ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 62 หวนพบบนสนามรบ (2)
ชั่วพริบตาที่กองทัพต้ายงผ่าเข้ามาในกระบวนทัพนั่นเอง ดวงตาของหลงถิงเฟยพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาตวาดเสียงดุดัน “อู๋ตี๋ขวางกำลังหลักของฉีอ๋องไว้ ข้าจะไปจัดการกองหนุนของทัพต้ายงเอง” หลังจากนั้นจึงบอกเสียงเบาว่า “อู๋ตี๋ทนให้ได้สองชั่วยามก็พอ”
หลังจากนั้นเขาก็พาองครักษ์คนสนิทไปประจันหน้ากับจิงฉือที่โหมบุกจากปีกขวาเข้ามายังใจกลางกองทัพ ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ปรากฏแววเข้าใจวูบหนึ่ง จากนั้นจึงรับช่วงอำนาจบัญชาการ ตั้งรับการโจมตีที่รุนแรงขึ้นทุกทีของฉีอ๋อง
ปีกขวาของกองทัพเป่ยฮั่นมีทหารใหม่อยู่มาก จิงฉือเลือกบุกทะลวงเข้ามาตรงนี้ก็เพราะได้ข่าวมาจากทหารสอดแนม สำหรับทหารสอดแนมที่มากประสบการณ์ มองปราดเดียวก็แยกทหารใหม่กับทหารเก่าออก ในความคิดของจิงฉือ แม้จะกระหนาบในนอกแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรกำลังพลของสองกองทัพก็ต่างกันไม่มาก หากต้องการคว้าชัยชนะย่อมต้องลงมือกับจุดที่อ่อนแอที่สุดของกองทัพศัตรู สถานการณ์ดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ปีกขวาของกองทัพเป่ยฮั่นถูกจิงฉือโจมตีทะลวงอย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือจนในใจจิงฉือนึกฉงนอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น ระหว่างที่กวาดสายตามองซ้ายชะเง้อขวา ประกายสีแดงก็พลันโผล่มาตรงหน้า ทหารเป่ยฮั่นเกราะแดงกองหนึ่งเข้ามาขวางเบื้องหน้า จิงฉือตกตะลึงแต่เวลานี้มีแต่ต้องบุกมิอาจถอย จิงฉือจึงกัดฟัน โยนธงให้องครักษ์คนสนิทด้านหลังแล้วชี้แหลนอาชา พุ่งตรงเข้าไปโจมตีธงแม่ทัพของกองทัพเป่ยฮั่น เพียงพริบตาเดียว กองทัพของจิงฉือก็ปะทะกับทหารเป่ยฮั่นกองที่วรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด กองทัพเป่ยฮั่นทางปีกขวาเริ่มใช้ศรยิงโจมตีตรงกลางและท้ายทัพของจิงฉือ เมื่อหลงถิงเฟยออกโรงด้วยตนเองก็บังคับกองทัพต้ายงให้หยุดรุกคืบสำเร็จ
สนามรบวุ่นวายโกลาหล สองทัพโรมรัน โลหิตซึมทั่วผืนพสุธา หลั่งรินไหลลงแม่น้ำชิ่นสุ่ย น้ำสีโลหิตส่งเสียงคร่ำครวญไหลลงไปยังปลายน้ำ พาชีวิตและทุกสิ่งของผู้คนนับไม่ถ้วนจากไป
