ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 2 ข่าวชวนตะลึงกับเหตุพลิกผัน (2)
ดวงตาต่งเชวียทอประกายเจิดจ้า เขาคิดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อจะจัดการเช่นนี้ จึงถามอีกว่า “คุณชาย พวกเราจะมิแจ้งเรื่องนี้กับราชสำนักหรือ”
ข้ายิ้มลุ่มลึก ตอบว่า “เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิใช่คนธรรมดา ข้าไม่เชื่อว่าอำนาจของกรมวินิจการณ์จะถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว แม้จะช้ากว่าสักหน่อย แต่ไม่นานราชสำนักต้องทราบเรื่องนี้ ความจริงข้าหวังให้พวกเขาปิดข่าวไว้มากกว่า
หลายปีมานี้ฝ่าบาทระแวดระวังตงชวนมาตลอด ระหว่างนครหลวงต้ายงกับตงชวนจึงวางกำลังทหารไว้แน่นหนา ต่อให้ชิ่งอ๋องกรีฑาทัพจริงก็มิอาจได้ผลในทันที ข้าเชื่อว่าจะปราบเป่ยฮั่นได้ภายในหนึ่งปี ต่อให้ทำมิได้ก็ทำให้พวกเขาไร้กำลังโต้กลับได้ ถึงเวลามีกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นไส้ศึก ชิ่งอ๋องย่อมย่อยยับ ไม่แน่อาจยังได้ผลประโยชน์อย่างอื่นมาอีกเล็กน้อย
ต่งเชวีย เจ้าไปพบท่านเฉิน ไปดูให้ชัด หากเขากับหัวหน้าหานมีใจเข้าฝ่ายแคว้นสู่ ข้าก็คงมิอาจเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน ไป๋อี้ อวี๋หลุน ซานจื่อ ฉวีหวง ยามนี้ทั้งสี่คนกลายเป็นผู้กุมอำนาจสำคัญในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกับหอกลไกสวรรค์แล้ว หากมีคนเปลี่ยนใจ เจ้าจงถ่ายทอดคำสั่งลับของข้าให้กักตัวเฉินเจิ่นไว้”
ต่งเชวียตอบว่า “คุณชายโปรดวางใจ ท่านเฉินภักดีต่อคุณชาย ไม่มีทางทำเรื่องเลอะเลือนเด็ดขาด”
ข้าพยักหน้า ตอบว่า “ข้าก็เพียงป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น เอาละ เจ้าคงต้องลำบากสักหน่อย เดินทางข้ามคืนต่อไปตงชวนเลยเถิด ภายในค่ายทหารคงให้เจ้าพักอยู่นานมิได้ ฉีอ๋องมิใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านสิ่งใดไปง่ายๆ”
ต่งเชวียพยักหน้าเงียบๆ เขามองเงาร่างผอมบางใต้แสงโคมไฟ ในใจคิดว่า โชคชะตาช่างมิยอมให้คนผู้นี้อยู่ว่างเอาเสียเลย
หลังจากต่งเชวียเดินจากไปแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อพลันเอ่ยขึ้นว่า “ไม่บอกผู้อื่นยังพอว่า แต่ไม่บอกฝ่าบาท เกรงว่าวันหน้าฝ่าบาทจะตำหนิคุณชายเอาได้”
ข้ายิ้มเจื่อน กล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้ หากฝ่าบาททราบเรื่องนี้ ข้ากังวลว่าเขาจะรีบร้อนเคลื่อนไหวเพราะต้องการปกป้องชิ่งอ๋อง การให้อภัยอย่างไร้ขอบเขตมีแต่จะทำให้คนชั่วเหิมเกริม เรื่องเช่นนี้ข้ามิทำ หากไม่กำจัดชิ่งอ๋อง ต้ายงยากจะสงบสุข นอกจากนี้…”
