ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 3 ความผิดของอู๋ตี๋ (1)
ต้วนอู๋ตี๋ บรรพบุรุษเป็นทหารมาหลายรุ่น ตั้งแต่เล็กอู๋ตี๋มีพรสวรรค์ทางการรบ อายุสิบห้าเข้าเป็นทหาร อายุยี่สิบได้เป็นองครักษ์ในกองราชองครักษ์ จิ้นหยางมีตระกูลใหญ่แซ่เหออยู่ตระกูลหนึ่ง เป็นขุนนางคนสำคัญของเจ้าแคว้นองค์ก่อน นิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ อู๋ตี๋มิทันระวังล่วงเกินตระกูลของเขาจึงถูกปลดส่งไปเป็นทหารชายแดนที่ไต้โจว ทว่าตระกูลเหอยังมิยอมเลิกรา ส่งมือสังหารมาเข่นฆ่าเขา คนแซ่ต้วนโชคดีรอดพ้นอันตรายใหญ่หลวงมาได้
เมื่อมาถึงไต้โจว หลินหย่วนถิงเห็นความสามารถจึงแนะนำให้เข้ากองทัพชิ่นโจว ต่อมากลายเป็นแม่ทัพผู้โด่งดังใต้บัญชาของหลงถิงเฟย ฉายาแม่ทัพผานสือ ชำนาญการป้องกัน หลงถิงเฟยออกศึกทุกครั้งล้วนมีต้วนอู๋ตี๋คอยคุ้มครองด้านหลังของเขา
…พงศาวดารเป่ยฮั่ั่น บันทึกต้วนอู๋ตี๋
ชิวอวี้เฟยวางสีหน้าเฉยชา ยืนมือไพล่หลัง ขณะที่ดวงตาของหลิงตวนฉายแววนับถือ แม้ต้วนอู๋ตี๋จะยังสวมเครื่องพันธนาการแต่ลงมาจากรถนักโทษแล้ว ทั้งสามคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้เหี่ยวแห้งริมทาง พวกสือจวินถูกไล่ออกไปห่างร้อยก้าว ไม่ให้อยู่ใกล้
ต้วนอู๋ตี๋สีหน้านิ่งสงบคล้ายมิใส่ใจเครื่องพันธนาการบนร่าง แต่ชิวอวี้เฟยกลับมองเห็นความเจ็บปวดและความรู้สึกอยุติธรรมที่มิปรารถนาให้ผู้ใดค้นพบซ่อนอยู่ลึกลงไปในดวงตาของเขา ชิวอวี้เฟยถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพต้วนเป็นที่เคารพของคนทั้งหลายมาตลอด แม่ทัพหลงเองก็มองท่านแม่ทัพเป็นเสมือนหนึ่งแขนซ้ายแขนขวา เหตุใดจึงออกคำสั่งคุมตัวท่านแม่ทัพได้ ท่านแม่ทัพมิสู้บอกกล่าวข้าตามตรง ข้าจะได้คิดหาวิธีทวงความยุติธรรมให้ท่านแม่ทัพ”
หลิงตวนรีบกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ แม่ทัพต้วน ยามมีชีวิตแม่ทัพถานเคารพท่านยิ่งนัก หากท่านแม่ทัพยังอยู่จักต้องไม่นิ่งดูดายมองท่านถูกใส่ร้ายและถูกหยามหมิ่นเป็นแน่ แม้ผู้น้อยไม่มีกำลังอันใด แต่จะไม่ยอมทนดูท่านถูกผู้อื่นใส่ร้ายป้ายสีเป็นอันขาด”
ต้วนอู๋ตี๋ถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวตอบว่า “ก่อนหน้านี้ผู้แซ่ต้วนเพียงปฏิบัติต่อแม่ทัพถานอย่างเท่าเทียมเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพถานจะเคารพกันเช่นนี้ ผู้แซ่ต้วนละอายใจมิกล้ารับ”
หลิงตวนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อครั้งท่านแม่ทัพถูกลอบสังหารบาดเจ็บหนัก กองทัพเราถูกกีดกัน มีเพียงท่านแม่ทัพไม่เพียงมิซ้ำเติม แต่ยังส่งเสบียงมาให้หลายครั้งหลายครา ท่านแม่ทัพเคยกล่าวว่าแม่ทัพต้วนเป็นผู้ที่ฝากชีวิตไว้ด้วยได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต หลิงตวนก็จะมิยอมให้ท่านแม่ทัพเป็นอันตราย”
ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มอย่างขมขื่น “แม่ทัพถานชมเกินไปแล้ว หากกล่าวอย่างยุติธรรม ครั้งนี้ผู้แซ่ต้วนก็มีความผิดสาสมกับโทษจริง ผู้แซ่ต้วนทำความผิดใหญ่หลวงสมคบกับพ่อค้า ลักลอบขนของเถื่อนแล้วรับส่วนแบ่งกำไรก้อนโต หลายวันก่อนถูกแม่ทัพเฟยหู่สืออิงจับได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอคำสั่งกองทัพจับกุมตัวข้าไปรับโทษที่กองทัพหลวง”
สีหน้าชิวอวี้เฟยเปลี่ยนไปโดยพลัน ต่อให้คิดเท่าใดเขาก็คิดไม่ถึงว่าต้วนอู๋ตี๋ผู้ปกติเที่ยงธรรมรอบคอบ สุจริตซื่อตรงคนนี้ จะทำความผิดทุจริตรับสินบน ความผิดเช่นนี้ อย่างเบาก็กล่าวได้ว่าทุจริตฝ่าฝืนกฎกองทัพ อย่างหนักก็กล่าวได้ว่ามีความผิดใหญ่หลวงคิดก่อกบฏ
สินค้าที่ต้องลักลอบขนผ่านต้วนอู๋ตี๋ย่อมต้องมาจากต้ายง หรือตงไห่ เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นออกคำสั่งเข้มงวดให้คุมด่านชายแดน นอกจากขบวนพ่อค้าน้อยนิดจำนวนหนึ่ง ผู้อื่นห้ามติดต่อค้าขายกับตงไห่ตามอำเภอใจ ส่วนการติดต่อค้าขายกับต้ายงยิ่งมีโทษเท่ากับทรยศแว่นแคว้น
ในใจชิวอวี้เฟยโกรธเกรี้ยว กำลังจะต่อว่าต้วนอู๋ตี๋สักหลายคำ แต่เมื่อเห็นเขาสีหน้านิ่งสงบ ไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย ในใจก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ แล้วถามว่า “แม่ทัพต้วนถูกคนใส่ร้ายหรือไม่”
ต้วนอู๋ตี๋ตอบอย่างนิ่งสงบ “หามีผู้ใดใส่ร้ายข้า ผู้แซ่ต้วนมิปกปิด นับตั้งแต่สามปีก่อนผู้แซ่ต้วนก็ลักลอบขนสินค้ามาแล้วสิบสี่หน ได้เงินมาหกแสนตำลึง สินค้าที่ครั้งนี้ถูกแม่ทัพสือค้นพบมีค่าสามแสนตำลึง ผู้แซ่ต้วนจะได้ส่วนแบ่งจากในนั้นหนึ่งแสน”
เพลิงโทสะในใจชิวอวี้เฟยลุกโชติช่วง ทว่าสิ่งที่ประหลาดก็คือ เมื่อเห็นดวงตาใสกระจ่างดุจกระจก แต่ลึกล้ำดั่งห้วงน้ำเหมันต์คู่นั้นของต้วนอู๋ตี๋ ชิวอวี้เฟยกลับมิอาจเชื่อว่าคนผู้นี้เป็นแม่ทัพละโมบผู้มิสนใจกฎกองทัพ หรือกฎของแว่นแคว้น เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพต้วนมิต้องหยั่งเชิงผู้แซ่ชิวแล้ว ผู้แซ่ชิวเชื่อว่าแม่ทัพกระทำดังนี้คงเป็นเพราะไม่มีทางเลือก”
