ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 31 พ่ายศึกอานเจ๋อ (1)
ซูชิง เดิมเป็นชาวแคว้นเป่ยฮั่น เข้ากองทัพตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะความแค้นของครอบครัว นางกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเหนือกว่ายอดบุรุษ ขันอาสาเป็นหัวหน้าหน่วยสอดแนมของหน่วยข่าวอุดร เป็นที่รักของผู้ใต้บัญชายิ่งนัก ระหว่างศึกชิ่นโจว ตัวตนของนางถูกเปิดเผย ผู้คนล่วงรู้ว่านางเป็นศิษย์ของสตรีแซ่เหวินแห่งสำนักเฟิงอี้ ฉู่เซียงโหวมิเห็นเป็นปัญหา ให้นางบัญชาการทหารสอดแนมของกองทัพต่อ จนสร้างความดีความชอบหลายครั้งหลายครา
…พงศาวดารต้ายง ประวัติเติ้งโหว
ซูชิงก้าวออกมาจากห้องพัก แสงตะวันอันสดใสแห่งวสันต์ฤดูทำให้ซูชิงต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างมิอาจห้าม ความยินดีที่ได้พานพบแสงตะวันอีกหนทำให้นางอดกลั้นมิไหว เผยรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก ก่อนจะได้ยินเสียงลมหายใจร้อนรนดังขึ้นไม่ไกล
ซูชิงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นฮูเหยียนโซ่วยืนอยู่ตรงนั้นอย่างกระวนกระวาย มองตนเหมือนอยากพูดบางอย่างแต่ก็มิพูด ภาพบุรุษร่างใหญ่หน้าตาดุดันน่าเกรงขามคนหนึ่งทำท่าทางวิตกกังวล ทำให้หัวใจของซูชิงสั่นไหว นางผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ย่อมทราบว่าฮูเหยียนโซ่วตกหลุมรักตนเองเข้าแล้ว เวลานี้เองหรูเย่ว์ก็กระซิบบอกนาง “คุณหนู วันนั้นแม่ทัพฮูเหยียนเป็นผู้อุ้มท่านกลับมาขึ้นเรือด้วยตัวเอง”
แม้ซูชิงหัวใจแกร่งดั่งหินผาก็ยังอดหน้าแดงมิได้ หวนนึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นที่ตนได้สัมผัสยามสะลึมสะลือในช่วงที่อ่อนแอที่สุด ที่แท้ก็คือคนผู้นี้ ในใจเกิดความรู้สึกอบอุ่น ทว่าเพียงชั่วความคิด สีหน้าของซูชิงก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
แม้ในนามฮูเหยียนโซ่วจะเป็นเพียงแม่ทัพขั้นสาม อีกทั้งอำนาจจริงๆ ก็สู้ตนเองมิได้ แต่เขามีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพของกองราชองครักษ์หู่จี ทั้งยังถูกฝ่าบาทส่งมาปกป้องฉู่เซียงโหว คนผู้นี้มีอนาคตยาวไกล ส่วนตนเอง แม้มีตำแหน่งค่อนข้างสูงในกองทัพ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคนในสังกัดกองการข่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ความลับของตนเองถูกเปิดโปงแล้ว แม้ฝ่าบาทจะเห็นแก่คุณงามความชอบของตนไม่สืบสาวเอาความ แต่ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกปลดจากตำแหน่งในกองทัพ ตนมิสนใจสิ่งเหล่านี้ ขอเพียงได้เห็นเป่ยฮั่นล่มสลาย ต่อให้อนาคตของตนเองจะย่อยยับหมดสิ้นก็มิสำคัญแต่อย่างใด แต่หากผู้อื่นต้องถูกลากลงมาตกต่ำเพราะตนด้วยย่อมไม่ดีแล้ว ฉะนั้นเรื่องระหว่างตนกับคนผู้นี้ไม่มีทางเป็นไปได้