ข้าชะงักครู่หนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มมีเลศนัย กล่าวต่อว่า “วันก่อนฝ่าบาทมีราชโองการลับตำหนิข้าอย่างหนักว่ามิควรประมาทเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย แม้พระองค์มีเจตนาดี แต่ข้าเคยถูกโกรธเช่นนี้เสียเมื่อไร แล้วข้ายังถูกฉีอ๋องล้ออีก ดังนั้นให้พระองค์กังวลเพิ่มสักสองสามวัน นับว่าเป็นการแก้แค้นก็แล้วกัน”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วส่ายศีรษะเบาๆ แม้นายท่านอายุสามสิบปีแล้ว แต่บางครั้งก็ยังมีความเป็นเด็กน้อยปรากฏให้เห็น ทำให้เขาหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออกอยู่เสมอ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ความขุ่นเคืองที่สั่งสมอยู่ในใจจากเมื่อหลายวันก่อนของเขากลับมลายสลายไปด้วย เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องเป่ยฮั่นก็ต้องรีบจัดการให้เสร็จโดยไว มิอาจยืดเยื้อ”
ข้าพยักหน้าตอบ “เป็นเช่นนั้น ข้าตั้งใจว่าปีนี้จะสยบเป่ยฮั่น ทว่าก็ต้องแล้วแต่สถานการณ์ ไต้โจวเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ใช้ป้องกันเผ่าคนเถื่อน หากเผ่าคนเถื่อนรุกรานเป่ยฮั่น พวกเราไม่เพียงมิอาจโหมบุก แต่ยังต้องชะลอการบุกลงด้วย สาเหตุเพราะกังวลว่าเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นจะยอมทิ้งทุกสิ่งแล้วปล่อยคนเถื่อนบุกลงใต้ แต่ขอเพียงเผ่าคนเถื่อนไม่มีเจตนาจะยกทัพใหญ่เข้ารุกราน เชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่นผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแคว้นผู้ทรงธรรมก็คงไม่กระทำสิ่งที่จะถูกผู้คนประณามเช่นนี้”
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวเหมือนคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ “คุณชายส่งชื่อจี้ไปยังแดนคนเถื่อนเพื่อยืนยันเรื่องนี้หรอกหรือ”
ข้ายิ้มละไม ตอบว่า “หลังจากชื่อจี้กลับมา เขาก็รายงานข้าว่าปีนี้ยามสารทในทุ่งหญ้าแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ต้นหญ้างอกงาม คนเถื่อนแต่ละเผ่าไม่มีความคิดจะยกพลใหญ่เข้าปล้นชิง ดังนั้นปีนี้ไต้โจวจึงพบภัยจากการรุกรานเพียงเล็กน้อย มิได้มีศึกใหญ่ แต่เหมันต์ปีนี้แดนคนเถื่อนคงถูกความหนาวเย็นเล่นงาน เรื่องนี้ข้าพิจารณาจากสภาพอากาศกับข่าวที่ได้มาจากแดนคนเถื่อน วสันต์ปีหน้าเผ่าคนเถื่อนจักต้องยกพลใหญ่บุกโจมตีเป็นแน่