ฉีอ๋องกับจิงฉือล้วนทราบว่าแพ้ชนะตัดสินกันที่ตรงนี้ หากกองทัพเป่ยฮั่นตั้งทัพใหม่ได้ เกรงว่าคงกลายเป็นศึกยากลำบากที่ลากนานขึ้นหลายวัน ดังนั้นทั้งสองคนจึงใช้ความสามารถทั้งหมด กองทัพต้ายงโหมโจมตีอย่างแทบจะมิสนใจสิ่งใด แต่หลงถิงเฟยก็ยืนหยัดมิถอย ขัดขวางการโจมตีของจืงฉือไว้ ฝั่งต้วนอู๋ตี๋ใช้การป้องกันอันแน่นหนาสกัดกำลังหลักของฉีอ๋องเอาไว้ได้
สถานการณ์ของสงครามทำท่าเหมือนจะเข้าสู่สภาวะยืดเยื้ออีกหน แม้หลี่เสี่ยนกับจิงฉือจะค่อยๆ กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะอย่างไรเสียกองทัพเป่ยฮั่นที่ถนัดลอบจู่โจมและไล่ล่าสังหารมากกว่าย่อมมีข้อได้เปรียบน้อยลงเมื่อสู้รบกันด้วยกองทัพทหารม้าขนาดใหญ่ แต่ในใจจิงฉือกับหลี่เสี่ยนกลับมีความไม่สบายใจอย่างแรงกล้าผุดขึ้นมา ทว่าทั้งสองคนถูกทหารกองแล้วกองเล่ากั้นขวางอยู่จึงมิอาจสื่อสารกันได้ และยิ่งไม่กล้าถอยโดยง่าย หากฝั่งตนเองถอยไปก่อน น่ากลัวว่าแรงกดดันทั้งหมดจะรวมไปอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง เช่นนั้นความปราชัยครั้งใหญ่คงเกิดขึ้นดังคาด
แม้กองทัพต้ายงเหมือนจะค่อยๆ คุมสถานการณ์บนสนามรบได้ ขณะที่กองทัพเป่ยฮั่นผู้มุ่งมั่นปักหลักป้องกันขวัญกลังใจทหารค่อยๆ ถดถอย แต่ทั้งสองคนกลับทำหน้ากลัดกลุ้มและฉงนสนเท่ห์ จิงฉือนำทหารชั้นยอดโหมโจมตีองครักษ์คนสนิทของหลงถิงเฟยอยู่สองหนสามหน มีครั้งหนึ่งจิงฉือถึงขนาดบุกตะลุยเข้าไปในกระบวนทัพของเป่ยฮั่น ประมือกับหลงถิงเฟยด้วยตนเอง แต่ทวนวงเดือนที่หลงถิงเฟยกวัดแกว่งประดุจดั่งเสือดำจากพงพนา ในความปราดเปรียวว่องไวแฝงจิตสังหารอันหนักหน่วง จิงฉือกลับเป็นฝ่ายถูกเขาเล่นงานจนต้องล่าถอย จำต้องสละองครักษ์คนสนิทสิบกว่าคนจึงหนีกลับมายังกระบวนทัพของตนได้
ในใจหลี่เสี่ยนยิ่งกังวลขึ้นทุกที เขาเงยหน้าอย่างไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นก็มองเห็นเหยี่ยวสองตัวบินวนไปมาอยู่บนท้องฟ้า หัวใจของหลี่เสี่ยนหวาดหวั่น ตะโกนเสียงดังว่า “ตวนมู่ ยิงเหยี่ยวพวกนั้นเสีย”
เสียงของเขาเฉียบขาดดุดัน ยามนี้ตวนมู่ชิวผู้รับหน้าที่องครักษ์ข้างกายหลี่เสี่ยนค่อนข้างคุ้นชินกับชีวิตในกองทัพแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งของหลี่เสี่ยนจึงหยิบคันศรสีเงินมาง้างศรจนคล้ายจันทร์เต็มดวง ศรขนเหยี่ยวสามดอกพุ่งขึ้นไปกลางท้องนภาดั่งสายรุ้ง เหยี่ยวตัวหนึ่งร้องโหยหวนหล่นร่วง เหยี่ยวอีกตัวหนึ่งถูกศรดอกหนึ่งเฉียดปีก บินโซเซจากไปไกล เสียงสายศรดังขึ้นอีกหน ศรขนเหยี่ยวอีกดอกหนึ่งพุ่งทะลุลำตัวเหยี่ยว