ดวงตาต้วนอู๋ตี๋ทอประกายวูบหนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ “คุณชายสี่มีฐานะเป็นศิษย์ของท่านราชครู แม้ท่านราชครูจะสั่งสอนศิษย์เคร่งครัดยิ่งนัก คุณชายสี่เองก็คงเคยลำบากมามาก แต่คุณชายไหนเลยจะเข้าใจความทุกข์ยากของพลทหารธรรมดา กองทัพของข้าทำศึกกับต้ายงมานานหลายปี มีคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แม้หลายปีนี้จะชนะมากกว่าแพ้ แต่กำลังอำนาจของแคว้นต้ายงเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่แคว้นเรานับวันยิ่งอัตคัด
คุณชายคงไม่ทราบว่าตั้งแต่หกปีก่อน เสบียงของกองทัพเราก็ไม่เพียงพอ ได้มาครึ่งหนึ่งก็ยากหนักหนาแล้ว พลทหารบาดเจ็บหนักจนพิการก็ยากจะได้เงินบำรุงขวัญ ดังนั้นในกองทัพจึงมีคำพูดหนึ่งแพร่ไปทั่ว นั่นคือยอมตายในสนามรบเสียดีกว่ากลายเป็นคนพิการ”
ชิวอวี้เฟยสะเทือนใจยิ่งนัก แม้เขามีชาติกำเนิดยากจนข้นแค้น ทว่าตั้งแต่เล็กก็ได้ประมุขพรรคมารรับมาเลี้ยงดู เทียบกับศิษย์พี่ทั้งหลายแล้ว กล่าวได้ว่าเขาไม่เคยได้รับความทุกข์ทรมานมากมายนัก ต่อมาศิษย์พี่ทั้งหลายบ้างก็รับผิดชอบงานของพรรคมาร บ้างก็เข้ากองทัพ มีเพียงเขาวันๆ ดีดพิณ ฝึกวรยุทธ์ มิเคยข้องเกี่ยวเรื่องการทหาร หรือการเมือง ไหนเลยจะทราบว่าแคว้นเป่ยฮั่นลำบากถึงเพียงนี้แล้ว สายตาของเขาเคลื่อนไปจับบนตัวหลิงตวน เห็นสีหน้าเขาแฝงความโศกเศร้าเจ็บปวดอยู่เลือนราง นั่นคือสีหน้าของผู้ที่สัมผัสมาด้วยตนเอง
หลิงตวนเห็นสายตาถามไถ่ของชิวอวี้เฟยก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านสี่ แม่ทัพต้วนกล่าวมิผิดสักคำ เริ่มแรกยามพี่ชายทั้งสองของข้าเป็นทหารรับใช้ชาติก็ห้ามมิให้ข้ามาด้วยกันกับพวกเขา พวกเขาต่างบอกว่าหวังให้ข้าสืบทอดสายเลือดก่อร่างสร้างตระกูล ไม่อยากให้ตระกูลหลิงไร้ทายาท แต่หลังจากพี่ชายทั้งสองของข้าตายในสนามรบ เงินบำรุงขวัญกลับน้อยยิ่งนัก ในบ้านไม่เหลือข้าวสาร ข้าจึงอาศัยวรยุทธ์ที่ร่ำเรียนมาสมัครเข้ากองทัพ แม้ข้าเป็นทหารสังหารศัตรูเพราะอยากชำระแค้นให้พี่ชาย แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าไร้ความสามารถอื่นหาเลี้ยงชีพจริงๆ
