ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 52 ความลับอันน่าตกตะลึง (1)
หลี่คังวางข่าวกรองในมือลง จากนั้นหันไปมองฮั่วอี้อย่างพึงพอใจ แม้ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา ท่าทางซื่อๆ ผู้นี้จะดูเหมือนคนซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาเป็นถึงบุคคลอันดับหนึ่งอันดับสองในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว หลายวันนี้ระหว่างอยู่ข้างกายหลี่คัง เขาช่วยจัดการเรื่องราวแทนหลี่คังไม่น้อย กำจัดขุนนางที่เอนเอียงเข้าข้างราชสำนักได้มากมาย แม้หลี่คังจะยังระแวงกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างเชื่อใจฮั่วอี้มากทีเดียว
ฮั่วอี้ หรือสมควรเรียกว่าไป๋อี้ยืนค้อมศีรษะอยู่อย่างนอบน้อม เมื่อเห็นหลี่คังอ่านข่าวกรองจบแล้วจึงเอ่ยว่า “องค์ชาย ผู้น้อยได้ข่าวมาว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงมาถึงด่านซั่นกวนแล้ว ช่วงก่อนองค์ชายดักขวางผู้แทนพระองค์กับราชสารแล้วอ้างว่ามีโจรปรากฏตัว จึงปิดกั้นเส้นทางระหว่างด่านซั่นกวนถึงตงชวนเอาไว้ แม้ฉากหน้าดูไม่มีช่องโหว่ประการใด อีกทั้งราชสำนักต้ายงยุ่งอยู่กับสงครามเป่ยฮั่นจึงละเลยตงชวนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หลี่จื้อกับขุนนางใต้บัญชาของเขาล้วนมิใช่คนไร้ความสามารถ พวกเขาคงสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว หากมิใช่ว่ายามนี้มิต้องการบีบท่านอ๋อง น่ากลัวว่ากองทัพต้ายงคงบุกเข้าตงชวนมาแล้ว
ตอนนี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงลงมือเอง ไม่กี่วันที่ผ่านมากลุ่มของพวกเราจับตัวสายลับของกรมวินิจการณ์นอกด่านซั่นกวนได้สิบกว่าคน ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะลงมือยามใด งานมิสมควรชักช้า หากรอจนราชสำนักต้ายงยื่นมือเข้ามา เกรงว่าพวกเราคงไม่มีโอกาสแล้ว”
หลี่คังหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้หลี่จื้อไม่กล้าตัดความสัมพันธ์กับข้าแน่ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ข้าจะรวบรวมกองทัพตั้งตนเป็นใหญ่ หลี่จื้อก็คงคิดว่าข้าต้องการชิงราชบัลลังก์เท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าชินอ๋องคนหนึ่งของต้ายงจะตั้งใจทำให้ต้ายงล่มสลาย ด้วยเหตุนี้ราชสำนักคงพยายามประนีประนอมสุดความสามารถ
หลี่จื้อส่งราชโองการหลายฉบับมาชมเชยปูนบำเหน็จให้ข้าก็เพราะมิต้องการให้ข้าเป็นอริกับราชสำนักอย่างเปิดเผยมิใช่หรือไร เขาต้องการรอปราบเป่ยฮั่นเสร็จ แล้วค่อยใช้ความฮึกเหิมหลังชนะศึกใหญ่มาจัดการข้า หากเซี่ยโหวหยวนเฟิงไม่มาสิข้าจึงจะแปลกใจ ตอนนี้โอกาสยังมาไม่ถึง หลี่เสี่ยนเพิ่งพ่ายครั้งแรก ยังไม่สูญเสียกำลังไพร่พลมากนัก ความสามารถของหลงถิงเฟยกับความได้เปรียบด้านชัยภูมิและความสามัคคีของไพร่พลจะต้องทำให้หลี่เสี่ยนพ่ายแพ้ยับเยินได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าค่อยลงมือก็ยังมิสาย”
