉินเจิ่นตอบว่า “วางใจเถิด แม้แต่ตอนสอบสวน ข้าก็ปิดบังหน้าตา เขาไม่มีทางทราบว่าที่แห่งนี้คือที่ใด กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคำนี้เขายิ่งมิเคยได้ยิน”
ต่งเชวียยิ้ม “ตอนนี้สมควรปล่อยให้เขารู้บ้างแล้ว คนผู้นี้เป็นบุรุษที่ใช้ได้คนหนึ่ง ถูกขังโดยมิรู้อันใดทั้งสิ้นมาหลายวันเช่นนี้ก็ยังมิยอมจำนน ในเมื่อต้องปล่อยเขาก็ให้เขารู้อะไรสักหน่อย เช่นนี้จะได้รายงานฝั่งเซี่ยโหวได้”
ต่งเชวียพยักหน้าแล้วเดินตามเฉินเจิ่นลึกเข้าไปในสุสานโบราณ ที่แห่งนั้นมีสถานที่ซึ่งวางกลไกไว้แน่นหนาอยู่หลายห้องใช้เป็นคุก ฉิวซานสายลับของกรมวินิจการณ์ที่ถูกคุมขังมาเดือนกว่าเป็นนักโทษเพียงคนเดียวในตอนนี้
ฉิวซานนั่งอยู่บนตั่งหิน ใบหน้าไร้อารมณ์ ห้องขังแห่งนี้สะอาดเป็นระเบียบอย่างยิ่ง บนตั่งหินก็ปูฟางเอาไว้ ฟูกนอนผ้าห่มมีพร้อมสรรพ คนลึกลับที่จับตนมาขังไว้เหล่านี้แม้ยามแรกจะทรมานบีบให้ตนสารภาพ แต่เพียงสองสามวันก็เลิก ไม่มีเค้นถามให้เขาบอกสิ่งใดอีก แล้วยังตั้งอกตั้งใจรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาด้วย ทว่าสิ่งนี้มิอาจทำให้ฉิวซานรู้สึกซาบซึ้งแม้แต่น้อย
เมื่อไม่เห็นแสงเดือนแสงดาว เขาจึงได้แต่ใช้มื้ออาหารคำนวนเวลา เมื่อนึกขึ้นมาว่าเสียเวลาเปล่ามาหนึ่งเดือนกว่าเช่นนี้แต่มิอาจส่งข่าวออกจากตงชวนได้ ในใจฉิวซานก็โกรธแค้นเป็นกำลัง หลายครั้งที่พยายามจะหลบหนีล้วนล้มเหลว หากมิใช่เพราะเขามีจิตใจเข้มแข็ง เกรงว่าคงถูกการกักขังซึ่งเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดนี่ทำให้เป็นบ้าไปแล้ว
เขาอดลูบรอยแส้บนร่างกายมิได้ นี่ได้มาจากตอนเขาโจมตีคนเฝ้าจนสลบแล้วพยายามหลบหนีครั้งก่อน คนลึกลับพวกนั้นสั่งลงโทษเฆี่ยนเขาด้วยแส้หนังสามสิบหน แต่พวกเขาลงมือไม่หนัก มิเช่นนั้นน่ากลัวว่ายามนี้ฉิวซานคงมิต้องคิดจะลุกขึ้นมานั่ง
ประตูหินถูกเปิดออก ดวงตาของฉิวซานมิได้เงยขึ้นมอง แม้จากระดับความหิวของตน น่าจะยังไม่ถึงเวลาทานอาหาร แต่การถูกกักขังอย่างมิรู้สถานการณ์กับความรู้สึกไร้กำลังอันรุนแรงเช่นนี้ทำให้เขาหมดความสนใจต่อหลายสิ่ง
เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น “เป็นอันใดไป พี่ฉิวไม่อยากออกไปจากห้องนี้แล้วหรือ”
ฉิวซานลุกพรวด แต่แล้วใบหน้าก็แดงทันควัน เขารู้สึกว่าตนเองแสดงออกอย่างกระตือรือร้นเกินไปหน่อยจึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นบุรุษชุดดำสองคนยืนอยู่ตรงหน้า พวกเขาล้วนสวมหน้ากากผี คนหนึ่งยืนมือไพล่หลัง อีกคนหนึ่งกลับยืนอยู่ที่ประตู ฉิวซานฟังเสียงนี้แล้วรู้สึกว่าไม่คุ้นหูนัก เขาเอ่ยอย่างอับอาย “ขอถามท่านนามว่าอันใด”
บุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ตรงประตูเอ่ยปากตอบ “ท่านนี้คือท่านฮั่ว หัวหน้าของพวกเรา”
ฉิวซานใจสะท้าน เขาเป็นผู้เฉลียวฉลาด สถานการณ์ในตงชวนก็รู้กระจ่างดุจฝ่ามือ กลุ่มคนที่กักขังตนไว้ได้นับเดือนแล้วยังมิปล่อยข่าวเล็ดลอดออกไปแม้แต่น้อยมีอยู่ไม่มาก เมื่อได้ยินคำว่า ‘ท่านฮั่ว’ สองคำ เขาก็หลุดปากเอ่ยออกมาว่า “กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว”
ดวงตาพลันฉายแววหวาดระแวงและคลางแคลง ในใจเขารู้กระจ่างชัดยิ่งนักว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นอริกับต้ายง ความสงสัยบางประการได้รับการคลี่คลายแล้ว เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงมิยอมปล่อยตนแต่ก็มิยอมส่งตนให้ชิ่งอ๋อง ทว่าอีกคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมา แล้วเหตุใดคนเหล่านี้จึงปฏิบัติต่อตนอย่างดีเช่นนี้เล่า
ต่งเชวียคลี่ยิ้ม “พี่ฉิวหัวไวนัก มิเสียทีเป็นคนของกรมวินิจการณ์ ข้านามว่าฮั่วจี้เฉิง เป็นหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว”
ฉิวซานเผยสีหน้าเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ วันนี้หัวหน้ากลุ่มเดินทางมาพบทั้งยังคลายความสงสัยให้ ข้าย่อมทราบว่าจุดจบของตนมาถึงแล้ว หลายวันที่ผ่านมา กลุ่มของท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างดี ฉิวซานรู้สึกขอบคุณ แต่ข้ามิมีสิ่งใดจะกล่าว ขอหัวหน้ากลุ่มมอบความตายในดาบเดียวให้ข้าเถิด”
ต่งเชวียถามอย่างขบคิด “ดูท่าท่านคิดว่าข้าจักสังหารท่านแน่สินะ”
ฉิวซานหัวเราะหยัน กล่าวว่า “กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นสถานที่เช่นไร ในใจข้าทราบดี หัวหน้ากลุ่มชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือ ข้าเคยได้ยินมานานแล้ว เห็นแก่ที่กลุ่มของท่านดูแลข้ามาหลายวัน ข้าขอเกลี้ยกล่อมท่านหัวหน้ากลุ่มสักคำ การรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งของต้ายงเป็นสิ่งที่มิอาจขัดขวางได้ ความหวังที่จะฟื้นฟูแว่นแคว้น ปล่อยวางเสียจะดีกว่า”
เฉินเจิ่นหัวเราะ “ท่านช่างมีเจตนาดี แต่ชิ่งอ๋องวางแผนก่อกบฏอยู่ เกรงว่าอนาคตของต้ายงก็ยังมิแน่ ท่านทราบได้อย่างไรว่าพวกเราไร้โอกาส”
ฉิวซานฟังออกว่านี่คือคนที่มาเยี่ยมเยียนเค้นถามตนเองหลายครั้งหลายคราผู้นั้นจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ ต้ายงของเรามีพลทหารนับล้าน ชิ่งอ๋องทำไม่สำเร็จแน่นอน” เขากล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ ต่งเชวียกับเฉินเจิ่นลอบยิ้มให้กัน ในใจคิดว่าคนผู้นี้ช่างจิตใจแน่วแน่เสียจริง ถ้าเช่นนั้นให้เขากลับไปเหมาะสมที่สุด
