ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 29 เถ้าธุลีของจื่อเยียน (2)
สำนักเฟิงอี้ นามอันเรืองอำนาจในอดีตแต่เป็นที่หลีกเลี่ยงของผู้คนในวันนี้ยังสลักลึกอยู่ในใจของทุกคน พวกนางเคยควบคุมราชสำนักนานหลายปี อำนาจแผ่ปกคลุมทั่วหล้า แต่เพราะทำผิดโทษฐานก่อกบฏจึงล่มสลาย
อดีตศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ นอกจากพวกที่หลบหนีหายไปไร้ร่องรอยเหล่านั้น ส่วนที่เหลือมากกว่าครึ่งล้วนกลายเป็นเครื่องสังเวยในการต่อสู้กับราชวงศ์ บางคนมิถูกกับบิดามารดาและครอบครัวสามีก็ถูกขับออกจากตระกูล อาจถึงขั้นต้องปลงผมใช้ชีวิตที่เหลือดียวดายอยู่ในวัด บางคนได้ครอบครัวปกป้อง แต่นับจากนั้นก็ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน ยากจะมีหน้ามีตาเฉกเช่นวันวาน
ภายในกองทัพยิ่งพยายามขจัดอิทธิพลของสำนักเฟิงอี้อย่างสุดกำลัง เพียงมีความสัมพันธ์กับสำนักเฟิงอี้ ต่อให้มิถูกประหารก็อย่าหวังว่าจะมีตำแหน่งหน้าที่ในกองทัพอีก ทว่าซูชิง หัวหน้าหน่วยสอดแนมผู้รวบรวมข่าวสารในเป่ยฮั่นสังกัดหน่วยข่าวอุดรใต้กองการข่าวแห่งต้ายง แม่ทัพขั้นสาม วีรสตรีในหมู่อิสตรี กลับเป็นลูกศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ หากเล่าออกไปไยมิทำให้คนตาค้างพูดมิออก
ทหารม้าหลายนายที่เห็นซูชิงประมือกับต้วนหลิงเซียวเมื่อครู่หวาดวิตก เมื่อครู่กระบี่ของซูชิงประหนึ่งคลื่นคลั่ง งดงามตระการตา มีเค้าของวิชากระบี่สำนักเฟิงอี้อยู่จริง เพียงแต่พวกเขามิเคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อนจึงมิได้สังเกต ต้วนหลิงเซียวคงรู้จักวรยุทธ์ของสำนักเฟิงอี้ดียิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงค้นพบความจริงเรื่องอาจารย์ของของซูชิง ทุกคนตีวงล้อมซูชิงอย่างไม่รู้ตัว
หรูเย่ว์มองซูชิงผู้มีสีหน้าเฉยชา ทันใดนั้นก็เอ่ยเสียงดังว่า “พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว คุณหนูเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อต้ายงมาหลายปี ไม่นานมานี้ก็เพิ่งหนีพ้นความตายออกมาจากเป่ยฮั่น หากวันนี้มิได้คุณหนูต่อสู้แลกชีวิต ต้วนหลิงเซียวผู้นั้นไฉนจะหลงมาในกับดัก พวกเจ้ายอมเชื่อคำของศัตรูคนหนึ่งแต่มิเชื่อพวกพ้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา นี่มีเหตุผลที่ใด” กล่าวถึงตอนท้าย นางก็โศกเศร้าคับแค้นยิ่งนัก กอดซูชิงร่ำไห้ดุจสายฝน ทุกคนมองหน้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารกล้าแห่งกองทัพต้ายงที่เมื่อครู่เห็นซูชิงต่อสู้อย่างดุเดือดกับต้วนหลิงเซียวยิ่งมีสีหน้าละอายใจ
