ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 48 ชีวิตแลกชีวิต (3)
มีราชองครักษ์หู่จีรับบัญชาคุมตัวเขาออกไป หลิงตวนมิมีท่าทีขัดขืนแม้แต่น้อย เขาทิ้งมือลงข้างตัวเดินออกไปอย่างเงียบงัน ไม่นานเสียงแส้หนังกระทบเนื้อก็ดังมาจากไกลๆ
จัดการหลิงตวนเสร็จแล้ว ข้าจึงมองไปทางต้วนหลิงเซียวแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ข้าจัดการเช่นนี้ คุณชายใหญ่มีสิ่งใดแย้งหรือไม่”
ดวงตาของต้วนหลิงเซียวฉายแววยินดีจางๆ ตอบว่า “ท่านโหวเมตตายอมละเว้นชีวิตหลิงตวน ผู้แซ่ต้วนซาบซึ้งประหนึ่งได้รับด้วยตนเอง ต่อให้ท่านโหวตระบัดสัตย์เอาชีวิตผู้แซ่ต้วนตอนนี้ ผู้แซ่ต้วนตายก็มิเสียดาย”
ข้ายิ้มละไม ต้วนหลิงเซียวมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ ดูจากที่ข้าสั่งลงโทษหลิงตวนก็ทราบแล้วว่าข้ามิมีเจตนาจะสังหารเขา ประการแรก ข้าเคยหลอกใช้หลิงตวน จึงเลี่ยงรู้สึกผิดต่อเขาอยู่บ้างมิได้ ประการที่สอง ข้าชมชอบนิสัยของหลิงตวนยิ่งนัก ในเมื่อเขามิได้สังหารราชองครักษ์หู่จีกับจ้าวเหลียงที่เขาลอบเล่นงาน ข้าก็จะยอมปล่อยให้รอดสักหน
แน่นอนว่าสาเหตุประการสำคัญที่สุดเป็นเพราะหลังจากผ่านเรื่องราวในวันนี้ไป หลิงตวนย่อมต้องมีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาในหัวใจของต้วนหลิงเซียว วันหน้าย่อมกลายเป็นบุคคลสำคัญในพรรคมาร มีคนที่หวั่นเกรงและรู้สึกติดค้างบุญคุณข้าอยู่ในพรรคมารสักคนย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับข้าอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรพรรคมารแห่งเป่ยฮั่นก็จะล่มสลายมิได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการสืบทอดพรรคมารมีเอกลักษณ์ที่มิเหมือนผู้ใด เจตนาดั้งเดิมของข้าก็มิใช่ต้องการทำลายพรรคมาร ถึงอย่างไรฝ่าบาทกับข้าล้วนมิต้องการเห็นสำนักชื่อดังเหล่านั้นอย่างวัดเส้าหลินใหญ่โตขึ้นฝ่ายเดียว ยุทธภพก็เหมือนเช่นราชสำนัก จำต้องมีการคานอำนาจ
ในเมื่อไม่คิดจะสังหารต้วนหลิงเซียว ข้าจึงโบกมือสั่งให้ทุกคนถอยออกไป เหลือแต่เสียวซุ่นจื่อ ฮูเหยียนโซ่วกับซูชิงอารักขาข้างกาย แม้แต่ยอดฝีมือทั้งสี่ก็ให้พวกเขาถอยออกไปไกลๆ ต้วนหลิงเซียวกลับมิฉวยโอกาสสร้างความลำบากให้ อาการบาดเจ็บภายในของเขามิเบา แต่เสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้บาดแผล