แต่ข้าตระเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว วสันต์ปีหน้าก่อนหิมะละลาย แดนคนเถื่อนจะพบโรคระบาด วัวม้าล้มตายหนึ่งในสิบ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เผ่าคนเถื่อนตั้งใจจะเข้ารุกรานก็ติดที่กำลังรบไม่พอ ไต้โจวมีกำลังพอต่อต้านการรุกรานของพวกเขา ยามกองทัพของเราบุกเป่ยฮั่น หากเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นเสียสติคิดใช้ประโยชน์จากเผ่าคนเถื่อนมาทำศึกกับพวกเราจริง ตระกูลหลินแห่งไต้โจวต้องคัดค้านอย่างแน่วแน่เป็นกลุ่มแรก อีกทั้งเมื่อเผ่าคนเถื่อนกำลังอ่อนแอ กองทัพเราปราบเป่ยฮั่นเสร็จก็ย่อมขับไล่พวกเขาได้อย่างง่ายดาย
หากยืดเยื้อไปถึงสารทฤดูปีหน้า เผ่าคนเถื่อนฟื้นฟูกำลังพลกลับมาได้ พวกเขาคงยกทัพใหญ่เข้ารุกรานเพื่อชดเชยสิ่งที่สูญเสีย ถึงเวลาหากพวกเราฝืนบุกเป่ยฮั่นอีกก็เท่ากับรบประสานกับเผ่าคนเถื่อน ประการแรกเสื่อมเสียชื่อเสียงของต้ายง อีกประการหนึ่งคือจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการปกครองดินแดนแห่งนี้ในอนาคต ดังนั้นภายในหนึ่งปีนี้พวกเราจักต้องจัดการเป่ยฮั่นให้ได้
เพื่อเป้าหมายประการนี้ เรื่องทางฝั่งตงชวนกับหนานฉู่ต้องวางไว้ก่อน ความจริงแล้วฝั่งหนานฉู่เจ้าแคว้นพระชนม์มายุน้อย คนในแคว้นก็หวาดหวั่นกังวล ส่วนชิ่งอ๋องก็จิตใจคับแคบ ขอเพียงฝ่าบาทจัดการอย่างเหมาะสมย่อมไม่ส่งผลต่อสงครามของชายแดนเหนือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อฟังอยู่เงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่จึงกล่าวว่า “คุณชายต้องการให้ข้าไปลอบสังหารหลงถิงเฟยหรือไม่ หากเขาตาย เป่ยฮั่นย่อมไร้กำลังกอบกู้สถานการณ์”
ข้ากำลังจะยกชาขึ้นดื่ม เมื่อได้ยินคำพูดของเขา น้ำชาก็ถูกพ่นออกมาในพริบตา ข้ารีบเอ่ยว่า “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ประการแรกเป่ยฮั่นมียอดฝีมือระดับปรมาจารย์ผู้หนึ่งคุ้มครองอยู่ ต่อให้ไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าไปทำเรื่องเช่นนี้ เรื่องเช่นการลอบสังหาร ส่วนมากเป็นวิธีการที่ฝั่งอ่อนแอจะทำเพื่อใช้แผนการเหนือคาดเอาชนะ ยามนี้ต้ายงกำลังทหารแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าทำเรื่องพรรค์นั้น ยิ่งไปกว่านั้น…”