หากมิได้แม่ทัพถานเวทนา ข้าอายุน้อยเท่านี้ ไฉนลยจะกลายเป็นองครักษ์คนสนิทของแม่ทัพ ต่อมายังได้ท่านแม่ทัพผลักดันให้กลายเป็นหนึ่งในทหารม้ากุ่ยฉีอีก ท่านสี่ ทำสงครามนานหลายปีเช่นนี้ ครอบครัวผู้ใดมิเป็นเช่นนี้บ้าง ดังนั้นพวกเราจึงต่างวาดหวังว่าจะบุกตีเจ๋อโจวสำเร็จ แผ่นดินเจ๋อโจวอุดมสมบูรณ์ พวกเราคงได้อาศัยเพาะปลูกในค่ายทหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัว สหายร่วมรบที่บาดเจ็บหนัก ร่างกายพิการ ก็จะได้มีที่ลงหลักปักฐาน มิต้องปลิดชีพตนเพราะกังวลว่าจะเป็นภาระให้ครอบครัวอีก ชิ่นโจวแห้งแล้งเกินไป”
ต้วนอู๋ตี๋หันหน้าหนี แต่ชิวอวี้เฟยเห็นจังหวะที่เขาผินหน้าหลบ หยดน้ำตาใสไหลร่วงผ่านคราบฝุ่น ชิวอวี้เฟยพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหล่าทหารผู้ทุ่มเทมิเห็นแก่ตน ยอมแลกชีวิตทำสงครามเหล่านั้นกลับต้องทนทุกข์ยากเช่นนี้ เทียบกับพวกเขาแล้ว ความทุกข์ด้วยเปล่าเปลี่ยวเดียวดายของผู้มีอิสระเสรีเช่นตนนับเป็นอันใดได้ เขาสงบอารมณ์ในหัวใจแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพต้วนกระทำเพื่อทหารเหล่านี้หรือ”
ต้วนอู๋ตี๋ฝืนขยับยิ้ม กล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งอนุญาตให้แม่ทัพปล้นสะดมในเจ๋อโจวเพื่อเสริมเบี้ยหวัดทหารที่ขาด แต่กองทัพของผู้แซ่ต้วนมักคอยป้องกันอยู่ด้านหลัง มิอาจได้รับผลประโยชน์ประการนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสองปีนี้ฉีอ๋องปิดเมืองเผานา กองทัพเรายากจะปล้นสะดมสิ่งใดมาได้ ข้าไร้หนทางจึงสมคบกับพ่อค้าใหญ่ลักลอบขนของเถื่อน
ประการแรกได้สิ่งของที่จำเป็นต่อกองทัพในราคาย่อมเยา ประการที่สองได้เงินทองมากมายมาชดเชยเบี้ยหวัดทหารที่ขาด แม้เรื่องนี้จะขัดต่อกฎของแคว้นและกฎของกองทัพ แต่ผู้แซ่ต้วนอับจนหนทาง มิอาจคำนึงถึงสิ่งเหล่านั้น”
ทันใดนั้นหลิงตวนพลันตัวสั่นเทา เขาติดตามอยู่ข้างกายถานจี้ จึงรู้อยู่เลาๆ ว่าระหว่างสองปีที่ถานจี้บาดเจ็บหนักมิอาจนำทัพ กองทัพขาดแคลนเสบียงกับเบี้ยหวัด สิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้กองทัพของถานจี้กับกองทัพของสืออิงที่ได้ออกศึกแทนเกิดความบาดหมางกัน หลิงตวนหวนนึกถึงยามแม่ทัพได้เงินอันไม่รู้ที่มาจำนวนหนึ่งมาแจกจ่ายเป็นเบี้ยหวัดให้แก่ทหาร บ้างก็เป็นเงินบำรุงขวัญทหารที่บาดเจ็บพิการได้ทันเวลาอยู่บ่อยครั้ง หรือว่าท่านแม่ทัพก็จะร่วมลักลอบขนของเถื่อนกับต้วนอู๋ตี๋ด้วย
สายตาคลางแคลงเคลื่อนไปมองต้วนอู๋ตี๋ ต้วนอู๋ตี๋เข้าใจความนัยแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น ความจริงการลักลอบขนของเถื่อนนี้ แม้ต้วนอู๋ตี๋พยายามปิดบังสุดกำลัง แต่ก็ยังมีคนล่วงรู้ ถานจี้ก็เป็นคนหนึ่งในนั้น อีกฝ่ายยังเคยส่งคนสนิทมาช่วยต้วนอู๋ตี๋อีกด้วย เพราะเบี้ยหวัดทหารในส่วนกองทัพของถานจี้แม้แต่สามส่วนยังได้มายากนัก
