ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 38 แม้นปราชัยก็น่ายินดี (2)
เวลานี้เอง ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก ผู้เฒ่าสวมอาภรณ์สีเทาคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู เขาสีหน้าซีดเซียวและผอมแห้งจนแทบเหมือนท่อนฟืน ในมือถือไม้เท้าอันหนึ่ง มองดูแล้วอายุราวห้าสิบถึงหกสิบปี แต่ถึงแม้คนผู้นี้จะดูป่วยหนักจนร่อแร่ แต่สีหน้าและท่าทางกลับโดดเด่นเหนือผู้คน มีบรรยากาศเช่นคนที่อยู่เหนือผู้อื่นพอสมควร
ฮูเหยียนโซ่วมองผู้เฒ่าคนนั้นอย่างเย็นชาแล้วถามเสียงดุดัน “เจ้าเป็นผู้ใด รีบบอกความเป็นมาออกมาเสีย หากปิดบังแม้แต่น้อย อย่าโทษว่าดาบข้าไร้ไมตรี”
ผู้เฒ่าคนนั้นยิ้มอย่างเฉยชา สายตาเคลื่อนไปจับบนหลังอาชาสีดำกลางวงล้อมขององครักษ์หลายนายนอกประตูลานบ้าน บัณฑิตผู้สวมเสื้อคลุมสีเขียวตัวโคร่งคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังอาชา สีหน้าของเขาแฝงแววเหนื่อยล้าเล็กน้อย จอนผมสองข้างแต่งแต้มด้วยสีขาว เส้นผมเป็นสีเทาอ่อน ดูไปแล้วเหมือนอายุมากยิ่งนัก แต่เมื่อมองดวงหน้าของเขากลับพบว่าสง่างามหมดจด ดวงหน้าขาวผ่องประหนึ่งหยก ภาพลักษณ์อันขัดแย้งเช่นนี้ทำให้รอบกายเขามีบรรยากาศประหลาดบางอย่าง
ส่วนชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวอีกคนหนึ่งดวงหน้าดุจหิมะ สีหน้าดั่งน้ำแข็ง เขาจูงบังเหียนอาชายืนอยู่ด้านข้าง แต่ภายใต้ท่าทีสูงส่งกลับแฝงความน่าขนลุก แม้สีหน้าจะนอบน้อม แต่เขามิคล้ายบ่าวรับใช้ทั่วไป
ผู้เฒ่าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ทุกท่านคงเป็นผู้สูงศักดิ์จากต้ายง ไยต้องรังแกชาวบ้านป่าเขาเช่นพวกเรา ลูกศิษย์ของข้าขัดขืนแม่ทัพทุกท่าน เพราะทุกท่านมาด้วยท่าทางดุร้าย ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย”
ชาวนาผู้นั้นตะโกนเสียงดัง “พวกท่านจะฆ่าก็ฆ่าข้าผู้เดียว ท่านลุงอายุมากแล้ว อีกทั้งยังนอนป่วยลุกจากเตียงมิได้มานานปี พวกท่านคงไม่เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ตามอำเภอใจกระมัง”
ฮูเหยียนโซ่วเสือกดาบนยาวในมือไปด้านหน้า ชายหนุ่มผู้นั้นรู้สึกว่าลำคอเจ็บแปลบ ฮูเหยียนโซ่วเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่ถามเจ้า ก็จงอย่าปากมาก”
ดวงตาของชายหนุ่มผู้นั้นเพลิงโทสะลุกโชน แต่ทำได้เพียงปิดปากเงียบ ฮูเหยียนโซ่วมองไปทางผู้เฒ่าคนนั้นอีกหนแล้วถามอย่างเหี้ยมเกรียม “ชื่อแซ่ เป็นมาอย่างไร ข้ามิอยากถามซ้ำอีกหน”
ผู้เฒ่าคนนั้นส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วตอบว่า “ตัวข้านามจี้เสวียน ท่านแม่ทัพคงมิเคยได้ยิน”
