ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 28 เถ้าธุลีของจื่อเยียน (1)
ปีอู้อิ๋น รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนสาม วันที่สิบสอง จี้ซื่อถูกตีแตก กองทัพต้ายงจุดไฟเผาเมือง แม้แม่ทัพผู้ป้องกันเมืองจี้ซื่อจะให้ชาวบ้านอพยพเดินทางไปอานเจ๋อแล้ว ทว่าผู้เฒ่าเด็กน้อยที่หลบหนีมิทันยังเหลืออยู่มากมายนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของฉีอ๋องลือกระฉ่อน ทว่าเมื่อสืบสาวเรื่องราวโดยละเอียดแล้ว กลับมิพบว่ามีเหตุการณ์ฆ่าล้างเมือง
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงตวาดดุดันพลันดังขึ้น หอกซัดเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากพงหญ้ารกสองฝั่งของถนน ปะทะเข้ากลางลำของแหลนอาชา แหลนอาชาเบี่ยงออกเล็กน้อยแต่ยังคงพุ่งเข้าหาซูชิง ทว่าชั่วเวลาสั้นๆ นี้ทำให้หรูเย่ว์ได้โอกาสโอบซูชิงกลิ้งลงจากหลังม้า ล้มกลิ้งคลุกฝุ่นดิน
ขณะนั้นเอง อาชาของนางก็เหมือนจะตื่นตระหนกกับเสียงกัมปนาทจนยกเท้าเชิดตัวขึ้น แหลนอาชาเล่มนั้นเสียบทะลุตัวม้า อาชาชั้นยอดตัวนั้นกรีดร้องเสียงยาวก่อนจะล้มลงบนพื้น หรูเย่ว์ผู้ร่วงลงมาใต้ตัวม้ารีบกอดซูชิงกลิ้งไปด้านข้าง ศพของอาชาศึกอันหนักอึ้งโถมทับลงมาเฉียดข้างกายหรูเย่ว์เพียงเส้นผม
แทบจะในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเซียวก็สังเกตเห็นว่าสองข้างถนนมีจิตสังหารมากมายแผ่ออกมา เขาทะยานร่างขึ้นฟ้าโดยสัญชาตญาณ เมื่อร่างของเขาเหินอยู่กลางอากาศ ลูกศรหน้าไม้นับไม่ถ้วนก็ยิงเข้าใส่ ต้วนหลิงเซียวสูดลมปราณเฮือกหนึ่ง จากนั้นร่างกายบิดหมุนกลางอากาศเป็นท่วงท่าพิสดารลอยหลบไปด้านข้าง ลูกศรที่บินร่อนมาเหล่านั้นโจมตีกันเองแทบหมดสิ้น
ในเวลาเดียวกับที่อาชาศึกที่เขาช่วงชิงมากรีดร้องแล้วล้มลงกับพื้น ต้วนหลิงเซียวก็ร่อนลงมาเหยียบพื้น นักรบหนุ่มสวมชุดทหารม้าสีดำทับด้วยเกราะอ่อนสิบแปดคนโผล่ออกมาจากก้อนหินและพงหญ้าหนาสองข้างทาง จากนั้นล้อมต้วนหลิงเซียวไว้ตรงกลาง ในมือชายหนุ่มเหล่านี้ล้วนถือดาบและโล่ แทบทุกคนอายุยี่สิบห้าถึงสามสิบปี แต่ละคนสีหน้าสุขุม เท้าย่างเหยียบฝุ่นดินมิมีฟุ้ง แววตาคมกล้า มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นนายทหารมือดีที่เลือกมาจากหนึ่งในพันของกองทัพต้ายง