เรื่องการลักลอบขนของเถื่อนนี้ แม้แต่หลงถิงเฟยเองก็ไม่แน่ว่าจะมิทราบ เพียงแต่แสร้งทำหูหนวกตาบอดก็เท่านั้น คงมีเพียงสืออิงผู้นิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ที่มิทราบเรื่อง แต่เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ต้วนอู๋ตี๋ย่อมไม่ต้องการให้พัวพันไปถึงผู้อื่น ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นความสงสัยของหลิงตวน
ชิวอวี้เฟยก็คิดจุดนี้ออกเช่นกัน เซียวถงศิษย์พี่ของเขารับผิดชอบงานตรวจตรากองทัพ หากมิทราบเรื่องนี้สักนิด ไยมิใช่ไร้ความสามารถยิ่งนัก หากเซียวถงทราบ หลงถิงเฟยก็ย่อมทราบ เพียงแต่ครั้งนี้จู่ๆ สืออิงก็เปิดโปงเรื่องนี้กะทันหัน แม้แต่หลงถิงเฟยยังจนปัญญาแก้ไข ต้องคุมตัวต้วนอู๋ตี๋ไว้ก่อน
เรื่องเช่นนี้รู้กันอย่างลับๆ ได้ แต่กล่าวออกมาไม่ได้ หากเล่าลือออกไปว่าหลงถิงเฟยสนับสนุนการลักลอบค้าของเถื่อน ขุนนางผู้เที่ยงตรงในราชสำนักจักต้องถวายฎีกาตำหนิเป็นแน่ หากต้องการให้หลงถิงเฟยหลุดพ้นจากเรื่องนี้ ต้วนอู๋ตี๋ก็จำต้องกลายเป็นแพะรับบาป
หลังจากคิดจนเข้าใจจุดนี้แล้ว ชิวอวี้เฟยจึงมองไปทางต้วนอู๋ตี๋ ดวงตาเต็มไปด้วยความอับจนหนทาง กล่าวว่า “แม่ทัพต้วน เรื่องนี้เกรงว่าผู้น้อยคงยากจะขอความเมตตาให้ได้ ความจริงท่านแม่ทัพเองก็คงจนหนทางเช่นกัน หากบอกกล่าวความลำบากแก่แม่ทัพใหญ่ตามตรง ท่านแม่ทัพอาจให้อภัย ให้ท่านแม่ทัพสร้างความชอบชดใช้ความผิดก็เป็นได้”
ความนัยในถ้อยคำของชิวอวี้เฟย ต้วนอู๋ตี๋เข้าใจดี ในเมื่อหลงถิงเฟยรู้สึกละอายใจ เขาย่อมมิกล้าลงโทษสถานหนัก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงอันใสสะอาดของหลงถิงเฟยย่อมเสียหาย ขวัญกำลังใจของกองทัพเป่ยฮั่นย่อมสั่นคลอน เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “คุณชายสี่ ข้ากล่าวเช่นนี้เพราะอยู่ต่อหน้าท่านเท่านั้น เมื่อถึงกองทัพหลวง ข้าทำได้เพียงยอมรับว่าละโมบทุจริต ถึงเวลาแม่ทัพใหญ่ย่อมทำได้เพียงตัดศีรษะ หรือสั่งจองจำอู๋ตี๋เพื่อคงความเคร่งครัดของกฎกองทัพ