แล้วยังมีซูชิง ฮูเหยียนโซ่วยอดฝีมือเช่นนี้อยู่ด้านข้าง ต่อให้ต้วนหลิงเซียวถือดีอีกเท่าใดก็ไม่เชื่อมั่นว่าตนเองจะลอบสังหารข้าได้ ผู้ที่ฉลาดและเด็ดขาดเช่นนี้จะทำเรื่องไร้ประโยชน์ได้เช่นไร ดังนั้นข้าจึงแสดงท่าทีเป็นมิตรออกมาเช่นกัน ถึงกระนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็มิยอมปล่อยให้เขาอยู่ห่างตัว บุตรคหบดีย่อมมินั่งใต้ชายคา ข้าก็ระวังอย่างยิ่งเช่นกัน ผู้ใดจะรู้ว่าต้วนหลิงเซียวจะเป็นบ้าขึ้นมาหรือไม่
ข้าเอ่ยอย่างเป็นมิตร “คุณชายใหญ่ต้วน หลิงตวนมิเหมาะจะอยู่ในชิ่นโจวต่อ ข้าจะส่งเขาไปอยู่กับอวี้เฟยที่ตงไห่ มิทราบคุณชายใหญ่คิดเห็นเช่นไร”
ดวงตาต้วนหลิงเซียวทอประกายวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านโหวที่เห็นอกเห็นใจ แม้เด็กคนนี้จะวรยุทธ์ไม่สูง แต่นิสัยและคุณสมบัติล้วนยอดเยี่ยม ข้าเองก็ตัดใจเห็นเขาบาดเจ็บเป็นอันใดไปในสนามรบมิลงเช่นกัน อวี้เฟยเห็นค่าเด็กคนนี้ ส่งเขาไปตงไห่ก็เป็นเรื่องดี ท่านโหวช่างเมตตาหลิงตวนยิ่งนักจริงๆ”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกล่าวว่า “ความเสียดายในชีวิตนี้ของเจียงเจ๋อก็คือการมิได้พบหน้าแม่ทัพถานด้วยตนเองสักหน แม่ทัพถานเหลือองครักษ์คนสนิทไว้เพียงคนเดียวเท่านี้ ข้าไฉนจะตัดใจเอาชีวิตเขาลง”
หัวใจของต้วนหลิงเซียวหวั่นไหว เมื่อเห็นน้ำเสียงของเจียงเจ๋อฟังดูจริงใจก็อดไม่อยู่ ถอนหายใจกล่าวว่า “ถานจี้โดดเดี่ยวและทระนงตราบจนวายชีวา หัวใจเขาเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและโศกเศร้า ในอดีตท่านอาจารย์เคยคิดรับเขาเป็นศิษย์ แต่น่าเสียดายเขามีจิตอาฆาตมากมายเกินไป ดังนั้นจึงได้แต่สั่งให้ข้าถ่ายทอดวรยุทธ์ให้ แม่ทัพถานล่วงลับ ข้าก็ปวดใจยิ่งนักเช่นกัน”
ข้าครวญเพลงเสียงกังวาน “สวรรค์เอยไร้ใจ บันดาลเภทภัยพลัดพราก ดินเอยไร้เมตตา ดลสงครามบังเกิด บิดามารดรเอย สลายเป็นธุลี ปณิธานเอย มลายสิ้นให้ร้าวราน แค้นเอยแม้นสะสางยังมิคลาย พระคุณเอยมากล้นยอมพลีกาย สังหารซากศพเอยเกลื่อนท้องทุ่งข้ามิเสียใจ โลหิตเอยไหลนองทุกข์ทนหม่นไหม้ ท่านถือคันศรแลข้าถือหอก ข้าห้ออาชาแลท่านเคียงบ่าเคียงไหล่ ชิ่นเอ๋ยชิ่นสุ่ยเย็นเยือกฝังร่างข้า แม้นมุ่งปรโลกดวงจิตสงบ เป็นตายมิกลัวแลหัวใจฮึกเหิม พานพบสหายเอยข้าโศกา!”