ฮูเหยียนโซ่วกระแอมครั้งหนึ่งแล้วถามขึ้นว่า “แม่ทัพซู คำกล่าวของคนผู้นั้นเป็นความจริงหรือไม่ หากเขากล่าวคำลวงป้ายสี ขอแม่ทัพซูโปรดแถลงให้กระจ่าง พวกข้าย่อมช่วยยืนยันความบริสุทธิ์แทนแม่ทัพซู”
ทุกคนต่างเข้าใจเจตนาของเขา ขอเพียงซูชิงเอ่ยว่ามิใช่ความจริง เขาก็ยินดีปิดบังเรื่องนี้ ในใจของทุกคนล้วนคิดเช่นนี้ดุจเดียวกัน มิว่าซูชิงมีชาติกำเนิดอย่างไร พวกเขาเพียงรู้ว่าสตรีนางนี้ทำเพื่อต้ายงอย่างมิเสียดายชีวิตหรืออาวรณ์เกียรติยศเฉกเช่นเดียวกับพวกเขา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
เวลานี้ฝุ่นคลุ้งมาแต่ไกล ในที่สุดทหารม้ากองหนุนของต้ายงก็เร่งรีบเดินทางมาถึง แต่เมื่อเข้ามาใกล้กลับถูกบรรยากาศแปลกพิกลทำให้หวั่นใจ พวกเขาจึงหยุดม้าโดยมิรู้ตัว แล้วมองทุกคนอย่างจับต้นชนปลายมิถูก สายลมหนาวพัดผ่าน สตรีอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางวงล้อมของทหารหนึ่งพันกว่าคน สีหน้านางเย็นชาดุจน้ำแข็ง ใต้หล้าเงียบสงัด นอกจากเสียงลมกับเสียงม้าพ่นลมหายใจร้อนดังขึ้นเบาๆ เป็นบางครั้งก็มิมีเสียงอื่นใดอีก
ซูชิงผละจากการพยุงของหรูเย่ว์แล้วก้าวออกมาข้างหน้าหลายก้าว นางเดินมาถึงหน้าฮูเหยียนโซ่วแล้วยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นเจิดจ้าประหนึ่งแสงตะวันสายน้อยในวันอันหนาวเหน็บ แต่กระนั้นก็เศร้าสร้อยดั่งบุปผาที่ผลิบานได้เพียงครู่ นางกล่าวทีละคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเสียงอันดัง “ต้วนหลิงเซียวมิได้ใส่ร้าย อาจารย์ผู้มีพระคุณของข้าซูชิงก็คือศิษย์เอกแห่งสำนักเฟิงอี้เหวินจื่อเยียน แม้ซูชิงเป็นเพียงศิษย์ในนามของท่านอาจารย์ แต่บุญคุณของท่านอาจารย์มากมายนัก จนวันนี้ใจของซูชิงก็ยังรู้สึกนับถือ แม้จนด้วยสถานการณ์มิกล้าบอกกล่าวเปิดเผย แต่ข้าซูชิงมิเคยลืมเลือนความเมตตาและความผูกพันที่อาจารย์ช่วยชีวิตและถ่ายทอดวิชากระบี่ให้ข้า
เพียงแต่ซูชิงก็มิเคยลืมเลือนว่าตนเองมีฐานะเป็นแม่ทัพแห่งต้ายง ข้าเชื่อว่าตนมิเคยทำเรื่องผิดต่อราชสำนักและสหายร่วมรบ วันนี้เรื่องราวถูกเปิดเผยแล้ว ถึงอย่างไรก็ยากจะปิดบังหูตาผู้คนในใต้หล้า ซูชิงมิหนีไปไหน ทุกท่านต้องการลงโทษเช่นไรก็เชิญตามสะดวก แต่หรูเย่ว์แม้จะเป็นหญิงรับใช้ของข้า แต่นางมิทราบเรื่องนี้ พี่น้องมากมายใต้บัญชาของข้าก็มิมีผู้ใดทราบความเป็นมาของซูชิง ขอทุกท่านเป็นพยาน ช่วยล้างมลทินให้พวกเขาแทนด้วย”
