ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 4 ความผิดของอู๋ตี๋ (2)
ชิวอวี้เฟยฟังออกว่าตอนพูดถึงหอเฟยเยี่ยน น้ำเสียงของต้วนอู๋ตี๋ผิดแผกไปเล็กน้อย เขาจดจำเรื่องนี้ไว้ ในใจคิดว่า ข้าจะไปลองถามศิษย์พี่เซียว เขาต้องเข้าใจสายสนกลในของเรื่องนี้เป็นแน่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่ทัพต้วน พวกท่านก็ชะลอการเดินทางไว้ก่อน ข้าจะพาหลิงตวนไปก่อนก้าวหนึ่ง ดูว่าจะไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ได้หรือไม่”
ต้วนอู๋ตี๋ตอบอย่างยินดี “มิว่าเรื่องจะสำเร็จหรือไม่ ข้าขอขอบคุณน้ำใจของคุณชายสี่”
ชิวอวี้เฟยหมุนตัวจากไป หลังจากขึ้นม้าก็ห้อตะบึงไปยังเมืองชิ่นโจวทันที สีหน้าเขาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง หัวใจสับสนยิ่งนัก จู่ๆ เหตุใดสืออิงกับต้วนอู๋ตี๋จึงขัดแย้งกันขึ้นมา เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าเรื่องนี้จะต้องมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ ไม่แน่อาจเป็นเล่ห์ร้ายของสายลับต้ายงก็เป็นได้ ชิวอวี้เฟยขบคิดในใจนับร้อยตลบ แล้วนึกย้อนถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินที่เจ๋อโจวอย่างละเอียด
ยามนั้นเขาจดจ่อแต่กับการลอบสังหารเจียงเจ๋อ แม้ได้ยินเรื่องบางอย่าง แต่ประการแรก คำพูดของพวกเจียงเจ๋อคลุมเครือนัก ประการที่สอง เขาไม่รู้สถานการณ์ในกองทัพของชิ่นโจวดีเท่าใด ดังนั้นจึงได้แต่ฟังประหนึ่งสายลมผ่านหู ไม่รู้สึกว่าผิดปกติที่ใด แต่ยามนี้เมื่อนึกทบทวน กลับมีจุดที่แปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย
วันนั้นก่อนเขาลอบสังหาร ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนเคยเขียนสารส่งมาบอกว่ามีเรื่องด่วนในกองทัพ แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ ทั้งยังเป็นหน้าเหมันต์ ผืนดินมีแต่หิมะ มิอาจเปิดศึกกันได้อย่างสิ้นเชิง จะมีเรื่องการทหารอันใดเร่งด่วนเช่นนั้นเล่า ทันใดนั้นในใจชิวอวี้เฟยก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
คำนวนจากเวลาแล้ว ช่วงประมาณวันที่ตนลอบสังหารก็คือเวลาที่ท่าทีของสืออิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันพอดี หรือว่าเรื่องนี้จะถูกกองทัพต้ายงสอดแนมพบ บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการยุแยงตะแคงรั่วของกองทัพต้ายง