คนหนึ่งในนั้นอายุราวยี่สิบแปดถึงยี่สิบเก้าปี หน้าตาซื่อ แต่สองตาทอประกายเย็นเยียบ ไอสังหารทั่วร่างเก็บซ่อนมิดชิด ดูจากเพียงสีหน้ากับบรรยากาศก็ทราบว่าคนผู้นี้เป็นหัวหน้า ในมือเขาถือดาบอยู่เล่มหนึ่งเช่นกัน ส่วนมือซ้ายถือโล่เล็กที่ทำจากเหล็กกล้า แต่เวลานี้ดาบยังมิออกจากฝัก ข้างเอวห้อยหอกสั้นสองเล่ม คนผู้นี้นี่เองที่ช่วยซูชิงเอาไว้เมื่อครู่
ต้วนหลิงเซียวถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงมาขวางข้า”
ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าคนนั้นตอบเสียงกังวาน “ฮูเหยียนโซ่ว รองแม่ทัพกองราชองครักษ์หู่จีข้างพระวรกายองค์จักรพรรดิแห่งต้ายงและหัวหน้าองครักษ์ใต้บัญชาฉู่เซียงโหว รับบัญชาฉู่เซียงโหวมารอคอยท่านอยู่ที่นี่”
ดวงตาต้วนหลิงเซียวทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นี่คือกับดักที่ใต้เท้าเจียงวางไว้ล่อข้าหรอกหรือ ถ้าเช่นนั้นเขาก็ออกจะไม่รักถนอมลูกน้องเกินไปแล้ว พวกเจ้ามั่นใจหรือว่าจะขวางข้าได้”
ฮูเหยียนโซ่วตอบเสียงดัง “ท่านมิต้องยุแยง ใต้เท้าคาดการณ์ได้ล้ำเลิศนัก ทราบว่าหากท่านยังอยู่ที่นี่ แปดเก้าในสิบส่วนคงหมายลอบโจมตีแม่ทัพซู จึงสั่งให้พวกข้าลอบติดตามมา เมื่อครู่ยามแม่ทัพซูถูกจู่โจม พวกข้าแจ้งข่าวด่วนกลับไปแล้ว ด้วยเหตุนี้แม่ทัพซูจึงควบม้าตะบึงมาอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อล่อท่านมายังทางปิดตาย พวกข้าเพิ่งได้เรียนค่ายกลดาบมาใหม่ชุดหนึ่ง หวังอย่างยิ่งว่าท่านจะชี้แนะ”
ต้วนหลิงเซียวเอ่ยอย่างเย็นชา “ฉู่เซียงโหวช่างรอบคอบเสียจริง หากข้าไม่ลงมือ เขาก็เพียงวุ่นวายไม่เข้าเรื่องเพิ่มครั้งหนึ่ง แต่หากข้าลงมือ เขาย่อมหาร่องรอยของข้าพบ แต่จิตใจเขาช่างอำมหิตนัก หากซูชิงมิมีความสามารถหนีรอดมาได้ เขาก็จะเสียลูกน้องมากความสามารถคนหนึ่งไปเปล่าๆ
คนเก่งกาจเช่นแม่นางซูถูกเขาใช้เป็นเครื่องสังเวย ไยมิใช่น่าเสียดายยิ่งนัก มิหนำซ้ำเขาส่งคนมาดักซุ่ม แต่กลับมิให้เงามารหลี่ซุ่นลูกน้องคนสนิทของเขาเดินทางมาด้วย เพียงส่งพวกเจ้ามาตาย คนใจเหี้ยม รักตัวกลัวตายเช่นนี้คู่ควรให้พวกเจ้าถวายชีวิตเพื่อเขาหรือ”
ดวงตาของฮูเหยียนโซ่วฉายแววโกรธขึ้ง เอ่ยตอบอย่างเย็นชา “ใต้เท้าของพวกข้านิสัยเป็นเช่นไรมิต้องให้ท่านมาวิจารณ์ จิตใจเหี้ยมหาญแต่เดิมก็เป็นคุณสมบัติของเอกบุรุษ หากใต้เท้ารักตัวกลัวตาย ในอดีตคงมิกล้าก้าวออกมาเจรจาต่อหน้าเจ้าสำนักเฟิงอี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหลี่เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดของใต้เท้า เดิมทีก็มิจำเป็นต้องออกรบสังหารศัตรู พวกข้าล้วนได้รับการสั่งสอนวรยุทธ์จากท่านหลี่มาแล้ว เชิญท่านให้คำชี้แนะเสียหน่อยเป็นเช่นไร”