เพิ่งกล่าวคำพูดนี้จบ ซูชิงพลันรู้สึกหน้ามืดตาลาย อาการบาดเจ็บภายในผนวกกับความเศร้าหมองทำให้นางมิมีกำลังหยัดยืนอีกต่อไป ในหูได้ยินเสียงตะโกนของหรูเย่ว์ ซูชิงรู้สึกว่าร่างกายทรุดยวบร่วงลงไปในอ้อมแขนอันอบอุ่น นางถอนหายใจแผ่วเบา ช่างเถิด ชะตาชีวิตของตนมอบให้สวรรค์กำหนดก็แล้วกัน ซูชิงผู้ละทิ้งทุกสิ่งจมลงสู่ห้วงนิทราอันล้ำลึก
อบอุ่นยิ่งนัก ซูชิงคล้ายล่องลอยอยู่ในห้วงฝันอันไร้สิ้นสุด ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังชีวิตในอดีตอันไกลโพ้นยามเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ผู้ทำตามอำเภอใจ เลินเล่อเช่นไรก็ได้รับการปกป้อง ระหว่างที่สะลึมละลือคล้ายตนเองกลับกลายเป็นเด็กน้อยนอนอยู่ในอ้อมแขนของมารดา ฟังมารดาร้องเพลงกล่อมเด็กแผ่วเบา ชวนให้ตนยินยอมพร้อมใจตกอยู่ในห้วงนิทรา หยดน้ำตาแวววาวหยดหนึ่งไหลรินจากหางตาอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว นั่นคือชีวิตอันแสนสุขที่มิอาจหวนคืน บิดามารดาและครอบครัวผู้มิอาจพบเจอได้อีกต่อไปแล้ว
ซูชิงลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ นางรู้สึกอีกครั้งว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ หลายปีที่ผ่านมายามใช้ชีวิตอยู่ที่เป่ยฮั่น นางผลาญสิ้นแรงกายแรงใจอยู่ทุกวัน แม้ยามนอนก็ต้องระวังอันตรายรอบตัวอยู่ตลอดเวลา หลังจากกลับต้ายง ภาระหนักหน่วงในจิตใจก็ยังคงอยู่ ซูชิงจึงมิได้หลับสบายเช่นนี้มาเนิ่นนานนักแล้ว
นางลุกขึ้นนั่งแล้วพบว่าตนนอนอยู่บนตั่งนุ่มแสนสบายอันอบอุ่นตัวหนึ่ง ม่านมุ้งทอดตัวลงมา ในอากาศมีกลิ่นเครื่องหอมชั้นดี ซูชิงดึงผ้าห่มลงก็พบว่าบนร่างตนสวมอาภรณ์ตัวกลางสีขาวเอาไว้ ซ้ำยังดูเหมือนเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนที่ตนพกติดตัวไว้อีกด้วย
นางเลิกม่านมุ้ง แล้วพบว่ารอบด้านล้วนเป็นกำแพงฝาไม้ บนพื้นโคลงเคลงเล็กน้อยและไม่มีหน้าต่าง แต่อากาศภายในห้องไม่เหม็นอับสักนิด นี่จะต้องเป็นห้องพักบนเรือแน่ กวาดสายตามองรอบด้านเล็กน้อย ก็พบว่าภายในห้องมิได้ตกแต่งมากนัก แต่โต๊ะเก้าอี้และชั้นวางหนังสือมีอยู่ครบครัน บนหัวเตียงวางกระถางเครื่องหอมเอาไว้ บนผนังแขวนภาพวาด ดูแล้วเรียบง่ายแต่งดงามอย่างยิ่ง ซูชิงตกตะลึง ต่อให้ตื่นมาแล้วพบว่าตนอยู่ในคุก นางก็คงไม่แปลกใจเท่านี้ การอยู่ในสนามรบแต่ได้รับการปฏิบัติดีเช่นนี้กลับทำให้นางตกตะลึงอย่างยิ่ง