เมื่อความคิดนี้บังเกิดก็ประหนึ่งไฟป่าโหมลามอย่างฉับพลันไม่หยุดยั้ง ชิวอวี้เฟยนึกย้อนถึงเรื่องที่หลิงตวนเคยบอกเขา หลี่หู่ถูกพาตัวไป ได้ยินว่าทหารที่ติดตามสืออิงไปดักสังหารฉีอ๋องกับเจียงเจ๋อแล้วตกเป็นเชลยล้วนถูกสังหารหมดสิ้น หลิงตวนเคยได้ยินว่าคำว่าสังหารปิดปาก นี่คือการปิดปากเรื่องใด หรือว่าสืออิงจะคิดคด
เมื่อขบคิดถึงตรงนี้ ชิวอวี้เฟยก็เก็บซ่อนความตกตะลึงในหัวใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เขาหวดแส้ หมายมาดว่าจักต้องเร่งไปบอกกล่าวเรื่องนี้กับหลงถิงเฟยให้จงได้ แม้เขาจะมิค่อยเข้าใจเรื่องนี้นัก แต่เมื่อเกี่ยวพันกับแม่ทัพคนสำคัญทั้งสองย่อมมิอาจไม่จัดการอย่างรอบคอบ
“มัชฌิมยามลมหวนหิมะโปรยปราย สายสมรชายชิดเชยหมู่ดอกท้อ ฝันเอยฝันหวานโปรดรั้งรอ ข้าวอนขออย่าต้องลืมตาจากบังอร บัดนั้นสดับเสียงแตรอึงอล อัสสุชลจับแข็งอยู่ข้างหมอน อาชาศึกกรีดร้องบทจร แสงดาวรอนอาบไล้ธวัชชัย”
ภายในห้องโถงใหญ่ของหอเฟยเยี่ยน หอคณิกาชื่อดังที่สุดแห่งเมืองชิ่นโจวมีลูกค้ามากมาย ทั้งเศรษฐีชนชั้นสูง ทั้งบัณฑิตและพลทหาร ลูกค้าจำนวนมากที่สุดคือแม่ทัพในกองทัพผู้สวมอาภรณ์ตามสบาย หญิงสาวผู้เกล้ามวยผมแลดูดั่งก้อนเมฆนางหนึ่งกรีดนิ้วเล่นผีผา เปล่งเสียงสูงร้องขับขาน แม้เป็นเพียงสตรีบอบบางนางหนึ่ง แต่น้ำเสียงดั่งแก้วมณี สุ้มเสียงทรงพลัง ใสกระจ่างดั่งน้ำแข็ง ทำให้ผู้คนฟังจนลุ่มหลงเมามาย
ชิ่นโจวเป็นที่ตั้งค่ายทหารของแม่ทัพใหญ่ ย่อมมีแม่ทัพมากมาย หอเฟยเยี่ยนเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งแห่งชิ่นโจว ผู้ที่เข้ามาในหอแห่งนี้ได้ล้วนเป็นแม่ทัพระดับสูง หรือชนชั้นสูงคนอื่น หญิงขับร้องผู้กำลังบรรเลงเครื่องดนตรีขับขานบทเพลงอยู่ในห้องโถงเวลานี้นามว่าชิงไต้ หลายเดือนก่อนนางเดินทางมาถึงชิ่นโจวแล้วเลือกหอเฟยเยี่ยนเป็นสถานที่หลักในการขับขานบทเพลง
แม่นางชิงไต้ผู้นี้อยู่ในวัยบุปผาบานสะพรั่ง หน้าตางามหมดจด คิ้วเรียวยาวจดไรผม ทว่าแม้ในยามขับขานบทเพลง สีหน้าของนางก็ยังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง หลังบทเพลงจบ นางมิเคยขอรับเงินรางวัล สนทนากับแขกก็เพียงน้อยนิดไม่กี่คำ บุคลิกเย่อหยิ่งถือตัวจนทำให้ผู้คนมิกล้าล่วงเกินง่ายๆ
นางคือหญิงขับร้องชื่อดังแห่งเป่ยฮั่น น้ำเสียงใสกังวาน ชำนาญการขับขานบทเพลงชื่อดัง มือดีดผีผา สร้างชื่อทั่วหล้า เดินทางไปยังสถานที่ใด ทุกแห่งล้วนมีผู้มาชื่นชมท่วมท้น สิ่งที่สตรีนางนี้แตกต่างจากผู้อื่นก็คือนางชำนาญวิชากระบี่ ข้างกายพกกระบี่ยาว บนหลังสะพายผีผา เดินทางเพียงลำพัง ขายศิลป์มิขายเรือนร่าง