กระนั้นหัวใจของหลี่เสี่ยนก็ไม่มีความยินดีแม้สักนิด คิดในใจว่าหลงถิงเฟยเตรียมไพ่ตายอันใดไว้กันแน่ ทันใดนั้นสมองของหลี่เสี่ยนพลันบังเกิดปฎิภาณไหวพริบ เขายิ้มขมขื่น เวลานี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเจียงเจ๋อจึงบอกว่าตนต้องพ่ายแพ้ครั้งใหญ่เป็นแน่ ไฉนตนจึงลืมไปเสียได้ว่ายามเป่ยฮั่นอยู่ระหว่างความเป็นความตาย คำสัญญาเล็กๆ ไฉนจะสู้ความผูกพันของสายเลือดและความรักของสามีภรรยา
หลี่เสี่ยนออกคำสั่งให้เป่าสัญญาณถอยทัพแทบจะในทันที จิงฉือผู้รู้สึกท่าไม่ดีในใจอยู่ก่อนแล้วก็หดแนวรบทันใด เตรียมตัวจะชิงฝ่าออกจากวงล้อมของกองทัพเป่ยฮั่นเช่นเดียวกัน
แทบจะในพริบตาที่เหยี่ยวสองตัวนั้นร่วงตกจากฟ้า ในหุบเขาอันซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง หลินปี้ผู้สวมชุดเกราะสีเขียวเข้ม คลุมทับด้วยผ้าคลุมปักลายหงส์ทองผืนใหญ่ยืนมือไพล่หลัง มองเหยี่ยวแสนรักร้องโหยหวนหล่นร่วงจากนภา ดวงตาหงส์ทอประกายเย็นยะเยือกเล็กน้อย นางเอ่ยอย่างเย็นชา “ทหารทุกนายฟังคำสั่ง เคลื่อนทัพ”
พลทหารที่แต่เดิมบ้างนั่งเล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น บ้างเอนตัวพิงอยู่กับอานม้าแลดูผ่อนคลายเกียจคร้านเหล่านั้นสลัดกิริยาท่าทางอันลวงหลอกทิ้งในพริบตา เมื่อพวกเขาขึ้นม้า ติดอาวุธ ก็กลายเป็นนักรบผู้มีไอสังหารน่าหวั่นเกรงในบัดดล
หลินปี้พลิกกายขึ้นอาชาศึก ไม่บอกกล่าวสักคำก็ชักอาชาพุ่งออกจากหุบเขา ไม่ต้องให้นางสั่งสักคำ องครักษ์คนสนิททั้งบุรุษและสตรียี่สิบกว่าคนก็ชักอาชาตามติดไปดุจเงา คุ้มกันหลินปี้ไว้ตรงกลาง ทหารม้าไต้โจวที่แต่เดิมดูไม่มีระเบียบวินัย อยู่สะเปะสะปะเหล่านั้นยิ่งไม่ลังเลสักนิด แม้ดูจากชุดเกราะจะมองตำแหน่งทหารสูงต่ำของพวกเขาไม่ออก แต่พวกเขาควบอาชาเรียงแถวตามเป็นลำดับอย่างรู้กันและเป็นธรรมชาติ ขบวนทัพทหารม้าที่ดูเหมือนหย่อนหยานแต่ความจริงแล้วมีระเบียบเคร่งครัดคือหนึ่งในจุดเด่นของกองทัพไต้โจว
หุบเขาแห่งนี้รวมพลกองทัพไต้โจวไว้หนึ่งหมื่นห้าพันนาย กองทหารไต้โจวสวมชุดเกราะหลากสีสันแตกต่างจากกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่น มองดูแล้วสับสนวุ่นวายยิ่งนัก นี่เป็นเพราะทหารในกองทัพไต้โจวสืบทอดหน้าที่ทหารต่อกันในครอบครัว บิดาตายบุตรสืบต่อ พี่ชายสิ้นน้องชายรับช่วง ชุดเกราะชั้นดีชุดหนึ่งมักจะสืบต่อกันมาหลายรุ่น แม้แต่อาวุธหรืออาชาก็มักจะเป็นของแต่ละคนเอง นี่เป็นขนบอันเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพไต้โจว