นางเห็นบนเก้าอี้ด้านข้างวางชุดทหารสีเขียวกับเกราะอ่อนตัวหนึ่งไว้ นั่นล้วนเป็นอาภรณ์ของตน เพียงแต่ว่าซักล้างปะชุนเรียบร้อยแล้ว นางสวมเสื้อผ้าเสร็จก็สวมรองเท้า บนโต๊ะอ่านหนังสือวางอาวุธกับอาวุธลับของตนอยู่ นางจัดเก็บเรียบร้อยทีละชิ้น ดูท่าตนเองจะยังมิถูกปลดจากตำแหน่ง หัวใจของซูชิงโล่งอกขึ้นเล็กน้อย นางจัดการเสื้อผ้าจนเรียบร้อยก็พลันรู้สึกว่าท้องเริ่มหิว มิรู้ว่าตนมิได้กินสิ่งใดมานานเท่าใดแล้ว แต่ดูจากที่อาการบาดเจ็บภายในของตนทุเลาลงบ้าง ก็ทราบว่าอย่างน้อยเวลาคงผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน
นางกำลังจะเปิดประตูห้อง แต่ประตูห้องถูกดึงเปิดออกจากด้านนอกเสียก่อน หรูเย่ว์ผู้มีดวงหน้าเรียบเฉยแฝงแววกลัดกลุ้มเดินเข้ามา เมื่อเห็นซูชิง นางก็ถลาเข้ามาด้วยความยินดียิ่งนัก นางกอดร่างของซูชิงแล้วร้องไห้โฮ ซูชิงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจจึงมิผลักนางออก เอ่ยขึ้นว่า “สาวน้อยโง่เขลา เสื้อผ้าของข้าถูกน้ำตาเจ้าหยดใส่จนเปียกหมดแล้ว”
หรูเย่ว์รีบปล่อยมือ นางเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพบอกว่าคุณหนูใกล้ฟื้นแล้ว ให้ข้ามาดูสักหน่อย บอกว่าหากคุณหนูฟื้นแล้ว ให้เชิญไปรับประทานอาหารที่ห้องโถงด้านหน้า”
ซูชิงตกตะลึง สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย เรื่องบางอย่างสุดท้ายก็มิอาจปิดบังได้ นางฝืนคลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นหรือ ข้าสลบไปกี่วันแล้ว เหตุใดจึงหิวปานนี้”
หรูเย่ว์ตอบว่า “วันนั้นคุณหนูบาดเจ็บจนหมดสติ แม่ทัพฮูเหยียนพาคุณหนูกลับมาบนเรือ หลังจากใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพจับชีพจรก็บอกว่าอาการบาดเจ็บภายในของคุณหนูความจริงมิสาหัส เพียงแต่เหนื่อยล้ามากเกินไป แล้วกระทบกระเทือนจิตใจซ้ำ ดังนั้นจึงหมดสติมิตื่น ใต้เท้ากล่าวว่าควรให้คุณหนูพักผ่อนดีๆ สักสองสามวัน จึงผสมยานอนหลับกับยารักษาอาการบาดเจ็บให้ วันนี้เป็นวันที่สี่แล้ว หลายวันมานี้นอกจากยา คุณหนูก็ดื่มแต่น้ำแกงโสม ไม่แปลกที่จะหิวโหยเช่นนี้”
ซูชิงลังเลครู่หนึ่งก็ถามว่า “หรูเย่ว์ เรื่องนั้นใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพทราบแล้วหรือไม่”
หรูเย่ว์ลอบสังเกตสีหน้าของซูชิงเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพออกคำสั่งเก็บความลับ ห้ามมิให้แพร่งพรายเรื่องในวันนั้น หลังจากนั้นจึงให้คุณหนูรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนเรือ เรื่องอื่นข้าก็มิทราบ”
ในใจซูชิงวิตกกังวล “พาข้าไปพบใต้เท้าเจียงเถิด”