เมื่อเขากล่าวจบ ราชองครักษ์หู่จีเหล่านั้นต่างก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่ง ฉับพลันก็หดแถวเป็นค่ายกล บรรยากาศตึงเครียดขึ้นในทันที แต่ในสายตาของต้วนหลิงเซียวผู้ค่อนข้างชำนาญค่ายกลพิสดารทั้งหลายกลับพอมองช่องโหว่ออกอยู่ไม่น้อย จึงค่อนข้างเฉยเมย
ทว่าทันใดนั้น ฮูเหยียนโซ่วก็ชักดาบ ยกโล่แล้วก้าวขึ้นไปด้านหน้า หลังจากเขาประจำตำแหน่งในค่ายกล ค่ายกลดาบค่ายกลนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นแน่นหนา ช่องโหว่ทั้งหมดมลายหายสิ้น ต้วนหลิงเซียวตกตะลึงอยู่ในใจ เดิมทีคิดว่าค่ายกลดาบนี้เป็นค่ายกลดาบที่วางคนตามตำแหน่งเก้าตำหนักสวรรค์แบบปกติผสานกับแบบย้อนทวน คิดมิถึงว่าจำนวนคนที่แท้จริงกลับเป็นสิบเก้าคน
สภาพยามตั้งต้นที่ดูคล้ายแต่มิใช่ทำให้ผู้ล่วงรู้ศาสตร์ค่ายกลอยู่บ้างเช่นเขานึกดูแคลนในใจ ทว่าหลังจากฮูเหยียนโซ่วเข้าประจำตำแหน่งในค่ายกล ตาข่ายฟ้าดินก็ถูกกางสำเร็จแล้ว ความรู้สึกผิดคาดที่มาเยือนอย่างกะทันหันเช่นนี้ย่อมเพียงพอทำให้ผู้ที่ตกอยู่กลางค่ายกลสูญเสียความมั่นใจ หากผู้ออกแบบค่ายกลตั้งใจใช้จุดนี้มาเล่นงานตนโดยเฉพาะ ถ้าเช่นนั้นความคิดอ่านของเขาก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
ในที่สุดต้วนหลิงเซียวก็อดกลั้นมิไหว ก่อนที่ค่ายกลดาบจะขยับ เขาจึงออกปากถามว่า “ค่ายกลดาบนี้ผู้ใดเป็นคนสั่งสอน แล้วแม่ทัพฮูเหยียนเข้าประจำตำแหน่งในค่ายกลเป็นคนสุดท้ายเช่นนี้เป็นธรรมดาหรือไม่”
ฮูเหยียนโซ่วงุนงงเล็กน้อย คำสั่งสังหารที่เดิมทีกำลังจะออกจากปากถูกกลืนกลับลงไป ในใจคิดว่าถึงเจ้าคิดจะถ่วงเวลาก็มิเป็นอันใด เวลานี้ทหารม้าร้อยกว่านายกำลังเร่งเดินทางมาที่นี่แล้ว เมื่อพวกเขามาถึง ต่อให้เจ้ามีสามเศียรหกกรก็หนีไม่รอด ด้วยเหตุนี้ฮูเหยียนโซ่วจึงตอบว่า “ใต้เท้าเจียงเป็นผู้สั่งสอนค่ายกลให้ ส่วนวิชาดาบ ท่านหลี่เป็นผู้ถ่ายทอดด้วยตนเอง เดิมทีเอาไว้ปกป้องใต้เท้าจากอันตราย วันนี้ใช้มากำจัดคนชั่ว ถือว่าเป็นเรื่องดีงามเรื่องหนึ่ง”