ฮั่วอี้เอ่ยอย่างลังเล “แต่ผู้ที่รบกับเป่ยฮั่นอยู่คือฉีอ๋องหลี่เสี่ยน เขาเป็นแม่ทัพผู้เลื่องชื่ออันดับต้นๆ ในใต้หล้า ทั้งยังมีฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อคอยช่วยเหลือ หากผู้ปราชัยคือเป่ยฮั่นจะทำเช่นไรเล่า”
หลี่คังส่ายหน้า ตอบว่า “ต่อให้เจียงเจ๋อฉลาดอีกเท่าใดแล้วอย่างไร ถึงหลงถิงเฟยจะต้านทานมิไหว พ่ายแพ้ถอยร่นไปทีละเมืองๆ แต่นั่นก็เท่ากับดึงฉีอ๋องไว้ได้ ถึงยามนั้นทำศึกนานวันแต่ไม่ชนะ ข้าค่อยซื้อขุนนางใหญ่ในราชสำนักให้ตำหนิฉีอ๋องว่าจงใจผลาญกำลังไพร่พล ถึงเวลาศึกในยังมีห่วง ศึกนอกยังติดพัน หลี่จื้อคงร้อนใจดั่งเพลิงผลาญ
แม้ไม่นานมานี้ต้ายงกับหนานฉู่บรรลุข้อตกลงสงบศึกกัน แต่ถึงเวลานั้นซั่งเหวยจวินขลาดเขลาอีกเท่าใดก็คงร่วมโยนหินซ้ำเติม ความจริงหากข้าเป็นหลี่จื้อ เรื่องสำคัญที่สุดคงมิใช่บุกตีเป่ยฮั่น แต่เป็นการสงบตงชวนให้มั่นคงก่อน จะรุกรานภายนอก ภายในต้องสงบ นี่เป็นหลักการสำคัญนัก”
ฮั่วอี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “บางทีราชสำนักต้ายงอาจไร้ทางเลือก ยามนี้หนานฉู่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่ แม้ท่านอ๋องมีเจตนาคิดกบฏแต่ก็ยังไม่เผยโจ่งแจ้ง หลี่จื้อคงหวังว่าจะปราบเป่ยฮั่นอย่างสายฟ้าแลบได้ก่อน ถึงเวลาก็จัดการพวกเราได้อย่างสบายใจ แต่พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่ากองทัพเป่ยฮั่นผู้พ่ายศึกใหญ่ที่เจ๋อโจวจะยังมีกำลังรบขนาดนี้”
หลี่คังพยักหน้า “พวกเจ้าเฝ้าระวังไว้ จังหวะที่พวกเราจะลงมือสำคัญยิ่ง แล้วก็ นอกด่านซั่นกวนวางกับดักไว้ให้หลายชั้น จะปล่อยให้สายสืบของกรมวินิจการณ์ลักลอบเข้ามาในตงชวนไม่ได้เด็ดขาด”
ฮั่วอี้ตอบอย่างมั่นใจ “องค์ชายมิต้องกังวล ผู้คุมกฎหม่าของกลุ่มเราคอยคุมด้วยตนเอง ไม่มีทางปล่อยให้กรมวินิจการณ์สมประสงค์เป็นอันขาด” หลี่คังอมยิ้มพยักหน้าน้อยๆ เขาก็มีคนสนิทของตนอยู่ ย่อมทราบว่านอกด่านซั่นกวน กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วสังหารและจับกุมสายลับของราชสำนักได้ไม่น้อย วิธีการที่ใช้รุนแรงและเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง กลุ่มพวกเขาเองก็เสียหายไม่น้อย แสดงให้เห็นความจริงใจกับความภักดีของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว
หลังจากขอตัวออกมาและเดินพ้นตำหนัก มุมปากของฮั่วอี้พลันปรากฏรอยยิ้มเย็นชาบางๆ ผู้ที่รอคอยเขาอยู่ด้านนอกคือชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งสุภาพสง่างาม คนหนึ่งกล้าแกร่งห้าวหาญ พวกเขาล้วนอายุยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี สองคนนี้ก็คือซั่งกวนเยี่ยนกับสยงเป้า
สีหน้าของพวกเขาเฉยชายิ่ง หลายวันก่อนหลังจากพวกเขาถูกกล่าวหาก็ติดตามฮั่วอี้เข้ามาอยู่ในจวนชิ่งอ๋องเพื่อสร้างความชอบชดใช้ความผิด เพราะหวาดกลัวอีกฝ่ายใช้อำนาจข่มเหง ชายหนุ่มทั้งสองคนนี้จึงนอบน้อมต่อฮั่วอี้อย่างยิ่ง ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย
ไม่ว่าอย่างไรฮั่วอี้ก็เป็นบุตรบุญธรรมของฮั่วจี้เฉิง เป็นคนสนิทของเฉินเจิ่น อีกทั้งญาติผู้ใหญ่และครอบครัวของพวกเขาก็ล้วนยังอยู่ในกำมือของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ทว่าในใจของพวกเขากลับต่อต้านอีกฝ่ายมากขึ้นไม่มีน้อยลง แม้ฮั่วอี้วางตัวมีมารยาทกับพวกเขามาตลอดก็เปลี่ยนความรู้สึกในใจของพวกเขามิได้
ฮั่วเห็นสีหน้าของพวกเขาก็ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วออกคำสั่งว่า “ส่งข่าวไปให้ผู้คุมกฎหม่า คุมด่านซั่นกวนให้เข้มงวดขึ้นอีก จะปล่อยสายลับของต้ายงเล็ดลอดเข้ามาในตงชวนมิได้แม้แต่คนเดียว”
หม่าเฉิง สมาชิกกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วผู้เป็นหัวหน้าคุมการขัดขวางสายลับจากกรมวินิจการณ์นอกด่านซั่นกวนปีนี้อายุสี่สิบกว่าปีแล้ว เขาเป็นสมาชิกคนสำคัญที่มีปณิธานมุ่งมั่นในการฟื้นฟูแว่นแคว้น ครั้งนี้เฉินเจิ่นจงใจส่งเขามาจัดการงานนี้ก็เพราะเขาเคียดแค้นต้ายงอย่างล้ำลึก ลูกน้องที่ส่งมาให้เขาก็ล้วนเป็นมือดีอันดับต้นๆ ในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว แน่นอนว่าคนเหล่านี้ต่างมีลักษณะเด่นประการหนึ่งร่วมกัน นั่นก็คือพวกเขากระตือรือร้นในการเป็นอริกับต้ายงอย่างยิ่ง พวกเขาค่อนข้างไม่พอใจที่หลายปีก่อนกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วต้องหลบซ่อนตัว ครั้งนี้ปล่อยให้พวกเขาลงมือก็เหมือนปล่อยเสือร้ายหลุดจากกรง ดังนั้นช่วงนี้พวกเขาจึงทำผลงานได้ยอดเยี่ยม
ณ ด่านซั่นกวนมีคนสองคนที่เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยแต่กลับสร้างผลงานไม่ได้แม้แต่น้อย คนหนึ่งในนั้นก็คือกู้อิง เขาเป็นลูกโทนของกู้หนิงผู้คุมกฎแห่งกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว หลายวันก่อนฮั่วจี้เฉิงหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วตัดสินใจร่วมมือกับชิ่งอ๋อง กู้หนิงทำให้ฮั่วจี้เฉิงมีโทสะจึงถูกลดอำนาจที่เหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้วลงอีก ทำให้ทุกคนได้เห็นวิธีการอันร้ายกาจในการกำจัดคนที่เห็นต่างจากตนของหัวหน้ากลุ่มอีกหน
กู้หนิงเป็นห่วงสถานะของตนเอง จึงไหว้วานหม่าเฉิงสหายรักให้ดูแลบุตรชายเพียงคนเดียวของตนเอง แม้หม่าเฉิงมิใช่คนของฮั่วจี้เฉิงโดยตรง แต่ตลอดมาก็ได้รับความไว้วางใจจากฮั่วจี้เฉิงกับเฉินเจิ่น มีเขาปกป้องกู้อิง กู้หนิงจึงจะวางใจ
หม่าเฉิงคำนึงถึงความปลอดภัยของกู้อิง ต่อให้รับภารกิจสำคัญเช่นนี้มาก็ยังพากู้อิงมาที่ด่านซั่นกวนด้วย เพียงแต่ไม่อนุญาตให้เขาลงมือเท่านั้น อย่างไรเสียแม้กู้อิงจะมีวรยุทธ์มิใช่ชั่ว แต่ก็อายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น ดังนั้นกู้อิงจึงได้แต่มองผู้อื่นลงมือ
ส่วนอีกคนเป็นอีกกรณีหนึ่ง เขามีนามว่าลั่วเจี้ยนเฟย เป็นผู้คุ้มกันคนสนิทของเฉินเจิ่น กล่าวไปแล้วนับตั้งแต่เฉินเจิ่นเข้ามาควบคุมเรื่องต่างๆ ในแต่ละวันของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว คนเก่าคนแก่ในกลุ่มมากกว่าครึ่งก็ถูกลดอำนาจลงไปมาก ยามนี้ผู้ที่เฉินเจิ่นใช้งานมากที่สุดก็คือฮั่วอี้และฮั่วซานบุตรบุญธรรมของหัวหน้ากลุ่ม ฮั่วอี้เฉลียวฉลาดเก่งกาจ วรยุทธ์สูงส่ง ส่วนฮั่วซานชำนาญด้านกลไกและข่าวสาร ถนัดการวางกับดักซุ่มสังหารมากที่สุด
ชายหนุ่มสองคนนี้แม้อายุน้อยแต่ในมือกุมอำนาจไว้มากนัก พวกเขาเป็นคนเด็ดขาด ผู้คนในกลุ่มไม่มีผู้ใดไม่หวั่นกลัว เล่ากันว่าหัวหน้ากลุ่มยังมีบุตรบุญธรรมอีกคนนามว่าฮั่วหลี เขาเคยสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ทว่าวันนี้กลับเงียบหายไร้ร่องรอย ลือกันว่าเขาตายแต่ยังหนุ่ม แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าสืบหาความจริง
นอกเหนือจากนี้ ข้างกายเฉินเจิ่นยังมีกลุ่มผู้คุ้มกันลึกลับกลุ่มหนึ่ง ผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ประกอบด้วยผู้คุ้มกันที่ดูเหมือนอายุยังน้อยกลุ่มหนึ่ง ผู้คุ้มกันแต่ละคนล้วนเป็นยอดบุรุษผู้เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ พวกเขาไม่รู้มีจำนวนเท่าใด ร่องรอยก็ลึกลับ นอกจากเฉินเจิ่น เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความสามารถและจำนวนคนของพวกเขาอย่างแท้จริง ยามกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเกิดเรื่องใหญ่ ผู้คุ้มกันเหล่านี้มักเป็นคนเข้ามาควบคุม ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนพวกเขา
ในกลุ่มพันธมิตรมีข่าวลือมาพักใหญ่แล้วว่าผู้คุ้มกันเหล่านี้อายุใกล้เคียง ท่าทางคล้ายคลึงกับฮั่วอี้และฮั่วซาน เกรงว่าพวกเขาคงเป็นคนที่ฮั่วจี้เฉิงสั่งสอนมาด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าคนเหล่านี้ถูกส่งมาเป็นหูตาและเป็นคนสนิทข้างกายเฉินเจิ่นเพื่อให้ฮั่วจี้เฉิงควบคุมสิ่งต่างๆ ในกลุ่มพันธมิตรได้ ลั่วเจี้ยนเฟยผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น