เดิมทีข้ามีสีหน้าเหนื่อยล้า แต่เมื่อได้ยินนามจี้เสวียน สีหน้าพลันกระตือรือร้นขึ้นทันที เอ่ยเสียงกระจ่างชัดว่า “จี้เสวียน จี้จื่อเฉิง ก่อนเป่ยฮั่นก่อตั้งแว่นแคว้น เคยเป็นจ่างซื่อในกองทัพของหลิวเซิ่งเจ้าเมืองไท่หยวน แตกฉานคัมภีร์โบราณและพงศาวดาร เจนจบโหราศาสตร์และการคำนวณ เป็นคนสนิทที่หลิวเซิ่งไว้วางใจ หลังจากหลิวเซิ่งก่อตั้งแคว้น จี้เสวียนมิพอใจที่หลิวเซิ่งกบฏจึงลาออกจากตำแหน่งและจากไป ทำให้หลิวเซิ่งโศกเศร้ายิ่งนัก ท่านคงเป็นท่านผู้นั้นสินะ”
กล่าวจบ ข้าก็พลิกกายลงจากอาชาเยื้องย่างเข้าไปในลานบ้าน ค้อมกายคำนับผู้เฒ่าท่านนั้นแล้วกล่าวว่า “ศิษย์รุ่นหลังนามเจียงเจ๋อ คารวะท่านผู้เฒ่าจี้ ผู้เยาว์ได้ยินมานานว่าท่านผู้เฒ่ามีความรู้แตกฉาน ดำรงตนสง่างามสูงส่ง วันนี้ได้พานพบ เป็นโชคดีของข้ายิ่งนัก”
เมื่อกล่าวคำพูดท่อนนี้จบ ดวงตาของชาวนาหนุ่มผู้ล้มอยู่บนพื้นคนนั้นก็ทอประกายประหลาดใจวูบหนึ่ง เพียงแต่ว่าถูกคนจ่อดาบอยู่บนลำคอจึงมิกล้าส่งเสียงพูดเท่านั้น ดวงตาของจี้เสวียนฉายประกายลุ่มลึกแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็จ้วงหยวนแห่งหนานฉู่ พระราชบุตรเขยแห่งต้ายง ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อนี่เอง แม้ข้าอาศัยอยู่ในชนบทก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านโหว คิดไม่ถึงว่าท่านโหวจะให้เกียรติมาเยือนที่แห่งนี้”
ข้าฟังน้ำเสียงไม่เป็นมิตรในเสียงของเขาออก ดูจากที่จี้เสวียนผู้นี้ลาออกจากตำแหน่งเพราะไม่พอใจที่หลิ่วเซิ่งตั้งตนเป็นเจ้าแคว้นในอดีต ก็เห็นแล้วว่าเขาเป็นผู้ยึดถือความภักดี แม้ข้ามีชื่อเสียงด้านความสามารถ แต่แรกเริ่มรับใช้หนานฉู่ ต่อมารับใช้ต้ายง อีกทั้งยังตบแต่องค์หญิงฉางเล่อเป็นภรรยา จี้เสวียนผู้นี้ต้องเห็นข้าเป็นคนถ่อยขุนนางสองแผ่นดินเป็นแน่แท้ หากมิใช่เพื่อชีวิตของชายหนุ่มผู้นั้น บัณฑิตเฒ่าคนนี้คงเสียดสีประชดประชันข้าสักยกไปแล้วกระมัง
ข้ามองสถานการณ์ออกจึงไม่แสดงสีหน้าเคารพเลื่อมใสอีก แล้วเลี่ยงประเด็นเอ่ยขึ้นว่า “สหายท่านนั้นเรียกขานท่านผู้เฒ่าว่าท่านลุง หรือจะเป็นหลานชายของท่าน”
จี้เสวียนสีหน้าเศร้าสร้อย ตอบว่า “เด็กคนนี้นามว่าจ้าวเหลียง นามรองว่าเหวินซาน เป็นบุตรของจ้าวอี๋สหายรักที่ไต้โจวของข้า สหายของข้ากับภรรยาตายในสงคราม เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กจึงเติบใหญ่อยู่ข้างกายข้า ข้ากับบิดาของเขานับถือกันเป็นพี่น้อง เด็กคนนี้จึงเรียกข้าว่าท่านลุง แต่ความจริงแล้วผูกพันกันดุจบิดาบุตร