อู๋ตี๋มิรักตัวกลัวตาย ทว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมาแม่ทัพซูกับแม่ทัพถานพลีชีพเพื่อแคว้นตามกัน อู๋ตี๋มิได้อวดตัวถือดี แต่หากไร้ข้าคอยป้องกันชิ่นโจว แรงกดดันที่มีต่อแม่ทัพใหญ่จะหนักหนามากเกินไป หากคุณชายเรียนท่านราชครูให้ขอความเมตตาจากแม่ทัพใหญ่ไว้ชีวิตของอู๋ตี๋ หากเป็นเช่นนั้นแม้อู๋ตี๋จะถูกลงโทษอยู่บ้าง แต่ประการแรกไม่ทำลายความสุจริตยุติธรรมของแม่ทัพใหญ่ ประการที่สองมิทำลายขวัญกำลังใจของทหาร แม้ว่าข้าจะต้องถูกลดขั้นเป็นพลเดินเท้า อู๋ตี๋ก็มิขุ่นเคืองเป็นอันขาด”
ชิวอวี้เฟยเจ็บปวดหัวใจ กล่าวว่า “จิตใจภักดีของแม่ทัพต้วน อวี้เฟยนับถือนัก ขอท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ข้าจักไม่ให้แม่ทัพใหญ่ลำบากใจ แล้วก็จะไม่ปล่อยให้แม่ทัพต้วนแบกรับความผิดเช่นนี้ ข้าจะไปพบถิงเฟยเดี๋ยวนี้ รักษาชีวิตของท่านไว้ก่อน จากนั้นจะไปเชิญท่านอาจารย์มาขอความเมตตาให้ด้วยตนเอง ความจริงข้าคิดว่าแม่ทัพใหญ่ก็อาจคิดหาวิธีละเว้นความผิดของท่านเอาไว้แล้ว เขามิใช่คนไร้คุณธรรมน้ำมิตร”
ต้วนอู๋ตี๋ถอนหายใจ “แม่ทัพใหญ่เคร่งครัดกับกฎกองทัพมาเสมอ ข้าไม่ต้องการทำลายชื่อเสียงเขาให้มัวหมอง ต่อให้ต้องรับโทษตายก็มิมีคำตัดพ้อแต่อย่างใด”
ชิวอวี้เฟยเศร้าใจ แต่แล้วเมื่อขบคิดอีกครั้งหนึ่งก็เอ่ยว่า “สืออิงผู้นี้นี่อย่างไรกัน เรื่องเช่นนี้ในกองทัพสมควรรู้อยู่แต่ในใจ มิป่าวประกาศ เขาดันเปิดเผยให้ท่านลำบากได้เช่นไร การป่าวประกาศเรื่องนี้ออกมา แม้แต่แม่ทัพใหญ่ก็ย่อมไม่พอใจที่เขาทำเช่นนี้แน่นอน”
ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มอย่างจนปัญญา “เรื่องนี้ข้าก็มิเข้าใจเช่นกัน แม้ข้ากับแม่ทัพสือมิได้สนิทสนมกันมากนัก แต่ก็เป็นสหายร่วมรบกันมาหลายปี มิได้มีแค้นเก่าก่อน หลายวันก่อนเขายังเชิญข้าไปร่ำสุราด้วยกันที่หอเฟยเยี่ยนอยู่เลย
ทว่าหลังจากนั้นจู่ๆ แม่ทัพสือก็พูดจาเย็นชากับข้า ครั้งนี้จู่ๆ ก็สร้างเรื่องลำบากให้ นำแม่ทัพคนสนิทมาดักขบวนพ่อค้าด้วยตนเอง แล้วจับตัวทหารคนสนิทของข้าไว้ หลังจากนั้นจึงไปฟ้องต่อแม่ทัพใหญ่โดยตรง แม่ทัพใหญ่จึงออกคำสั่งเรียกตัวข้าเข้ากองทัพหลวงเพื่อสอบสวน ข้าจึงได้แต่พาองครักษ์คนสนิทสองสามคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่
ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ๆ แม่ทัพสือก็โผล่มาบอกว่าข้าคิดหลบหนี จับข้าใส่เครื่องจองจำ ส่งเข้ามาในรถคุมขังนักโทษ ข้าก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ทัพสือจึงกระทำเช่นนี้ แม้แม่ทัพสือเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ก็มิใช่ผู้ไร้เหตุผลเช่นนี้เสียหน่อย”