ราชงศ์ตงจิ้นให้ความสำคัญกับบัณฑิตจึงอ่อนแอ แม้แต่ในยามที่รุ่งเรืองที่สุด ราชสำนักก็มิอาจต่อต้านเผ่าคนเถื่อนได้ ตระกูลหลินจึงรวบรวมผู้กล้าในดินแดนออกต่อต้านศัตรูด้วยตนเองเพื่อปกปักษ์มาตุภูมิ มิว่าบุรุษหรือสตรีไต้โจวต่างก็ตรากตรำฝึกฝนขี่ม้ายิงธนูเพื่อต้านพวกคนเถื่อน ดังนั้นทหารในกองทัพไต้โจวจึงล้วนเป็นคนในท้องถิ่นผู้เกิดและเติบโตในบ้านเกิด
ส่วนเหตุที่มีอาวุธและอาชาเป็นของตนก็เพราะแม้ชาวไต้โจวจะถูกคนเถื่อนรุกรานบุกปล้น แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากเผ่าคนเถื่อนมาเช่นกัน ในไต้โจวหากเป็นผู้ที่พอมีทุนทรัพย์อยู่บ้าง เมื่อมีเด็กผู้ชายเกิดมาในบ้าน สิ่งแรกที่จะเตรียมก็คือเหล็กเนื้อดีสักก้อน หลังจากนั้นทุกปีจะหลอมหนึ่งครั้ง รอจนกระทั่งเด็กชายผู้นี้กลายเป็นผู้ใหญ่ก็จะนำเหล็กกล้าชิ้นนี้ตีเป็นอาวุธ
อาวุธที่ทำจากเหล็กเนื้อดีซึ่งผ่านการหลอมมากมายหลายหนย่อมกวัดแกว่งได้ดั่งใจ นอกจากนี้เมื่อเด็กชายผู้นี้เติบใหญ่ได้สักหน่อยก็จะเลือกลูกม้าตัวหนึ่งให้เขาเลี้ยงดูและดูแลด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ยามเด็กชายเติบใหญ่แล้วก็จะมีอาชาแสนรักตัวหนึ่งที่ใจสื่อถึงกันได้ ถึงแม้ว่าต่อมากองทัพไต้โจวจะกลายเป็นทหารของทางการอย่างถูกต้องแล้ว แต่ขนบธรรมเนียมเช่นนี้ก็มิได้เปลี่ยนไป ดังนั้นยามมองดูกองทัพไต้โจวมักจะรู้สึกเหมือนหัวมังกุท้ายมังกรอยู่เล็กน้อย ทว่ามีแต่ผู้ที่เคยทำศึกด้วยเช่นพวกเขาเท่านั้นที่จะทราบความน่ากลัวของกองทัพไต้โจว
เพราะทำศึกกับเผ่าคนเถื่อนเป็นประจำ พลทหารไต้โจวแทบทุกคนจึงล้วนมีประสบการณ์ถูกพวกคนเถื่อนไล่ล่าทั้งที่มีเพียงหอกหนึ่งเล่มกับอาชาหนึ่งตัว ด้วยเหตุนี้ ทักษะการต่อสู้ของพวกเขาจึงเยี่ยมยอด เมื่อพวกเขารวมกันเป็นกองทหารม้า ก็กลับกลายเป็นภาพอีกแบบหนึ่ง กองทัพไต้โจวอาศัยสายเลือดและเขตพื้นที่แบ่งเป็นกองทหาร ดังนั้นเมื่อเข้าสู่สนามรบ ทหารม้าเหล่านี้จึงร่วมมือกันรบได้สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ เพื่อความปลอดภัยของคนในครอบครัว พวกเขาต่อสู้อย่างห้าวหาญมิเกรงกลัวความตาย กองทหารเช่นนี้กล่าวได้ว่าไร้เทียมทานในใต้หล้า