หลายวันก่อนได้ยินข่าวกองทัพต้ายงบุกชิ่นโจว เข่นฆ่าสังหารประชาชนตามรายทาง ชาวบ้านหวั่นเกรงจะไม่ปลอดภัยจึงอพยพหนีขึ้นเหนือกันหมดแล้ว มีเพียงข้าร่างกายป่วยไข้หนักหนา ทนลำบากเดินทางมิไหวจึงได้แต่รั้งอยู่ที่แห่งนี้รอความตาย เด็กคนนี้กตัญญูยิ่งนัก ดื้อรั้นมิยอมหนีไปตามลำพัง หวังว่าท่านโหวจะเห็นแก่ที่หลานชายยังโง่เขลาจึงกระทำบุ่มบ่ามกับหัวใจกตัญญูของเขา ละเว้นชีวิตของเขาด้วยเถิด”
ข้ามองจ้าวเหลียงผู้นั้นปราดหนึ่ง ในใจรู้สึกนับถืออย่างยิ่ง คนผู้นี้เป็นบุตรกตัญญูผู้หนึ่งอย่างแท้จริง เพื่อท่านลุงแล้ว เขามิไยดีความเป็นความตาย ดูจากที่เมื่อครู่เขาขวางประตูไว้ตลอด คงเป็นกังวลว่าพวกเราจะทำร้ายท่านลุงของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเขาเติบโตมาข้างกายจี้เสวียน ย่อมต้องร่ำเรียนคัมภีร์และพงศาวดารมาอย่างลึกซึ้ง วรยุทธ์ของเขาก็ดูมิเลว เป็นคนเก่งที่เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ผู้หนึ่ง
แม้พวกเขาเป็นคนเป่ยฮั่น แต่จี้เสวียนก็น่าจะไม่มีจิตใจภักดีต่อราชวงศ์เป่ยฮั่น จ้าวเหลียงผู้ได้รับอิทธิพลมาก็น่าจะมิถึงขั้นกีดกันต้ายง จ้าวเหลียงผู้นี้เป็นคนมีความสามารถน่าชักชวนเป็นพรรคพวก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าจึงเผยรอยยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้สหายน้อยจ้าวก็เป็นคนกตัญญูยิ่งนัก แม่ทัพฮูเหยียน ท่านถอยออกมาเถิด ลูกน้องใต้บัญชาล่วงเกินแล้ว ขอสหายน้อยอภัยด้วย”
ฮูเหยียนโซ่วเก็บดาบแล้วถอยออกมา จ้าวเหลียงผู้นั้นลุกขึ้นยืน รีบร้อนเดินเข้าไปประคองจี้เสวียน จ้าวเหลียงเพิ่งเก็บชีวิตกลับมาจากปากประตูผี สีหน้าจึงยังซีดเผือดอย่างยิ่ง เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านโหวน้ำใจกว้างขวาง จ้าวเหลียงซาบซึ้งเป็นที่สุด ขอท่านโหวโปรดเมตตา อย่าได้ทำอันตรายชีวิตของท่านลุง”
ข้าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านผู้เฒ่าจี้เป็นยอดปราชญ์ เจียงเจ๋อเป็นบัณฑิตรุ่นหลัง ไฉนจะกล้ามีจิตคิดทำร้าย เพียงแต่กองทัพข้าเพิ่งพ่ายศึก ต้องใช้เวลาจัดทัพสักช่วงหนึ่ง ขอให้สหายน้อยจ้าวอยู่ในหมู่บ้านอย่าได้เคลื่อนไหวตามอำเภอใจ เมื่อผู้แซ่เจียงจากไปแล้ว ทั้งสองท่านย่อมเป็นอิสระ”
ใบหน้าของจ้าวเหลียงฉายแววยินดี ข้าเห็นสีหน้ายินดีของเขาก็ทราบว่าเขามิใช่คนมากเล่ห์เหลี่ยม ในใจยิ่งนึกชื่นชอบ จึงกล่าวว่า “เดิมทีในหมู่บ้านมีบ้านว่างอยู่ไม่น้อย แต่ลูกน้องของข้าส่วนมากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าพวกเขาจะมิรู้มารยาททำให้ท่านผู้เฒ่าจี้ตกใจ อีกอย่างข้าก็นึกชอบความสงบของที่แห่งนี้ มิทราบว่าท่านผู้เฒ่าจี้จะยอมให้ผู้แซ่เจียงพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