‘คืนหิมะพรมเรือรบล่องข้ามกัวโจว อาชาเหล็กฝ่าสายลมข้ามด่านซั่นกวน’ ด่านซั่นกวนเป็นหนึ่งในด่านชื่อดังทั้งสี่ของกวนจง นับแต่โบราณมาก็เป็นรอยต่อของฉินสู่ ตะวันออกเริ่มจากหล่งโส่ว ตะวันตกจรดจงหนาน มีลักษณะเป็นเขาสูงชัน ก่อนแคว้นสู่ล่มสลาย สถานที่แห่งนี้เป็นป้อมปราการสำคัญของต้ายงในการขัดขวางแคว้นสู่ แม้นับตั้งแต่ด่านหยางผิงกับด่านจยาเหมิงตกอยู่ในมือต้ายง ความสำคัญของด่านซั่นกวนจะลดลงไปมาก แต่ต้ายงก็ยังคงวางกำลังทหารไว้ที่ด่านซั่งกวนอย่างเพียงพอ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนแรกหลี่หยวนกับหลี่จื้อล้วนนึกระแวงอยู่เล็กน้อย ดังนั้นชิ่งอ๋องจึงมิอาจยื่นมือเข้ามาในด่านซั่นกวนได้แม้สักนิด แม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านซั่นกวนมีนามว่าหลี่จงซวิน เขาเป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์ตระกูลหลี่ เพียงแต่สายเลือดห่างไกลอยู่เล็กน้อย เขาชำนาญการป้องกันเมือง จิตใจจงรักภักดีไม่มีปัญหาใด ดังนั้นจึงจงใจเลือกเขามาเฝ้าด่านซั่นกวน
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเองเพิ่งเดินทางมาถึงด่านซั่นกวนเมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อควบคุมการสอดแนมในสู่จง เขาจัดการส่งคนของหน่วยข่าวหรดีจากกองการข่าวกับคนของกรมวินิจการณ์ที่พามาแฝงตัวเข้าไปในตงชวนแล้ว แต่ตงชวนแทบจะปิดตาย เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิทราบว่านี่เป็นผลจากการที่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วลอบช่วยเหลือชิ่นอ๋อง เขาจึงมองความสามารถของชิ่งอ๋องสูงขึ้นอีกหนึ่งขั้น ในใจกลัดกลุ้มมากกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้หลังจากเซี่ยโหวหยวนเฟิงทราบว่าฉิวซานขอเข้าพบจึงแทบจะนิ่งอึ้ง ลูกน้องที่เดิมทีคิดว่าตายไปนานแล้วกลับปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนี้เพียงพอทำให้เขาตกตะลึง ทว่าหัวหลิวที่ถูกเซี่ยโหวหยวนเฟิงพามาช่วยเหลือตนในครั้งนี้กลับพอคาดเดาบางสิ่งออก แม้หลายปีที่ผ่านมาเขาจะไม่มีโอกาสติดต่อกับขุมกำลังของเจียงเจ๋ออีก แต่เรื่องบางอย่างก็ยังพอทราบอยู่บ้าง
กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วถูกเจียงเจ๋อควบคุมอยู่อย่างลับๆ เรื่องนี้เขาทราบอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จู่ๆ ฉิวซานรอดกลับมา หัวหลิวจึงคิดสาเหตุที่เป็นไปได้ออกอย่างรวดเร็ว เซี่ยโหวหยวนเฟิงเป็นคนช่างสังเกต เมื่อเห็นมุมปากของหัวหลิวเผยรอยยิ้มก็นึกถึงเรื่องที่หลี่จื้อเคยเปรยไว้ขึ้นมาได้ทันที ในใจจึงผ่อนคลายลงแล้วออกคำสั่งให้เรียกตัวฉิวซานเข้ามา