แต่ทว่าเกือบร้อยปีที่ผ่านมา กองทัพไต้โจวมิเคยย่างกรายออกจากเขตแดนมาทำศึก ดังนั้นนอกจากเผ่าคนเถื่อนกับกองทัพเป่ยฮั่นที่เคยทำศึกดุเดือดกับกองทัพไต้โจวจึงมิมีผู้ใดล่วงรู้ความน่ากลัวที่แท้จริงของกองทัพไต้โจวมาก่อน ครั้งนี้ในที่สุดเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นใช้สายสัมพันธ์โน้มน้าวไต้โจวให้ยกทัพออกรบสำเร็จ หลินปี้เป็นแม่ทัพใหญ่รุ่นต่อไปในใจของเหล่าทหารไต้โจวอย่างไม่มีตัวเลือกที่สอง เห็นแก่หลงถิงเฟยที่เป็นว่าที่สามีของหลินปี้ กองทัพไต้โจวจึงยินยอมมาช่วยรบที่ชิ่นหยวน
ขณะที่หลี่เสี่ยนกับจิงฉือคิดตรงกันว่าต้องถอยทัพ หลงถิงเฟยก็นำกองทัพเป่ยฮั่นเพียรถ่วงรั้งไม่เลิก ไกลออกไปมีเสียงแตรสัญญาณดังขึ้น แตรสัญญาณนั่นแตกต่างจากท่วงทำนองที่กองทัพต้ายงและกองทัพเป่ยฮั่นมักใช้ มันวังเวงและเปี่ยมไปด้วยความป่าเถื่อน ทำให้คนที่ได้ยินพลันรู้สึกขวัญสะท้าน ยิ่งไปกว่านั้น หูของหลี่เสี่ยนกับจิงฉือยังได้ยินเสียงแตรสัญญาณนั่นเคลื่อนเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แทบจะเร็วดุจสายฟ้าฟาด
การจะรักษารูปกระบวนทัพบุกทะลวงของทหารม้าด้วยความเร็วเท่านี้ ทั้งสองคนล้วนยอมรับว่าตนมิมีความสามารถนั้น ในหัวใจยิ่งกังวลอย่างห้ามมิได้ แตรสัญญาณนั่นบีบเข้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เมื่อเข้าใกล้สนามรบกลับฉับพลันเปลี่ยนทิศทาง อ้อมวกมาท้ายกองทัพของหลี่เสี่ยน หลี่เสี่ยนตกตะลึงยิ่งนัก รีบตะโกนเร่งแม่ทัพและพลทหารใต้บัญชาให้เปลี่ยนรูปกระบวนทัพ เสริมการป้องกันของท้ายขบวน
ทว่าในเวลาที่คำสั่งของหลี่เสี่ยนส่งไปทั่วทั้งกองทัพ กองทัพต้ายงที่กำลังพยายามแปรขบวนอยู่ก็ถูกจู่โจมอย่างหนักหน่วง แม้อาชาศึกของกองทัพไต้โจวจะขนสีด่างดวง แต่พวกมันกลับมีจุดเด่นร่วมกันอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือพวกมันล้วนเป็นอาชาศึกชั้นยอด ในสนามรบหากต้องการจะรักษาชีวิต อาชาศึกชั้นดีคือเงื่อนไขสำคัญยิ่งยวด ไต้โจวอยู่ใกล้กับดินแดนของคนเถื่อน แม้ทุกปีต้องทำศึกกัน แต่ยามสงบก็ค้าขายกันมิเคยขาด คนไต้โจวมีช่องทางที่ดีกว่าในการได้อาชาชั้นเยี่ยมของเผ่าคนเถื่อน ดังนั้นหลินปี้จึงนำกองทัพไต้โจวพุ่งทะลวงท้ายกองทัพของต้ายงได้โดยมิชะลอความเร็วแต่อย่างใด หลังจากนั้นลูกศรก็พร่างพรมดุจสายฝน กำจัดท้ายกระบวนทัพของต้ายงอย่างแม่นยำและไร้เมตตา