ต้วนหลิงเซียวฟังอยู่เงียบๆ สีหน้าเศร้าโศก หวนนึกถึงน้ำเสียงและใบหน้าของถานจี้อย่างเงียบงัน ความโศกศัลย์พรั่งพรูในหัวใจ ทันใดนั้นก็ตกใจเมื่อตระหนักว่ายามนี้เขาหักห้ามห้วงอารมณ์มิอยู่ ทั้งที่เขาฝึกปรือวิชาชั้นสูงมาหลายปีจนยากจะมีคลื่นอารมณ์แล้ว ดูท่าอาการบาดเจ็บภายในจะหนักหนากว่าที่คาดคะเนไว้ ทว่าสีหน้าของเขากลับไม่เผยอาการผิดปกติออกมาแม้แต่น้อย กลับเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านโหวช่างย้อนแย้งเสียจริง แม้ถานจี้ตายในมือฉีอ๋อง แต่แผนการก็คงเป็นท่านโหวเป็นผู้วาง วันนี้ไยต้องรู้สึกเสียใจด้วยเล่า”
ข้ายิ้มทะนงตัว กล่าวว่า “แม้ข้าเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง แต่ก็มีความถือดีอยู่บ้าง แม้ผู้คนบนโลกหล้ามีมากมาย แต่ส่วนมากล้วนเป็นคนธรรมดาไร้ความสามารถ ผู้ที่โดดเด่นเหนือจากหมู่คนเหล่านั้นกลับมีเท่าขนหงส์เขากิเลน ชีวิตข้าชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้าเป็นที่สุด มิว่าเป็นศัตรูหรือสหายล้วนมินึกดูแคลน แต่น่าเสียดายสุดท้ายข้าก็ยังเป็นปุถุชนคนหนึ่ง
ด้วยฐานะมีข้อจำกัด แม้ในใจชื่นชม แต่ก็ต้องกำจัดเขาเพื่อมิให้เป็นภัยภายหลัง แม่ทัพถาน คุณชายใหญ่ต้วน ล้วนเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ดังนั้นแม่ทัพถานจำเป็นต้องตาย แม้คุณชายใหญ่วันนี้มิตาย แต่จะรู้ได้เช่นไรว่าข้ามิได้ทำเพื่อแผนการในวันหน้า หวังเพียงว่าถึงเวลานั้นคุณชายใหญ่มิกล่าวโทษข้าก็คงดี”
ต้วนหลิงเซียวหัวเราะเสียงกังวาน กล่าวว่า “เจียงสุยอวิ๋นช่างตรงไปตรงมาเสียจริง แม้ท่านเป็นบัณฑิต แต่ใจกล้ามิแพ้วีรบุรุษแห่งยุค จักรพรรดิต้ายงมีท่านคอยช่วยเหลือ มิน่าจึงลำพองถึงเพียงนี้ หลิงตวนเป็นเพียงเด็กน้อยรุ่นหลังคนหนึ่ง ท่านมิสังหารเขาก็ยังพอเข้าใจ แต่อวี้เฟยเคยลอบสังหารท่าน เหตุใดท่านจึงไม่สังหารเขา แต่กลับมิสนใจราคาที่ต้องจ่ายเพื่อรั้งเขาไว้ที่ตงไห่ นี่จะมิใจอ่อนเป็นสตรีไปหน่อยหรือไร”
ข้ายิ้มละไมแต่มิตอบคำ แม้ชิวอวี้เฟยวรยุทธ์ก้าวหน้า แต่เขามีนิสัยชมชอบดนตรี ระอากับเรื่องทางโลก คนเช่นนี้จะเป็นภัยต่อข้าได้เช่นไร สาเหตุที่รั้งเขาไว้ ประการที่หนึ่งข้าชื่นชอบเขา ประการที่สองเพราะในวันหน้ามีเรื่องที่ต้องใช้งานเขา การสังหารคนผู้หนึ่งมิได้หมายความว่าเกลียดชังเขา การยอมละเว้นก็มิได้หมายความว่าเมตตา แต่เรื่องเหล่านี้ไฉนจะอธิบายให้ผู้อื่นฟังกระจ่างได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็มิมีเจตนาจะอธิบาย ปล่อยให้ผู้อื่นคิดว่าข้าใจอ่อนดั่งสตรีมีสิ่งใดไม่ดีเล่า