เมื่อในใจคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ซูชิงจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ขอบคุณแม่ทัพฮูเหยียนยิ่งนักที่มีน้ำใจดูแล ข้าจะกลับค่ายแล้ว วันหน้าคงได้พบกัน”
ฮูเหยียนโซ่วเห็นซูชิงสีหน้าเย็นชา ความกระตือรือร้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอกก็ราวกับถูกแช่แข็งจนหมดสิ้น เขาหวนนึกถึงภาพเมื่อหลายวันก่อนที่ยังคงทำให้หัวใจสั่นไหว วันนั้นเขาได้เห็นสภาพที่เข้มแข็งที่สุดและอ่อนแอที่สุดของสตรีผู้นี้ด้วยตาตนเอง ความประทับใจอันแรงกล้านั่น ตราบจนวันนี้เขาก็ยังมิอาจลืมเลือน แต่เมื่อทบทวนดูอีกครั้ง ซูชิงไม่เพียงรูปโฉมงามหมดจด วรยุทธ์ก็ยังสูงส่ง อีกทั้งยังมีคามสามารถโดดเด่น ตนเองเป็นเพียงแม่ทัพของกองราชองครักษ์คนหนึ่ง จะคู่ควรกับยอดสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร
ในที่สุดเมื่อสบสายตาเย็นชาของซูชิงเขาจึงถอยออกมาหนึ่งก้าว ข่มกลั้นความเสน่หาในหัวใจเอ่ยขึ้นว่า “ยามศึกอันตรายรอบด้าน แม่ทัพซูเดินทางรักษาตัวด้วย”
ซูชิงยิ้มจางๆ ตอบว่า “ขอบคุณความเป็นห่วงของท่านแม่ทัพ ซูชิงจะถนอมชีวิตของตนให้ดี”
เรือเล็กของกองเรือล่องมาส่งที่ริมฝั่งน้ำชิ่นสุ่ย ณ ที่ตรงนั้น ลูกน้องของซูชิงรอคอยอยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวาย เมื่อเห็นซูชิงขึ้นฝั่ง พวกเขาจึงคำนับพร้อมกัน “ผู้น้อยคารวะท่านแม่ทัพ”
ซูชิงเห็นว่าภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมของพวกเขาแต่ละคนซ่อนความยินดีอยู่เลือนราง จึงทราบว่าลูกน้องเหล่านี้มิได้เอาใจออกห่างตนเอง แต่นางกลับไม่ยินยอมเผยอารมรณ์อ่อนไหวออกมา เพียงเอ่ยเสียงเยือกเย็นว่า “ไปอานเจ๋อ” กล่าวจบก็รับบังเหียนม้าที่พวกเขาส่งให้ ทะยานม้านำหน้าไปลำพัง
ทหารสอดแนมและสายลับเหล่านั้นมองหน้ากัน พวกเขาล้วนยินดีปรีดาอย่างยิ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว ตัวตนแความเป็นมาของซูชิงมิสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือสตรีนางนี้ร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเขามาหลายปี ความผูกพันของสหายร่วมรบเช่นนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นค่าที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของซูชิงก็ทำให้พวกเขายอมรับนับถือจากหัวใจ
ข้ายืนอยู่ข้างหน้าต่างของห้องพักบนเรือพลางอมยิ้มมองดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านล่าง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าก็เคยประมือกับซูชิง เหตุใดมิสังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหวินจื่อเยียน”