หากมีคุณชายเสเพลหรือผู้มีอำนาจคิดจะหยามหมิ่นนาง สตรีผู้หยิ่งทะยงนางนี้ล้วนมิยินยอม เคยใช้กระบี่ทำร้ายคนด้วยเหตุนี้หลายคนแล้ว แต่ขุนนางตามจวนว่าการเห็นใจการครองตัวบริสุทธิ์ของนาง ทั้งยังมีขุนนางที่ชื่นชมนางมากมายมาขอร้องแทน นางจึงมิต้องโทษเข้าคุก ชาติกำเนิดของชิงไต้เป็นเรื่องคลุมเครือ มีคนเล่าว่าสตรีนางนี้เดิมเป็นสตรีมีชาติตระกูล แต่หลังตระกูลล่มสลายมิยินดีเป็นบ่าวไพร่ของผู้อื่น ยอมขายเสียงเพลงหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นผู้คนจึงค่อนข้างนับถือนาง
บทเพลงจบลง เสียงปรบมือดังกึกก้องห้องโถง ชิงไต้ยอบกายคำนับผู้ชมแล้วอุ้มผีผาจากไป นางเป็นเช่นนี้เสมอ เมื่อจบบทเพลงก็ออกจากห้องโถงแสดงทันที เมื่อออกจากห้องโถงใหญ่แล้ว ชิงไต้จึงเก็บผีผาใส่ในถุง หญิงรับใช้ที่หอเฟยเยี่ยนส่งมาดูแลชิงไต้นางหนึ่งรับผีผามาแล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่ไต้ แม่ทัพสือรอท่านอยู่ที่ห้องโถงเล็ก ท่านไปหาสักหน่อยเถิด”
ชิงไต้พยักหน้า เอ่ยตอบเสียงเย็นชา “ข้าลบเครื่องประทินโฉมแล้วจะไป”
หญิงรับใช้นางนั้นรีบสั่งสาวใช้อายุน้อยอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงดูแลพาชิงไต้กลับไปยังที่พัก
เสียงขับขานของชิงไต้เหนือกว่าผู้ใด ชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือ ดังนั้นหอเฟยเยี่ยนจึงตั้งใจจัดเตรียมที่พักเป็นหอน้อยหลังหนึ่งให้นาง ด้วยเหตุที่ชิงไต้มิชอบสุงสิงกับผู้คน ดังนั้นหอน้อยหลังนี้จึงตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลมิให้ผู้ใดรบกวน หลังจากชิงไต้ขึ้นมาบนหอแล้ว นางก็ส่องกระจกทองแดงเช็ดล้างเครื่องประทินโฉม มีหญิงรับใช้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้ก่อนแล้ว
หลังจากนางชำระล้างร่างกายเสร็จจึงเปลี่ยนมาสวมเสื้อไหมบุขนสัตว์สีเขียวตัวหนึ่งแล้วหยิบปิ่นทองระย้าเล่มหนึ่งออกมาจากกล่องเครื่องประดับ นอกจากสิ่งนี้ บนร่างก็มิมีเครื่องประดับชื่นอื่นอีก นางรับผ้าคลุมสีแดงผืนใหญ่ที่หญิงรับใช้ส่งให้มาคลุมกาย จากนั้นจึงเดินออกมาด้านนอก หญิงรับใช้รีบถือผีผาติดตามมา
นางเดินข้ามสะพานหินแห่งหนึ่งจนมาถึงห้องโถงชมบุปผาอันงดงามที่ซ่อนอยู่หลังหมู่สนเขียวขจี หน้าห้องโถงมีชายฉกรรจ์ยืนอยู่สี่คน แม้พวกเขาต่างสวมชุดธรรมดา แต่เพียงมองดูท่าทางกับบรรยากาศรอบตัวพวกเขาก็ทราบได้ว่าเป็นทหารกล้าในกองทัพ เมื่อเห็นชิงไต้มาถึง สี่คนนั้นต่างผงกศีรษะทักทาย ชิงไต้ยอบกายตอบเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงผลักประตูเดินเข้าไปในโถงบุปผา