สีหน้าข้าค่อยๆ เคร่งขรึม จากนั้นจึงเอ่ยว่า “หลงถิงเฟยเป็นแม่ทัพผู้โด่งดังแห่งเป่ยฮั่น เขาคือผู้กล้าที่ชาวเป่ยฮั่นนับถือที่สุด การลดทอนกำลังศัตรูก่อนเปิดศึกมิใช่สิ่งที่จะตำหนิกันก็จริง แต่หากไม่ทำให้พวกเขาปราชัยในสนามรบ ชาวเป่ยฮั่นไม่มีทางยอมรับการปกครองของต้ายง หากหลงถิงเฟยตายเพราะการลอบสังหาร นเกรงว่าชาวเป่ยฮั่นคงแย่งชิงกันมาแก้แค้นแทนเขาอีกหลายสิบปี แต่ขอเพียงทำให้เขาตายบนสนามรบได้ ชาวเป่ยฮั่นก็จะสูญเสียความเชื่อมั่นที่จะต่อต้านอย่างสิ้นเชิง”
เสี่ยวซุ่นจื่อจึงตอบอย่างจนปัญญา “ในเมื่อคุณชายกล่าวเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถิด เดิมข้าคิดว่าชาวเป่ยฮั่นกล้าลอบสังหารคุณชายออกจะไร้มารยาทเกินไป จึงอยากจะตอบแทนสักหน่อยก็เท่านั้น”
ข้าเผยรอยยิ้มประหลาดออกมา “อยากชำระแค้น ย่อมต้องมีโอกาสแน่”
ทันใดนั้นเงาร่างน่าชังของฉีอ๋องก็ผลุบผ่านหน้าไป ในใจข้าพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา บางทีตอนข้าชำระแค้นเป่ยฮั่นสำหรับการลอบสังหารครานี้ ก็อาจมีโอกาสแก้แค้นดาวข่มผู้นี้ในเวลาเดียวกัน
กลิ่นเครื่องหอมลอยล่อง ลึกเข้าไปในพระราชวัง หลี่จื้อกำลังนั่งอ่านฎีกาอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร คิ้วขมวดเป็นปม จากนั้นส่งฎีกาให้สืออวี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวแรกทางฝั่งซ้าย เซี่ยโหวหยวนเฟิงนั่งอยู่ถัดมาก้มหน้าก้มตา สีหน้านอบน้อมอย่างยิ่ง
หลี่จื้อถอนหายใจ “เซี่ยโหว แม้กรมวินิจการณ์ของท่านจะช้าอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ส่งข่าวสารกลับมาได้ เฮ้อ น้องสามช่างเลอะเลือนเกินไปแล้วจริงๆ เขาเป็นเชื้อสายราชวงศ์อันสูงส่ง ขอเพียงกระทำตนให้เหมาะสมย่อมเป็นชนชั้นสูงผู้มีอำนาจอันดับหนึ่งอันดับสอง แต่เขากลับละโมบมิรู้จักพอ เพ้อฝันคิดก่อกบฏ เขาคิดจริงหรือว่าจะแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิไปได้ มิว่าชื่อเสียงหรือคุณงามความชอบ แม้แต่น้องหกเขายังสู้มิได้ ยิ่งมิต้องเทียบกับข้าแล้ว เซี่ยโหว ท่านไม่มีคนที่ใช้งานได้อยู่ข้างกายชิ่งอ๋องแล้วหรือ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงกราบทูล “กระหม่อมสมควรตาย นอกจากสายลับที่แฝงตัวอยู่คนสองคน คนของกรมวินิจการณ์ก็ถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว มีเพียงหนึ่งคนที่เป็นตายมิทราบชัด แต่กระหม่อมคิดว่าเขาคงไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาได้”
สีหน้าหลี่จื้อเคร่งขรึม ตรัสว่า “ตงชวนเกิดกบฏ แต่กำลังของต้ายงกลับถดถอยไปเท่ายามก่อนปราบแคว้นสู่ แม้การกบฏครั้งนี้ของหลี่คังยังมิเริ่มเคลื่อนไหว แต่วสันต์ปีหน้าเมื่อเจ๋อโจวตกอยู่ในสงคราม เขาต้องมินั่งเฉยแน่ ถึงกระนั้นในเมื่อวันวานข้าแย่งชิงตงชวนมาได้ วันนี้ย่อมไม่มีทางหวาดกลัวเขา จื่อโยว จากความเห็นของท่าน ข้าสมควรหยุดการบุกเป่ยฮั่นไว้ก่อนหรือไม่”