เสี่ยวซุ่นจื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เรื่องนี้บ่าวก็พอมองเห็นร่องรอยอยู่บ้างว่าวิชากระบี่ของซูชิงสืบทอดมาจากเหวินจื่อเยียน แต่ความจริงแล้ววิชากระบี่ของเหวินจื่อเยียนมีจุดที่แตกต่างจากศิษย์ทั้งหลายในสำนักเฟิงอี้อยู่มาก มันดุดันไร้ปรานีมากกว่า ส่วนกระบวนท่าอันวิจิตรงดงามก็น้อยกว่ามาก บ่าวเห็นว่าเหวินจื่อเยียนเป็นคนแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ซูชิงมีนิสัยคล้ายคลึงกับเหวินจื่อเยียนอยู่มาก นางน่าจะมิได้เป็นพวกเดียวกับคนในสำนักเฟิงอี้เหล่านั้น ด้วยเหตุนี้บ่าวจึงมิได้เปิดโปงเรื่องนี้”
ข้าหัวเราะ “เจ้ากังวลว่าข้าจะขุดรากถอนโคนหรือไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างเย็นชา “กำจัดขุดรากถอนโคน คุณชายคงมิทำ แต่การใช้ประโยชน์จากผู้อื่นจนถึงหยดสุดท้ายเป็นความสามารถของคุณชาย แม่ทัพซูมิใช่คนจำพวกที่จะถูกหลอกใช้หรือปิดบังได้ บ่าวมิต้องการให้คุณชายผูกแค้นลึกล้ำกับนาง จึงมิได้เปิดเผยเรื่องนี้”
ข้าอดรู้สึกละอายใจมิได้ เสี่ยวซุ่นจื่อมองนิสัยข้าออกทะลุปรุโปร่งจริงๆ หากข้าทราบตัวตนของซูชิงก่อนหน้านี้ ข้าคงส่งนางไปหนานฉู่เป็นแน่ เพราะยามนี้ข้ารู้สึกว่าฝั่งหนานฉู่คุมสถานการณ์ได้ไม่ดีพอ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคงปิดบังเรื่องราวมากมายจากนาง นี่เป็นนิสัยในการใช้คนของข้า นอกจากคนในสังกัดโดยตรงของข้าแล้ว ข้าล้วนมิชอบเปิดเผยแผนการทั้งหมดต่อผู้อื่น แต่สถานการณ์ของซูชิงในวันนี้กลับทำให้ข้าเลือกได้เพียงไว้ใจใช้งานนาง หรือปลดนางออกจากตำแหน่งทางใดทางหนึ่งเท่านั้น
สำหรับข้าแล้ว ความภักดีของซูชิงมิใช่ปัญหา อีกทั้งนางยังมีบารมีมากยิ่งนักในหมู่สายลับ ในความคิดของแม่ทัพและพลทหารชั้นล่างเหล่านั้น การต่อสู้แย่งชิงอำนาจในราชสำนักเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวเรื่องหนึ่ง ความเกี่ยวพันระหว่างซูชิงกับสำนักเฟิงอี้มิอาจทำให้พวกเขาเกิดความไม่เชื่อใจ
ในวันนั้นสาเหตุที่แม่ทัพและนายทหารทั้งหลายตกตะลึงเมื่อทราบตัวตนของซูชิง ส่วนมากเป็นเพราะห่วงว่าซูชิงจะโชคร้ายเพราะเรื่องนี้มากกว่า ถึงอย่างไรโทษของการก่อกบฏก็คือประหารเก้าชั่วโคตร พวกเขาอาจมิใส่ใจตัวตนของซูชิง แต่ย่อมใส่ใจการกวาดล้างของเบื้องบนในกองทัพ เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับคนมากมาย อาจรวมไปถึงตัวพวกเขาเอง
ในสถานการณ์เช่นนี้ การละเว้นโทษให้ซูชิงจะเป็นประโยชน์ต่อต้ายงมากกว่า แต่นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของข้า อำนาจของข้าทำได้เพียงมิปลดซูชิงออกจากตำหน่งในกองทัพระหว่างการรบในชิ่นโจวเท่านั้น การตัดสินใจท้ายสุดยังต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท ผลลัพธ์สุดท้ายคาดว่าคงไม่น่าจะดีนัก