โถงบุปผาแห่งนี้มีบริเวณหลายจั้ง กว้างขวางสว่างไสวยิ่งนัก เมื่อเข้าประตูมาก็เห็นเตียงเตาหลังหนึ่งปูพรมสีแดงไว้ด้านบน บนเตียงเตามีโต๊ะไม้แดงเตี้ยๆ ตัวหนึ่งวางอยู่ บนโต๊ะวางกับแกล้มเอาไว้ บนพื้นยังวางเตาไฟขนาดใหญ่ไว้อีกเตาหนึ่ง ช่องปล่อยควันหันมาทางนอกห้องโถง บนเตาไฟวางกาทองแดงบรรจุสุราอยู่กาหนึ่ง ข้างใต้เตาไฟกับเตียงเตาเชื่อมต่อกัน อุ่นสุราไปด้วยให้ความอบอุ่นกับเตียงเตาไปด้วย ภายในห้องอุบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ
สืออิงนั่งร่ำสุราอยู่บนเตียงเตา มีหญิงรับใช้อยู่สองนาง คนหนึ่งอุ่นสุรา อีกคนหนึ่งจัดวางอาหาร บนเก้าอี้ด้านข้างวางเสื้อคลุมตัวใหญ่กับดาบคู่กาย ดูท่าภายในห้องคงค่อนข้างร้อน สืออิงจึงถอดเสื้อตัวนอกออก สวมเพียงอาภรณ์ชั้นกลาง บนร่างมีกลิ่นสุราโชยออกมา
ชิงไต้เดินเข้ามาก็ได้กลิ่นสุราตลบอบอวล คิ้วขมวดมุ่นอย่างห้ามมิได้ “แม่ทัพสือ อาการบาดเจ็บของท่านยังมิหายดี อย่าเพิ่งดื่มสุราเลย” พูดพลางก็ก้าวเข้าไปชิงจอกสุรามา แล้วมองหญิงรับใช้สองนางนั้นอย่างเย็นชา หญิงรับใช้ทั้งสองนางรู้จักกาลเทศะจึงถอยออกไป ชิงไต้ได้กลิ่นสุราฟุ้งอยู่ภายในห้องจึงเดินไปเปิดหน้าต่าง ลมหนาวโถมเข้าใส่ใบหน้า ทันใดนั้นกลิ่นสุราก็ถูกพัดกระจายไปไม่น้อย
สืออิงเงียบงันมิพูดจา ปล่อยให้ชิงไต้ฉวยกาสุราไป สายตาที่เขามองชิงไต้เต็มไปด้วยประกายเร่าร้อน นึกถึงหนแรกยามพานพบ เวลานั้นหลงถิงเฟยนำกองทัพทำศึกที่เจ๋อโจว ต้วนอู๋ตี๋ดูแลการป้องกันเมือง เพราะเขาบาดเจ็บหนักจึงมิได้ติดตามกองทัพไปด้วย ระหว่างเบื่อหน่ายจึงมาหอเฟยเยี่ยนเพื่อฟังดนตรี จวบจนวันนี้เขาก็ยังจำชิงไต้ยามแรกพบได้ โฉมสะคราญผู้จดจ่อสมาธิขับขานบทเพลงอยู่บนเวทีผู้นั้น ใต้ความงามพิสุทธิ์แฝงความดื้อรั้น แม้ตัวอยู่ท่ามกลางความงดงามหรูหรา แต่นางกลับทำตัวเหินห่างเฉยชาดั่งผู้อยู่วงนอก
แม้อายุเกินสามสิบหกปีแล้ว แต่สืออิงผู้มิเคยคิดมีครอบครัวกลับจมดิ่งลงไปในดวงเนตรใสกระจ่างลึกล้ำคู่นั้น เขามิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ขอชิงไต้เป็นคู่ครอง ปรารถนาจะตบแต่งนางเป็นภรรยา อีกทั้งสาบานว่าจะมิมีวันรับอนุภรรยา แต่ชิงไต้กลับปฏิเสธอย่างสงบนิ่ง เมื่อตนถามไถ่หลายครั้งเข้า ในที่สุดชิงไต้จึงเอ่ยบอกสาเหตุที่ปฏิเสธกับเขา หลังจากได้ยินสาเหตุ เพลิงโทสะรุ่มร้อนก็ทำลายสติปัญญาของสืออิงจนสิ้นในทันใด