จี้เสวียนแค่นเสียงหนักๆ ครั้งหนึ่ง หากมิเป็นห่วงชีวิตของจ้าวเหลียง เขาจะยอมให้คนไร้ความจงรักขาดความภักดีเช่นนี้พักในบ้านของตนได้เช่นไร แต่สถานการณ์บีบบังคับ เขาไร้ทางเลือก จึงเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “ท่านโหวบัญชา ข้าไฉนจะกล้ามิทำตาม เรือนซอมซ่อมิน่าดู ขายหน้าท่านโหวแล้ว เหลียงเอ๋อร์ เก็บข้าวของสักหน่อย พวกเราไปพักที่อื่นกัน”
ข้าเกือบจะหัวเราะออกมา บัณฑิตเฒ่าผู้นี้น่าสนใจจริงๆ นี่จะประชดว่าข้าเป็นนกเขาชิงรังนกสาลิกาหรือ แต่ในใจข้ากลับรู้สึกยินดีพอสมควรทีเดียว อย่างน้อยจี้เสวียนผู้นี้ก็รู้จักยอมถอย ข้าไม่ชอบพวกคนเก่งหัวรั้นมิยอมฟังคำผู้อื่นเป็นที่สุด แต่คนประเภทนี้ล้วนมีความสามารถยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงโด่งดัง หากข้าถูกบีบจนต้องสังหารจี้เสวียน เมื่อเล่าลือออกไป ไยมิเสื่อมเสียชื่อเสียงยิ่งนัก
ท่ามกลางหมู่คนมากมาย ผู้ที่มีความสามารถพื้นๆ มีดาษดื่น แต่ผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่ สิ่งภายนอกมิอาจทำให้หวั่นไหว ทั้งยังมีสติปัญญาสูงส่งกลับหาได้ยากนัก แม้ว่าข้าจะดันพบคนเช่นนี้มาหลายคนก็ตาม
คนแรกคือเสี่ยวซุ่นจื่อ อย่าเห็นว่ายามอายุน้อยเขาเหมือนจะเป็นคนกลิ้งกลอกเชียว เวลานี้เขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว ความตั้งใจของเขามิมีผู้ใดสั่นคลอนได้ โชคดีสวรรค์คุ้มครอง เขาจึงตั้งใจมุ่งมั่นปกป้องข้า มองข้าเป็นเสมือนหนึ่งสหายสนิทและครอบครัว เขามิยอมให้ผู้ใดทำอันตรายข้าได้โดยเด็ดขาด รวมถึงตัวข้าเองด้วย มิเช่นนั้นครั้งนั้นที่ชิวอวี้เฟยลอบสังหารข้า เสี่ยวซุ่นจื่อคงไม่โกรธจัดที่ข้าเอาตัวเองไปเสี่ยงจนข้าถูกต่อว่าอยู่หลายวัน
อีกคนหนึ่งก็คือลู่ช่าน เขาเป็นลูกศิษย์ในวันวานของข้า เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะจงรักภักดีต่อหนานฉู่ หลายวันก่อนมีรายงานจากสายลับในเจียงหนานส่งมาถึง ลู่ช่านยอมละทิ้งแผนการฉวยโอกาสโจมตีต้ายงเพราะราชโองการที่ซั่งเหวยจวินเขียนขึ้นแทนจ้าวหล่งเจ้าแคว้นหนานฉู่
นี่เป็นเรื่องที่ข้ามิอาจจินตนาการได้ แต่เขาก็ทำเช่นนี้ไปเสียแล้ว มิหนำซ้ำเขายังยินยอมพร้อมใจถูกซั่งเหวยจวินกักตัวไว้ที่เจี้ยนเย่ ดูท่าเขาคงไม่มีวันทำเรื่องผิดต่อคุณธรรมของขุนนางเด็ดขาด แม้จะดีใจยิ่งนักที่ลดทอนแรงกดดันทางใต้ของต้ายงได้เพราะเหตุนี้ แต่ข้าก็ไม่คาดหวังแล้วว่าวันหน้าลู่ช่านจะยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง
ความจริงยังมีอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือฉีอ๋องหลี่เสี่ยน เขาก็เป็นคนหัวรั้นผู้หนึ่งเช่นกัน สาเหตุที่ตอนนี้ยอมฟังคำพูดของข้า เป็นเพราะเหตุผลเพียงประการเดียวนั่นก็คือเขาเห็นคล้อยตามข้า ดูจากการกระทำทั้งหลายในตอนแรกของเขาก็ทราบแล้วว่าหากคนผู้นี้ตัดสินใจอันใดขึ้นมาแล้ว ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนได้เป็นอันขาด
กล่าวไปแล้วข้าก็นับว่าโชคดียิ่งนักที่คนผู้นี้ไม่เคยคิดจะเอาตนเองไปแย่งชิงราชบัลลังก์ของต้ายง มิเช่นนั้นต่อให้หลี่จื้อจะชนะก็คงเป็นชัยชนะที่บาดเจ็บยับเยิน ด้วยนิสัยของหลี่เสี่ยน เขาย่อมทำให้ราชสำนักต้ายงพลิกฟ้าพลิกดินได้
ข้าก่นด่าสาปแช่งหลี่เสี่ยนอยู่ในใจหลายประโยค ตอนแรกในใจข้าก็สังหรณ์ไว้อยู่แล้วเชียว แต่หากบอกให้หลี่เสี่ยนถอยทัพอย่างไม่มีสาเหตุ เขาคงมิมีทางยอมฟัง ข้าจึงมิได้เอ่ยปาก ผลสุดท้ายดูสิข้าต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้
ข้าหยุดความคิดวุ่นวายในใจ แล้วเรียกจ้าวเหลียงผู้กำลังจะเข้าไปเก็บสัมภาระเอาไว้ จากนั้นกล่าวอย่างรู้สึกผิด “สหายน้อยจ้าวช้าก่อน ท่านผู้เฒ่าอย่าได้กล่าวเช่นนี้ เจียงเจ๋อเป็นอนุชนคนรุ่นหลัง จะกล้าขับไล่ท่านผู้เฒ่าออกจากที่พำนักได้เช่นไร เจียงเจ๋อเห็นสองฝั่งมีเรือนข้างอยู่ ยืมสักหลังหนึ่งให้เจียงเจ๋อพักอาศัยก็เพียงพอ มิทราบท่านคิดเห็นเช่นไร”
จี้เสวียนสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ข้ายอมให้เช่นนี้ เขายากจะใช้วาจาเลวร้ายตอบกลับ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “หากเป็นเช่นนี้ก็ขอบคุณท่านโหวที่เอื้ออารี ห้องรับรองแขกในเรือนข้างฝั่งตะวันออกเหลียงเอ๋อร์ปัดกวาดอยู่เสมอ ขอท่านโหวยอมทนใช้สักหน่อย”
ข้ายิ้มรับ ขี่ม้ามาครึ่งวัน ข้าแทบจะทนมิไหวอยู่แล้ว ข้านวดขมับแล้วฝืนตอบว่า “ผู้เยาว์ร่างกายอ่อนแอ ตรากตรำเดินทางมิใคร่ไหว ต้องขอตัวก่อน เชิญท่านผู้เฒ่ากลับห้องไปพักผ่อนเถิด วันพรุ่งนี้เจียงเจ๋อยังต้องขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าอีก”
จี้เสวียนเห็นข้าสีหน้าซีดเผือด หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดซึม อีกทั้งความจริงตัวเขาเองก็มีโรคภัยรุมเร้านานปี เมื่อครู่สนทนาอยู่เนิ่นนานปานนั้นล้วนอาศัยความตั้งใจฝืนอยู่ทั้งสิ้น จึงประสานมือคำนับขอตัวลา กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องเช่นกัน ข้าได้เสี่ยวซุ่นจื่อประคองเข้ามายังเรือนข้าง เรือนข้างหลังนั้นสะอาดเรียบร้อยดังคำกล่าว มิจำเป็นต้องจัดแจงนัก ข้าถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งแล้วเอนหลังลงบนเตียง หัวถึงหมอนก็เข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะในทันที