ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 6 แม้นมีปากยากแก้ตัว (2)
หลงถิงเฟยกับเซียวถงแลกสายตากัน พวกเขาไม่รู้สึกถึงคำลวงจากคำพูดของหลิงตวนแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดของหลิงตวนก็สับสนอยู่เล็กน้อย ไม่เหมือนคำโกหกที่ปั้นแต่งมาล่วงหน้า นี่บ่งบอกว่าหลิงตวนมิได้เปลี่ยนไปเข้ากับกองทัพต้ายงแล้วกลับมาส่งข่าวลวง
ชิวอวี้เฟยมองความคิดของทั้งสองคนออกจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนข้าพบหลิงตวน เขาหายใจรวยรินแล้ว หากมิใช่ว่าพบข้าเข้า เกรงว่าเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับมา”
หลงถิงเฟยกับเซียวถงเข้าใจความหมายของเขา หากหลิงตวนทรยศเป่ยฮั่น ย่อมไม่มีทางตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นอันขาด ต่อให้เป็นกลยุทธ์ทำร้ายตนเองก็มีขอบเขตจำกัด ในเมื่อชิวอวี้เฟยกล่าวว่าหลิงตวนเคยเกือบตายมาแล้ว ถ้าเช่นนั้นย่อมไม่มีคำลวงเด็ดขาด หากหลิงตวนปิดบังสายตาของชิวอวี้เฟยได้ ชิวอวี้เฟยก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นศิษย์สายตรงของจิงอู๋จี๋แล้ว
เวลานี้พลันมีองครักษ์เข้ามารายงาน สืออิงรอเข้าพบอยู่ด้านนอกแล้ว ในใจหลงถิงเฟยลังเลเล็กน้อย เดิมทีเขาเรียกสืออิงมาเพราะต้องการถามให้กระจ่างว่าเหตุใดจู่ๆ สืออิงจึงเล่นงานต้วนอู๋ตี๋ แต่ยามนี้ในใจเขาเกิดความสงสัยแล้ว จึงกลายเป็นกังวลว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาเหลือบมองเซียวถง ดวงตาของเซียวถงทอประกายวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “ให้เขาเข้ามาเถิด ถึงอย่างไรก็ต้องถามดูสักหน ศิษย์น้อง เจ้าพาหลิงตวนหลบไปด้านหลังก่อน”
ชิวอวี้เฟยพยักหน้า แต่เขาเอ่ยเรียบเฉยว่า “ระหว่างทางมาข้าพบแม่ทัพต้วน แม่ทัพใหญ่ ศิษย์พี่ แม้แม่ทัพต้วนทำผิกฎกองทัพ แต่เห็นแก่ความทุ่มเทที่ผ่านมาของเขา ขอทั้งสองท่านให้โอกาสเขาสักครั้ง”
หลงถิงเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ “ข้าไยจะมิทราบเล่า แต่เรื่องนี้เกรงว่าคงมิง่ายดายเช่นนั้น แม้สืออิงจะวู่วาม แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้เขากลับไม่รายงานข้าก่อนก็ป่าวประกาศออกไป เดิมทีข้าคิดว่าเขาไม่มีเจตนาอื่น แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเขามีเจตนาแอบแฝง อวี้เฟย ข้าจะจัดการให้ดี แล้วหลิงตวนเล่า เจ้าจะจัดการเช่นไร” เขามองออกว่าชิวอวี้เฟยสนิทสนมกับหลิงตวนอย่างยิ่งจึงจงใจถามขึ้นมา
ชิวอวี้เฟยตอบว่า “ข้านึกชอบใจพรสวรรค์กับนิสัยของเจ้าหนูคนนี้จึงคิดว่าจะพาเขากลับไปพบท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่ หากศิษย์พี่ใหญ่ถูกใจ ข้าคิดจะให้เขาคารวะศิษย์พี่ใหญ่เป็นอาจารย์ หากไม่ได้ ข้าก็จะฝืนใจรับศิษย์ไว้สักคน”
เมื่อได้ยินเขาตอบเช่นนี้ สีหน้าหลงถิงเฟยและเซียวถงต่างเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง เซียวถงก้าวเข้ามาสำรวจหลิงตวนอย่างถี่ถ้วนพักหนึ่งก็คลี่ยิ้ม “แม้พรสวรรค์จะเป็นเพียงระดับกลางค่อนบน แต่เด็กคนนี้มีนิสัยทรหดอดทน ยิ่งไปกว่านั้นยังมิใช่คนแข็งมิรู้จักยืดหยุ่น อายุยังน้อยก็ได้เป็นทหารม้ากุ่ยฉีที่ได้รับเลือกหนึ่งคนจากในพันลี้ ศิษย์พี่ใหญ่น่าจะถูกใจ ดี ศิษย์น้องสายตาดียิ่งนัก”
ชิวอวี้เฟยยิ้มละไม แล้วเรียกหลิงตวนพาออกไปด้านหลังพร้อมกัน
หลงถิงเฟยสั่งให้เรียกสืออิงเข้ามา ไม่นานสืออิงก็ก้าวพรวดดั่งดาวตกเข้ามาด้านใน เขาไล่กลิ่นสุราบนร่างออกไปแล้ว หลังจากเข้ามาก็คำนับตามระเบียบทหารอย่างนอบน้อมแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่เรียกผู้น้อยมาพบ มีสิ่งใดต้องการสั่งหรือ”
หลงถิงเฟยมองสืออิงอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าวว่า “สืออิง มีเรื่องหนึ่งข้ามิเคยถามท่าน ยามนี้ต้วนอู๋ตี๋ใกล้จะถูกคุมตัวมาถึงแล้ว ข้าจะถามท่านก่อน ท่านทราบเรื่องต้วนอู๋ตี๋ขนของเถื่อนได้อย่างไร แล้วเรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดท่านมิปรึกษากับข้าก่อน แต่กลับกล่าวออกมาต่อหน้าธารกำนัลระหว่างที่เหล่าแม่ทัพประชุมหารือ โชคดีต้วนอู๋ตี๋มิได้หวาดกลัวความผิดแล้วหลบหนี หากเกิดสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา ไยมิใช่ท่านจะมีความผิด”
สืออิงลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “สือจวินรองแม่ทัพของผู้น้อยเป็นผู้ค้นพบโดยบังเอิญแล้วนำความมาบอกแก่ผู้น้อย ผู้น้อยโกรธมากจึงมิทันขบคิด โพล่งออกมากลางที่ประชุม นี่เป็นความผิดของผู้น้อยเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีหน้าละอายใจเล็กน้อย เพื่อแก้แค้นต้วนอู๋ตี๋ เขาไม่เคยคิดจะมารายงานเป็นการส่วนตัวกับหลงถิงเฟยแม้แต่น้อย แม้เขาเป็นคนตรงแต่มิได้โง่เขลา การขนของเถื่อนขนาดใหญ่เช่นนี้ ผู้ใต้บัญชาของตนยังค้นพบ หากหลงถิงเฟยมิทราบสักนิดคงประหลาด เขาต้องทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะบีบให้หลงถิงเฟยสังหารต้วนอู๋ตี๋ได้
ในใจสืออิงคำนวณไว้แล้ว แม้ตลอดมาแม่ทัพใหญ่โปรดปรานตนอย่างยิ่ง แต่กลับพึ่งพาถานจี้กับต้วนอู๋ตี๋มากกว่า อีกประการหนึ่ง หากเป็นก่อนหน้านี้ หลงถิงเฟยอาจลงโทษต้วนอู๋ตี๋อย่างหนัก แต่ยามนี้สถานการณ์สงครามตึงเครียด จึงเป็นไปได้มากอย่างยิ่งว่าแม่ทัพใหญ่จะปิดบังเรื่องนี้ ต้วนอู๋ตี๋ยังมีชีวิตอยู่วันหนึ่ง ชิงไต้ก็ไร้รอยยิ้มวันหนึ่ง ยิ่งหลายวันมานี้เห็นสีหน้านางเศร้าหมองมากกว่าเดิม สืออิงก็เจ็บปวดแทบขาดใจ
แม้สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย แต่หลงถิงเฟยกับเซียวถงต่างตั้งใจจับตามองอยู่แล้ว ทั้งสองคนจึงเห็นอย่างชัดเจน หลงถิงเฟยถอนหายใจในใจแล้วกล่าวว่า “ระหว่างสอบสวนต้วนอู๋ตี๋ ท่านออกไปรอนอกห้องโถงก็แล้วกัน” สืออิงขานรับแล้วถอยออกไป
สีหน้าหลงถิงเฟยเย็นชาขึ้นทันควันแล้วกล่าวว่า “เซียวถง สืออิงมีบางสิ่งอยู่ในใจ เจ้าจงไปจวนของเขา ค้นหาด้วยตนเองว่ามีสิ่งใดที่มิสมควรมีหรือไม่”
เซียวถงขานรับเสียงเบาแล้วหมุนตัวออกไป หลงถิงเฟยแค้นใจนัก ตบฝ่ามือบนโต๊ะอ่านหนังสือจนสิ่งของบนโต๊ะเช่นถ้วยชากระดอนขึ้นมา น้ำชาสาดกระเซ็น องครักษ์คนสนิทพุ่งพรวดเข้ามาในห้องโถงทันที หลงถิงเฟยสั่งด้วยสีหน้านิ่งสงบ “พวกเจ้าเก็บกวาดสักหน่อย เมื่อต้วนอู๋ตี๋ถูกคุมตัวเข้ามา พวกเจ้าก็จงปลดตรวนให้เขาแล้วพาเขามาพบข้า พลทหารทั้งหมดที่คุมตัวเขามาให้พาตัวไปไว้ด้านหลัง ห้ามมิให้พวกเขาเดินเตร่ส่งเดช สือจวินคือแม่ทัพที่คุมตัวนักโทษมาสินะ พาเขาเข้ามาด้วย”
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดต้วนอู๋ตี๋ก็ถูกคุมตัวมาถึง หลงถิงเฟยเห็นต้วนอู๋ตี๋มีสภาพน่าอเนจอนาถแต่สีหน้ากลับนิ่งสงบ ชั่วขณะหนึ่งก็มิทราบว่าสมควรพูดสิ่งใด ไม่ว่าต้วนอู๋ตี๋จะขนของเถื่อนด้วยสาเหตุใด ไม่ว่าตนจะยอมปล่อยผ่านอยู่กลายๆ หรือไม่ เรื่องนี้ก็เปิดเผยออกมาแล้ว
หากกล่าวความจริงออกมา ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ยากลำบากที่เป่ยฮั่นเผชิญอยู่ย่อมต้องถูกผู้คนรับรู้กันทั่ว น่ากลัวว่าขวัญกำลังใจของทหารคงสั่นคลอน ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดที่ฝ่าฝืนกฎของแว่นแคว้นก็คงมิอาจได้รับการอภัยจากราชสำนักง่ายดายปานนั้น
แม้เจ้าแคว้นเชื่อใจตนอย่างยิ่ง แต่ในราชสำนักก็ยังมีกลุ่มอำนาจที่ไม่พอใจตนอยู่อีกมาก หลงถิงเฟยทราบว่าเมื่อถึงเวลานั้นตนคงจะถูกเรียกตัวกลับไปรับโทษด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้หลงถิงเฟยคงไม่ถือสาหากต้องถูกลงโทษ ขอเพียงตนยังนำทัพออกศึกได้อยู่ ยศศักดิ์และตำแหน่งล้วนไม่สำคัญ แต่ยามนี้เป็นเวลาใด ต้ายงอาจบุกมาตีได้ตลอดเวลา ตนไปจากชิ่นโจวไม่ได้แม้แต่เพลาเดียว หากเจ้าแคว้นเข้าข้างตนอย่างเห็นได้ชัดก็เกรงว่าจะสูญเสียความศรัทธาของประชาชนและคงส่งผลต่อชื่อเสียงของตนอย่างมาก
วิธีคลี่คลายเพียงทางเดียวก็คือให้ต้วนอู๋ตี๋แบกรับความผิด แม้ขอเพียงตนเอ่ยออกมาคำเดียว ต้วนอู๋ตี๋ต้องยอมทำตาม และต่อให้ตายเขาก็คงไม่ปล่อยให้พัวพันมาถึงตนเป็นแน่ แต่ในความเป็นจริงตนก็มิได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แต่จะปล่อยให้ต้วนอู๋ตี๋รับโทษแทนตน ไม่ว่าอย่างไรหลงถิงเฟยก็ทำเรื่องเช่นนี้มิลง
ต้วนอู๋ตี๋เข้าใจสิ่งที่หลงถิงเฟยคิดอยู่จึงก้าวเข้าไปคำนับกล่าวว่า “ผู้น้อยคารวะแม่ทัพใหญ่ ขอแม่ทัพใหญ่ลงโทษข้าตามกฎของกองทัพและแว่นแคว้น มิว่าจะลงโทษประการใด ผู้น้อยล้วนยินยอมพร้อมใจ เพียงแต่ยามนี้แว่นแคว้นต้องการใช้คน ขอแม่ทัพใหญ่โปรดละเว้นชีวิตผู้น้อย ให้ผู้น้อยได้ตายในสนามรบ มิใช่ตายบนลานประหารด้วย”
หลงถิงเฟยกายสะท้าน ผ่านไปเนิ่นนานจึงก้าวเข้าไปประคองต้วนอู๋ตี๋แล้วโค้งกายคำนับ “แม่ทัพต้วน นี่เป็นความผิดของถิงเฟย แต่กลับทำให้ท่านแม่ทัพต้องแบกรับชื่อเสียงมัวหมอง ความผิดของถิงเฟยใหญ่หลวงนัก”
ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ฉายแววซาบซึ้งเลือนราง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่ทัพใหญ่ไยกล่าวเช่นนี้ เรื่องนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะข้าถูกความละโมบครอบงำ มิเกี่ยวข้องอันใดกับแม่ทัพใหญ่”
หลงถิงเฟยเข้าใจเจตนาของต้วนอู๋ตี๋ ในเมื่อเรื่องนี้ต้วนอู๋ตี๋ยอมรับความผิดไว้แล้วย่อมมิอาจปล่อยให้พัวพันมาถึงตัวหลงถิงเฟยได้ เขายืดตัวขึ้นมาอย่างเงียบงันก่อนจะกล่าวว่า “อู๋ตี๋ ท่านรออยู่ด้านข้างก่อน ยามนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งสำคัญกว่า ท่านจงคอยฟังอยู่ด้านข้าง ผู้ใดอยู่ด้านนอก เรียกสือจวินเข้ามา”