ชิงไต้เพียงเล่าให้เขาฟังว่าเมื่อหลายปีก่อนนางถูกยอดฝีมือฉุดไปหยาบหยามย่ำยีจนสูญเสียความบริสุทธิ์ ฐานะของคนผู้นั้นไม่ธรรมดา ชิงไต้ต่อสู้แลกชีวิตจึงหนีออกมาจากเงื้อมมือของคนผู้นั้นได้ ทว่าแม้ทราบตัวตนของคนผู้นั้น แต่ติดที่ผู้อื่นมิเชื่อ ดังนั้นตลอดมาชิงไต้จึงไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้ สืออิงเค้นถามตัวตนของคนผู้นั้น ชิงไต้ก็เพียงเหยียดยิ้มไม่ตอบ สืออิงจนปัญญาจึงได้แต่แวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง หวังว่าจะครอบครองหัวใจของชิงไต้
น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ความรักอันลึกซึ้งทำให้สวรรค์ซาบซึ้ง ชิงไต้คล้ายจะใจอ่อนลงบ้างแล้ว นางจึงเริ่มยอมพบปะกับสืออิง แม้สีหน้ายังคงเย่อหยิ่งแต่มิแลดูเหมือนกีดกันคนให้อยู่ห่างพันลี้เช่นเดิมแล้ว จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนสืออิงลากต้วนอู๋ตี๋มาร่ำสุราด้วยกันที่หอเฟยเยี่ยน ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อพบชิงไต้ สีหน้าของต้วนอู๋ตี๋ก็เปลี่ยนไปในทันใด ท่าทางวิตกกังวลยิ่งนัก ส่วนชิงไต้เมื่อเห็นต้วนอู๋ตี๋ก็โกรธจัดอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
สืออิงนึกสงสัยอยู่ในใจจึงตะล่อมถามจนได้ทราบจากปากชิงไต้ว่าต้วนอู๋ตี๋ก็คือคนที่ย่ำยีความบริสุทธิ์ของชิงไต้ในวันนั้น สืออิงโกรธจัดจะไปถามเอาความกับต้วนอู๋ตี๋ แต่ชิงไต้ยื้อยุดฉุดเขาไว้ไม่ปล่อย นางร่ำไห้อย่างเจ็บปวด
“ข้าเป็นเพียงหญิงขับร้องต่ำต้อยนางหนึ่ง มิต้องพูดถึงเรื่องนี้ไร้พยาน ต่อให้มีพยาน แล้วจะทำอันใดเขาได้ ผู้อื่นไม่กล่าวหาว่าข้าเป็นนางจิ้งจอกยั่วยวนเขาก็นับว่าดีแล้ว แม้ให้แม่ทัพใหญ่ช่วยทวงความเป็นธรรม อย่างมากที่สุดก็คงจะให้เขาตบแต่งกับข้า แม้ข้าจะสูญเสียความบริสุทธิ์ แต่มิปรารถนาจะปรนนิบัติรับใช้คนชั่วเช่นนั้น”
สืออิงฟังจบหัวใจร้าวรานแทบสิ้นใจ เขาขบคิดอยู่นานนัก ในที่สุดก็คิดได้ว่าหากตนหาวิธีสังหารต้วนอู๋ตี๋ได้ ชิงไต้คงซาบซึ้งเป็นแน่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขามองออกว่าชิงไต้มิได้ไม่มีใจให้เขา ถึงเวลาหากตนวอนขอจากใจจริง ชิงไต้ต้องยอมแต่งงานกับเขาแน่ แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นสืออิงเคยหยั่งเชิงต้วนอู๋ตี๋แล้ว ทุกครั้งที่เขาเอ่ยถึงชิงไต้ ต้วนอู๋ตี๋มักหลบเลี่ยงเบี่ยงประเด็นเสมอ สืออิงบันดาลโทสะจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะจัดการต้วนอู๋ตี๋ และโอกาสนั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