ต้วนหลิงเซียวฟังถึงตรงนี้ก็ยิ้มบาง เขาใช้เคล็ดวิชาลับของพรรคมารเงี่ยหูฟังจนทราบแล้วว่ามีกองทหารสองกองกำลังวิ่งตะบึงมาจากต่างทิศทางในระยะไม่กี่ลี้ เมื่อรู้สถานการณ์ของศัตรูกระจ่างชัด ยามนี้ย่อมถอยหนีได้แล้ว แต่ค่ายกลดาบนี้มิใช่ว่าจะมองหาจุดอ่อนได้ในระยะเวลาสั้นๆ เป็นไปได้มากว่าตนอาจสังหารราชองครักษหู่จีได้เกินครึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกกองทัพต้ายงล้อม จะรอดหรือตายยากทราบ แต่โชคดีเขามีแผนการหนีเตรียมไว้แล้ว
ต้วนหลิงเซียวหัวเราะเสียงดังกังวานอยู่ในค่ายกลดาบ จากนั้นยกมือไพล่หลัง เอ่ยว่า “แปลกหนอแปลกจริง ผู้แซ่ต้วนได้ยินว่าสำนักเฟิงอี้เป็นกบฏของต้ายง ทุกคนล้วนถูกประหารสิ้น คิดมิถึงยามนี้ข้ากลับเห็นศิษย์สำนักเฟิงอี้ทำงานรับใช้กองทัพ
ซูชิง เจ้าคงเป็นศิษย์สายตรงของฟ่านฮุ่ยเหยา เจ้าสำนักเฟิงอี้ มิใช่สิ ศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักเฟิงอี้แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงเรียงนาม แต่มิเคยได้ยินว่ามีคนแซ่ซูอยู่ด้วย แม่นางมีวิชายุทธ์ระดับนี้ ในหมู่ศิษย์รุ่นที่สองรุ่นที่สามของสำนักเฟิงอี้ก็คงนับว่าเป็นผู้มีฝีมือโดดเด่น มิทราบว่าแม่นางซูเป็นศิษย์ของผู้ใดเล่า”
คำพูดท่อนนี้ของเขาประหนึ่งเสียงอสนีบาตดังกังวานในหู แม้แต่ทหารกล้าแห่งกองทัพต้ายงผู้หัวใจดั่งเหล็กกล้าเหล่านั้นก็ยังหันไปมองซูชิงอย่างตกตะลึงโดยมิอาจห้ามตนเองได้ ซูชิงได้หญิงรับใช้พยุงอยู่ แต่เดิมดวงหน้านางก็ซีดเผือดดั่งหิมะอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งถูกคำพูดนี้ทำให้ตกตะลึงจนทั้งร่างสั่นเทา ทั่วทั้งร่างเผยกลิ่นอายสิ้นหวังถึงขีดสุด ต่อให้เป็นคนทึ่มทื่ออีกเท่าใดก็เข้าใจว่าต้วนหลิงเซียวกล่าวความลับที่มิอาจบอกให้ผู้ใดล่วงรู้อย่างที่สุดของซูชิงออกมาเสียแล้ว
ชั่วพริบตาที่ทุกสิ่งหยุดชะงัก ต้วนหลิงเซียวก็จับช่องโหว่เล็กน้อยของค่ายกลดาบได้ อาศัยจังหวะที่ทุกคนสับสนรับมือไม่ทันทะยานร่างออกไป เงาร่างกลายเป็นประหนึ่งสายรุ้ง เพียงพริบตาเดียวก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย เสียงเย็นยะเยือกของเขาดังลอยมากับสายลับ “ซูชิง ความเป็นมาของวรยุทธ์เจ้าเปิดเผยแล้ว ข้าก็อยากดูสิว่าเจ้าจะอยู่ในกองทัพต้ายงต่อไปเช่นไร”
ในที่แห่งนั้นเงียบกริบ สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องบนร่างของซูชิง นางหยัดยืนอย่างหยิ่งยโส แข็งแกร่งทระนงคล้ายดอกเหมยยามเหมันต์ ทว่าสีหน้ากลับสร้อยเศร้าโศกสลดยิ่งนัก เห็นชัดว่าคำกล่าวของต้วนหลิงเซียวมิใช่ถ้อยคำยุแยง แต่นางเป็นศิษย์ของสำนักเฟิงอี้จริงๆ