แม้ฝ่าบาทมีน้ำพระทัยกว้างขวางมาเสมอ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นโอรสสวรรค์ สิ่งที่โอรสสวรรค์ให้ความสำคัญมากที่สุดย่อมเป็นราชบัลลังก์และแผ่นดิน ครานั้นตอนสำนักเฟิงอี้ก่อกบฏ เหวินจื่อเยียนถึงขั้นเคยเกือบจะสังหารฝ่าบาทสิ้นชีวาแล้ว แม้ภายหลังฝ่าบาทจะแสดงออกว่านับถือเหวินจื่อเยียน แต่ศัตรูที่ดีที่สุดคือศัตรูที่ตายไปแล้ว หากเหวินจื่อเยียนล่วงลับไปแล้วย่อมมิเป็นอันใด แต่หากเหวินจื่อเยียนรอดมาได้น่ากลัวว่าคงถูกตัดศีรษะเสียบประจาน ดังนั้นโชคชะตาของซูชิงยังคงยากจะคาดเดา
ข้ามองฎีกาลับบนโต๊ะ ความจริงข้าไม่อยากถวายฎีกาตอนนี้ จะเป็นการดีที่สุดหากรอศึกที่ชิ่นโจวจบลงแล้วค่อยรายงาน แต่ข้าย่อมไม่คิดว่าภายในกองทัพไม่มีคนจากกรมวินิจการณ์ของเซี่ยโหวหยวนเฟิง ยิ่งไปกว่านั้น กองราชองครักษ์หู่จีก็ต้องส่งฎีกาลับถวาย แม้ฮูเหยียนโซ่วจะตกอยู่ในบ่วงรักอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม เรื่องนี้แทนที่จะปิดบัง มิสู้ข้ากราบทูลแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า อย่างน้อยเห็นแก่หน้าของข้าก็คงจะรักษาชีวิตของซูชิงไว้ได้กระมัง สตรีนางนี้เป็นอิสตรีผู้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าบุรุษ ทำให้ข้านับถือยิ่งนักจริงๆ แม้แต่เสี่ยวซุ่นจื่อก็ยังมีใจจะช่วยเหลือ นับประสาอะไรกับข้าเล่า
เวลานี้เอง ฮูเหยียนโซ่วก็เดินเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างเข้ามาแล้วกล่าวว่า “มีข่าวการศึกจากทางฝั่งฉีอ๋อง แจ้งว่ากองทัพที่พิทักษ์อานเจ๋อเหี้ยมหาญยิ่งนัก อีกทั้งยังใช้กองเรือร่วมด้วย จึงต้องการเรียกกองเรือไปช่วยสู้ศึก องค์ชายเองก็เชิญใต้เท้าไปสังเกตการณ์สงครามในกองทัพหลวงด้วย”
ข้ามุ่นคิ้วเล็กน้อย เหตุใดกองทัพเป่ยฮั่นจึงทุ่มกำลังต้านรับอยู่ที่อานเจ๋อ ตามหลักแล้วชิ่นหยวนกำแพงเมืองสูงคูน้ำลึก ป้องกันง่ายบุกตียาก เสบียงก็พรั่งพร้อม กองทัพเป่ยฮั่นกำลังทหารสู้กองทัพเรามิได้ แทนที่จะผลาญกำลังทหารเช่นนี้ มิสู้ฉวยโอกาสล่อศัตรูให้หลงเข้ามาลึกข้างใน จากนั้นตั้งมั่นที่ชิ่นหยวน คอยบั่นทอนกำลังทหารของกองทัพเราจะดีกว่า หลังจากนั้นค่อยใช้ทหารม้าชั้นยอดต่อสู้ตัดสินกับกองทัพเรา เช่นนี้จึงจะเป็นวิธีการที่สมเหตุสมผล แต่เรื่องที่คิดไม่ตก ข้าย่อมมิขบคิดตอนนี้
ถึงอย่างไรพวกฉีอ๋องก็ล้วนเป็นแม่ทำผู้กรำศึก จุดน่าสงสัยเหล่านี้พวกเขาไม่มีทางมองไม่ออก และไม่มีทางไม่เตรียมป้องกันไว้ ข้าทอดสายตามองทิวเขาที่เรียงสลับลดหลั่นอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ เป่ยฮั่นแห่งนี้เป็นกระดูกเคี้ยวยากชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง หวังว่าแผนการของข้าจะสำเร็จอย่างราบรื่น แน่นอนว่าหากมิต้องใช้ย่อมเป็นการดีกว่า