สืออิงมองชิงไต้ เขาอยากพูดบางสิ่งที่แต่ก็หยุดไว้ เรื่องนี้ยังไม่แน่นอน เขาตัดสินใจจะรอให้ต้วนอู๋ตี๋ถูกลงโทษประหารก่อนค่อยกล่าวกับชิงไต้ ทั้งสองคนเพิ่งพูดจากันได้ไม่กี่คำ ทันใดนั้นก็มีองครักษ์คนสนิทเข้ามารายงานว่า “ท่านแม่ทัพ แม่ทัพใหญ่เรียกท่านไปพบ”
องครักษ์คนสนิทผู้นี้มิได้เอ่ยกระจ่างแจ้ง แต่ลอบส่งสายตาครั้งหนึ่ง สืออิงพลันเข้าใจความนัย ทราบว่าต้วนอู๋ตี๋ถูกจับกลับมาแล้วดังคาด หัวใจพลันยินดี เอ่ยขึ้นว่า “ชิงไต้ กองทัพมีธุระ ข้าต้องกลับไปก่อน”
ชิงไต้ยิ้มละไมตอบ “เจ้าค่ะ แต่ท่านดื่มสุรามากมายเช่นนี้ไปพบแม่ทัพใหญ่คงไม่เหมาะอยู่บ้าง เมื่อครู่ข้าให้หญิงรับใช้ไปนำน้ำแกงสร่างเมามาแล้ว ท่านดื่มสักถ้วยค่อยไป อย่าลืมไล่กลิ่นสุราด้วย”
สืออิงฟังจบ หัวใจพลันรู้สึกอบอุ่น เขาขานรับย้ำๆ หลายครั้ง ยามเขาเดินเชิดศีรษะจากไปจึงมิได้เห็นประกายเย็นยะเยือกฉายวาบผ่านดวงตาของชิงไต้ ตาข่ายถูกวางดักสมบูรณ์แล้ว เสือร้ายผู้ตกอยู่ในตาข่ายไม่มีทางดิ้นหลุดได้อีกต่อไป
เมื่อสืออิงจากไปแล้ว ชิงไต้จึงเรียกหญิงรับใช้แล้วรับผีผามา สิบนิ้วกรีดกราย เสียงไพเราะเสนาะโสตบรรเลงท่อนที่หกของบทเพลง ‘ดักซุ่มสิบทิศ’ อันโด่งดัง แม้บทเพลงนี้ถ่ายทอดกันแพร่หลาย แต่ผู้ที่บรรเลงได้อย่างไร้ที่ติมีอยู่น้อยนิดเพียงไม่กี่คน
ชิงไต้บรรเลงอยู่ครู่หนึ่ง สรรพเสียงรอบด้านเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงดนตรีใสรื่นหูสะท้อนก้องกังวาน ชิงไต้บรรเลงท่อนที่หกซ้ำหลายหนก่อนจะหยุดมือไม่บรรเลงต่อ นางถอนหายใจแผ่วเบาแล้วลุกขึ้นจากไป
เรื่องราวช่างบังเอิญนัก ชิวอวี้เฟยผู้ห้ออาชาเข้ามาในเมืองบังเอิญผ่านหอเฟยเยี่ยนเวลานี้พอดี เสียงผีผาของชิงไต้กังวานดั่งทะลุถึงชั้นฟ้า ชิวอวี้เฟยต้องหยุดม้าเงี่ยหูพินิจฟังอย่างห้ามใจไม่ไหว เขามีพรสวรรค์เป็นเลิศในศาสตร์ดนตรี ฟังเพียงครู่เดียว ดวงตาก็เปล่งประกายวิบวับ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “บรรเลงท่อน ‘ดักซุ่ม’ ได้ยอดเยี่ยมนัก ใต้หล้ามีไม่กี่คนที่บรรเลงได้ ทว่าเหตุไฉนจึงแฝงไอสังหารเลือนรางคล้ายมีเจตนาแน่วแน่แฝงอยู่”
ใจจริงของชิวอวี้เฟยอยากไปพบยอดฝีมือผู้ดีดผีผาคนนั้นเสียเดี๋ยวนี้ แต่เรื่องของต้วนอู๋ตี๋ยังไม่คลี่คลาย เขาลังเลเพียงชั่วครู่ สุดท้ายก็ชักอาชาวิ่งทะยานไปยังจวนของแม่ทัพใหญ่