เห็นเจียงเจ๋อมิเอ่ยวาจา ต้วนหลิงเซียวก็เงียบงันมิพูดบ้าง เขาย่อมเข้าใจว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็เป็นศัตรูกัน มิอาจผูกมิตรกันได้ ทว่าช่วงเวลาที่ได้สนทนากันสั้นๆ นี้ กลับทำให้ต้วนหลิงเซียวรู้สึกว่าแม้เจียงเจ๋อผู้นี้เป็นบัณฑิตอ่อนแอ แต่กลับเก่งกาจสามารถ ระหว่างที่สนทนา บางครั้งรู้สึกดั่งสายลมวสันต์อาบไล้ แต่บางครารู้สึกประหนึ่งเหยียบบนน้ำแข็งเย็นเฉียบ ชวนให้คนเกิดความรู้สึกขัดแย้ง มิอาจตัดใจออกห่าง แต่ก็มิกล้าใกล้ชิดสนิทสนม น่าเสียดายที่คนผู้นี้เป็นขุนนางคนสำคัญของต้ายง
ข้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ได้สติกลับมาจากห้วงความคิดของตนเอง ออกคำสั่งว่า “ฮูเหยียน ไปนำสุรามา ข้าจะส่งคุณชายใหญ่เดินทาง”
ฮูเหยียนโซ่วมองต้วนหลิงเซียวอย่างระแวงหนหนึ่ง จากนั้นจึงผละออกไปเรียกคน ไม่นานก็ยกถาดไม้ใบหนึ่งเข้ามาด้วยตนเอง บนนั้นวางกาสุราไว้กาหนึ่งกับจอกสุราสองใบ ข้ายกกาสุราขึ้นรินสุราจนเต็มจอกทั้งสองใบด้วยตนเอง ตนเองถือขึ้นมาหนึ่งจอก ฮูเหยียนโซ่วถือถาดเดินไปข้างกายต้วนหลิงเซียว ต้วนหลิงเซียวยิ้มเยือกเย็น ถือขึ้นมาหนึ่งจอกเช่นกัน
ข้าชูจอกสุราเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ ท่านสังหารองครักษ์ของข้า ข้าปลิดชีพสหายร่วมสำนักของท่าน สองแคว้นทำศึก ท่านและข้ายังเป็นศัตรู ทว่า ณ ที่แห่งนี้ มีเพียงหมู่บ้านชนบทกับสุราบ้านๆ วันนี้ได้พานพบนับเป็นวาสนา หากไร้สุราก็มิสาแก่ใจ มิทราบว่าคุณชายใหญ่เห็นด้วยหรือไม่”
ต้วนหลิงเซียวดื่มคำเดียวหมดแล้วกล่าวว่า “วันนี้ประมือ ข้าแพ้ท่านชนะ ทว่าแม้กองทัพของท่านแข็งแกร่งก็มิแน่ว่าจะคว้าชัยไปครอง หวังว่าท่านจะรักษาตัวให้ดี”
ข้ามิออกความเห็น เพียงดื่มสุราในจอกช้าๆ แล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่มิได้นำทัพออกศึก ด้วยสติปัญญาและความเด็ดขาดของท่าน หากนำทัพน่าจะมิเป็นรองฝ่าบาทแคว้นข้า”
ต้วนหลิงเซียวตกตะลึงเป็นอย่างแรก ต่อจากนั้นจึงเผยรอยยิ้มจางๆ ตนมีฐานะเป็นศิษย์เอกของประมุขพรรคมาร จำต้องวางตัวมิเข้ากับฝ่ายใด ไฉนจะนำทัพออกศึกได้ อีกทั้งเมื่อเข้าไปอยู่ในกองทัพ วรยุทธ์ก็ยากจะก้าวหน้า ตนเป็นถึงผู้สืบทอดสายตรงของท่านอาจารย์ เพื่อรักษาเกียรติยศของอาจารย์ย่อมมิอาจเสียสมาธิไปสนใจเรื่องทางโลก แต่สาเหตุเหล่านี้จะกล่าวให้ผู้อื่นฟังได้เช่นไร
ข้าส่งต้วนหลิงเซียวพลิ้วกายจากไปไกลแล้ว ในใจพลันรู้สึกยินดี คิดว่าโชคดีที่คนผู้นี้มิใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้ามิได้เอ่ยอันใดมากมายกับหลิงตวนที่ถูกคนพาไปลงทัณฑ์เสร็จแล้ว เพียงถามว่าเขายินดีจะเดินทางไปหาชิวอวี้เฟยที่ตงไห่หรือไม่ หากยินดีก็ให้เขาเดินทางไปด้วยตนเอง หลิงตวนตาโตอ้าปากค้าง จากนั้นก็พยักหน้ารับ คิดว่าเขาก็คงไม่มีหน้าเป็นศัตรูกับข้าต่อแล้วกระมัง
แต่หลังจากเขาผละจากไปแล้ว ข้าก็กล่าวอย่างอ้อมๆ เชิญจางจิ่นสยงลอบสะกดรอยเขาไปจนถึงตงไห่ หากหลิงตวนรักษาคำพูดจริงก็แล้วไป แต่หากเขาหนีไปกลางทาง ถ้าเช่นนั้นก็ให้สังหารเขาเสีย คิดว่าแม่ทัพถานจี้คงมิถือสาหากข้าจะสังหารคนมิรักษาสัตย์เชื่อถือมิได้เช่นนี้สักคนกระมัง