สืออวี้ลุกขึ้นกราบทูล “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ามิสมควรเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้หนานฉู่ ชิ่งอ๋องกับเป่ยฮั่นล้อมต้ายงของพวกเราไว้ตรงกลาง หากป้องกันถ่ายเดียว มีแต่จะลดทอนกำลังของแคว้นต้ายง หากมิอาจบุกตีฝั่งใดฝั่งหนึ่งให้แพ้พ่าย ต้ายงจะตกอยู่ในอันตราย
ในเมื่อฉีอ๋องกับฉู่เซียงโหวล้วนกราบทูลผ่านฎีกาว่าบุกโจมตีเป่ยฮั่นได้ มิสู้ฝ่าบาทปลอบประโลมชิ่งอ๋องสักหน่อย พร้อมกับเตรียมพร้อมเฝ้าระวังกำลังทหารของตงชวน แม้ตงชวนมีความคิดตั้งตนเป็นอิสระ แต่ผู้ใต้บัญชาของชิ่งอ๋องล้วนเป็นแม่ทัพและทหารของต้ายง คนแคว้นสู่เองก็มิได้เชื่อใจชิ่งอ๋องมากนัก ชั่วเวลาสั้นๆ ชิ่งอ๋องมิมีทางยกทัพใหญ่บุกเป็นแน่
ฝ่าบาทอาจลองใช้แผนการค่อยเป็นค่อยไป หนานฉู่ภายในซ่อนความอ่อนแออยู่ หากฝ่าบาทใช้คำหวานและทรัพย์สมบัติปลอบเจ้าแคว้นหนานฉู่ ถึงเวลาลู่ช่านเพียงลำพังย่อมมิอาจบุกตีต้ายงตามอำเภอใจ เมื่อทางใต้ป้องกันไว้ได้ ทางเหนือย่อมต้องโหมโจมตี หากฝ่าบาทออกราชโองการลับให้ฉีอ๋องตั้งใจ ทั้งยังมีฉู่เซียงโหวช่วยเหลือ เป่ยฮั่นต้องพ่ายแพ้เป็นแน่”
สายพระเนตรของหลี่จื้อหันมาจับบนร่างเซี่ยโหวหยวนเฟิง เห็นแววตาเขาแฝงความไม่เห็นด้วยจึงตรัสถามว่า “ขุนนางเซี่ยโหวมีความเห็นประการใด”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงตอบอย่างนอบน้อม “กระหม่อมมิชำนาญการทหาร แต่ทราบว่าหากคิดบุกตีต่างแคว้นต้องทำให้ภายในแคว้นสงบก่อน หนานฉู่ เป่ยฮั่น แม้เป็นแคว้นศัตรู แต่ก็เป็นภัยไม่สำคัญ พวกเรามิบุกโจมตี พวกเขาก็ไม่แน่ว่าจะกล้าบุกมา แต่ชิ่งอ๋องก่อกบฏเป็นภัยภายใน หากภายในวุ่นวายมิสงบ ราชสำนักไม่มั่นคง กระหม่อมเห็นว่ามิสู้ชะลอการบุกเป่ยฮั่น ปลอบหนานฉู่ แล้วมุ่งมั่นจัดการชิ่งอ๋องก่อน”
หลี่จื้อสรวลเล็กน้อยแล้วตรัสว่า “เซี่ยโหวกล่าวไม่ผิด ตงชวนย่อมต้องจัดการให้สงบ แต่หากข้ามัวแต่พะวงกับเรื่องวุ่นวายภายใน นั่นจึงจะสมประสงค์ของเจ้าแผ่นดินกับขุนนางหนานฉู่และเป่ยฮั่น เซี่ยโหว ยามนี้ชิ่งอ๋องยังมิกล้าก่อกบฏอย่างโจ่งแจ้ง ท่านจงคิดหาวิธีส่งคนเข้าไป ปลุกระดม ยุแยง เรื่องเหล่านี้คงมิต้องให้ข้าสอนท่าน
หลังจากข้าสืบราชบัลลังก์ ข้าได้ก่อตั้งกองการข่าวไว้ในกองทัพเพื่อรับผิดชอบงานของทหารสอดแนม ข้าจะออกราชโองการลับตั้งหน่วยข่าวหรดีให้รับผิดชอบสอดแนมข่าวการศึกฝั่งตงชวน ซีสู่ ไปจนถึงอวิ๋นกุ้ย ข้าจะมอบหน่วยข่าวหรดีให้ท่านคุมชั่วคราว จงทำเสมือนหนึ่งชิ่งอ๋องคือเจ้าแคว้นสู่ในวันวาน เรื่องที่ต้ายงเคยกระทำสำเร็จมาแล้วหนหนึ่ง จะมิอาจทำสำเร็จเป็นหนที่สองหรือไร
จื่อโยว ให้โก่วเหลียนส่งราชทูตไปยังหนานฉู่ ภาระในการปลอบประโลมเจ้าแคว้นหนานฉู่ให้เขาจัดการ ชาวหนานฉู่เกรงกลัวต้ายง ต้องทำให้พวกเขามิกล้าเปิดศึก กำลังของลู่ช่านเพียงผู้เดียวไหนเลยจะพลิกฟ้าได้ ส่วนทิศหนือ ข้ากลับมิกังวลใจ แต่จื่อโยวจงเขียนสารส่งให้สุยอวิ๋นแทนข้า ข้ามิเชื่อว่าเขามิทราบเรื่องที่ตงชวน บอกเขาว่าไม่ต้องซุกๆ ซ่อนๆ แล้ว ข้าไม่มีทางใจอ่อน มีแผนการอันใดอยู่ก็แบออกมาเสีย”
สืออวี้ทราบเรื่องเหล่านี้เพียงคร่าวๆ แต่เขาก็รับรู้อยู่เลาๆ ว่าเจียงเจ๋อมีขุมกำลังลับอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่เคยเปิดเผย ฝ่าบาทเองก็ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้อยู่เงียบๆ ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้าขานรับ
เซี่ยโหวหยวนเฟิงฟังมาถึงตรงนี้กลับฉุกคิดบางอย่าง มีหลายเรื่องก่อนการช่วงชิงบัลลังก์จักรรพรดิต้ายงที่เขามิทราบ แต่เมื่อฟังจากถ้อยคำของฝ่าบาท เหมือนเจียงเจ๋อมีกำลังคนส่วนตัวจำนวนหนึ่งอยู่ที่ตงชวน หากเป็นเช่นนี้ย่อมดียิ่งนัก เดิมทีเขากังวลอยู่ว่าชั่วเวลาฉุกละหุกจะสร้างเครือข่ายข่าวสารที่ตงชวนขึ้นมาใหม่มิได้ ทันใดนั้นเขาก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยหยั่งเชิง “ฝ่าบาท สี่วันก่อน ต่งเชวียผู้ดูแลจวนขององค์หญิงฉางเล่อจู่ๆ ก็ขึ้นเหนือ ได้ยินว่ามุ่งไปเจ๋อโจว”
หลี่จื้อกับสืออวี้มองหน้ากันแล้วคลี่ยิ้ม หลี่จื้อส่ายพระเศียร ตรัสว่า “สุยอวิ๋นผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรก็ชอบทำตัวดั่งซ่อนอยู่ในเมฆหมอก ยากจะเปิดเผยตรงไปตรงมา”
สืออวี้ยิ้ม “นี่เป็นเพราะฝ่าบาทน้ำพระทัยกว้างขวาง มิเช่นนั้นนิสัยเช่นเจียงโหว ยังมีผู้ใดใจกล้าใช้งานเขาอีกเล่า”
หลี่จื้อสีหน้าเปรมปรีดา ตรัสว่า “เรื่องที่ข้าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตก็คือการคว้าเจียงเจ๋อมาไว้ในมือสำเร็จ จื่อโยว ท่านเร่งส่งสารไป มิเช่นนั้นมิรู้ว่าเมื่อใดคนผู้นี้จึงจะยอมส่งข่าวที่แท้จริงมาให้ข้า”
สืออวี้อมยิ้มตอบรับ เซี่ยโหวหยวนเฟิงร่วมหัวเราะด้วย เขาตกตะลึงกับความเชื่อใจที่หลี่จื้อมีต่อเจียงเจ๋ออีกครั้ง ขณะเดียวกันก็นึกโชคดีกับการตัดสินใจในอดีตซ้ำอีกหน