ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 69 เผาชิ่นสุ่ย (3)
ซูชิงใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายปี ฝ่าฟันอันตรายจนเป็นเรื่องธรรมดา แม้มากกว่าครึ่งจะพึ่งพาวรยุทธ์และความชาญฉลาด แต่ข้อเด่นประการหนึ่งที่ยากจะหาผู้ใดเทียบเทียมได้ก็คือสัมผัสอันเฉียบคมต่ออันตราย แม้บางเรื่องยังมิทันเกิด หรือกระทั่งเค้าลางก็ยังมิเผยออกมา ทว่าซูชิงมักมีสัญญาณเตือนบางอย่างเสมอ ถึงที่ผ่านมาจะเป็นเพียงความไม่สบายใจ หรือความหวั่นใจ ทว่าก็กลายเป็นจริงมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นางอาศัยร่างกายของสตรีนางหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างอิสระในเป่ยฮั่นได้
ค่ำคืนนี้ตอนเที่ยงคืนนางสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย หลังลุกขึ้นมาทั่วทั้งร่างก็หลั่งเหงื่อเย็นเฉียบ ด้วยเหตุนี้นางจึงปลุกหรูเย่ว์ทันที นางสวมชุดเกราะ เดินออกจากกระโจม แม้มิอาจอาศัยความรู้สึกของตนแจ้งเตือนภัยได้ แต่อย่างน้อยนางก็ต้องสำรวจดูสักหน่อยว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่
นางเดินช้าๆ อยู่ในค่ายทหาร พลทหารลาดตระเวนเห็นนางก็ต่างค้อมกายคำนับ ซูชิงคำนับกลับทีละคน แต่จิตใจมิทราบว่าบินหนีไปที่ใด นางจดจ่อตั้งใจสำรวจรอบด้าน หวังว่าจะหาร่องรอยที่ทำให้ลางสังหรณ์ในใจตนทำงานพบ แต่สิ่งที่นางสัมผัสได้มีแต่ความตึงเครียดกับความเงียบสงบ ในใจจึงค่อยๆ มีความร้อนรนสายหนึ่งผุดขึ้นมา ซูชิงหมุนตัวเดินไปยังแม่น้ำชิ่นสุ่ย การนั่งลงริมฝั่งน้ำฟังเสียงสายน้ำไหลรินน่าจะเป็นวิธีคลายความกลัดกลุ้มในหัวใจที่ดีที่สุดแล้วกระมัง เมื่อเดินไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ ซูชิงก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อากาศเย็นฉ่ำไหลเข้าไปในปอด ทันใดนั้นซูชิงก็ขมวดคิ้ว ในอากาศมีกลิ่นที่คุ้นเคยกลิ่นหนึ่งอยู่จางๆ มันฉุนและแสบจมูก
ดวงตาของนางทอประกายเย็นยะเยือกออกมาทันใด สายตาตวัดฉับเคลื่อนไปจับบนผิวน้ำ สีหน้าของซูชิงหวาดผวาในฉับพลัน นางหันหลังกลับเดินไปยังกระโจมแม่ทัพโดยไม่หยุดคิด จะตื่นตระหนกมิได้ จะกระโตกกระตากให้ทั้งค่ายรู้มิได้ มิเช่นนั้นสุ่มเสี่ยงอาจค่ายแตกกลางค่ำคืน
แสงโคมในกระโจมของฉีอ๋องยังมิมอดดับ ซูชิงเดินมาถึงนอกกระโจม เห็นว่าผู้ที่เฝ้าเวรยามกลางคืนอยู่ด้านนอกคือจวงจวิ้นองครักษ์คนสนิทของฉีอ๋อง นางจึงรีบร้อนก้าวเข้ามากระซิบว่า “องค์ชายอยู่ที่ใด ผู้น้อยมีเรื่องด่วนต้องรายงาน”
ดวงตาของจวงจวิ้นฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง มิเข้าใจว่าเหตุใดซูชิงจึงสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ แต่เขาทราบว่าซูชิงเป็นทหารสอดแนมฝีมือดี ดังนั้นจึงรีบเข้าไปในกระโจม มินานนักฉีอ๋องก็สวมชุดเกราะเดินออกมา แสงคบเพลิงส่องกระทบใบหน้าของซูชิง ดวงหน้างดงามซีดเผือดดุจหิมะ หลังจากได้ยินซูชิงรายงานสถานการณ์จบ ดวงตาของหลี่เสี่ยนพลันลุกโชนดุจเปลวเพลิง เขาให้คนถ่ายทอดคำสั่งหลายย่างทันที กองทัพต้ายงทั้งหมดถอนทัพในทันใด
พวกเขามิทราบว่ากองทัพเป่ยฮั่นจะเคลื่อนไหวเมื่อใด แต่ซูชิงบอกไว้ชัดเจนยิ่งว่าควันยามน้ำมันดำชนิดนี้เผาไหม้มีพิษ ต่อให้หลบเข้าไปในหุบเขาสองฝั่งก็ยากจะหนีพ้นภัย ยิ่งไปกว่านั้นหากกองทัพเป่ยฮั่นบุกเข้ามา น่ากลัวว่าคงกลายเป็นตะพาบในไห ตายเพราะจนมุม ดังนั้นมิว่าอย่างไรก็มีเพียงต้องหนีอย่างเดียวเท่านั้น
โชคดีสองวันที่ผ่านมากองทัพต้ายงล้วนมิมีผู้ใดถอดเกราะ อาชามิเคยปลดอาน ดังนั้นในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งกองทัพก็เตรียมพร้อมเรียบร้อย จากนั้นเคลื่อนตัวออกเดินทางทีละกองด้วยความเร็วสูงสุด หลี่เสี่ยนมองพลทหารเดินเท้าที่สีหน้ามึนงงเหล่านั้น พวกเขายากจะถอยทัพได้ทันเวลา แต่เดิมวางกำลังพลของพวกเขาไว้ที่นี่เพื่อป้องกันให้ดีขึ้นและเพื่อมิให้กองทัพเป่ยฮั่นค้นพบว่าการถอยทัพมีแผนการซ่อนอยู่ แต่กลับกลายเป็นว่าบุรุษผู้กล้าหาญเหล่านี้ต้องมาตายอย่างอัปยศอยู่ที่นี่
แม้มิทราบว่ากองทัพเป่ยฮั่นจะลงมือเมื่อใด ทว่าก่อนฟ้าสางคนเหล่านี้ยากจะหนีพ้นหุบเขา เส้นทางคับแคบเกินไป ถึงกระนั้นในใจหลี่เสี่ยนก็ทราบดีว่ามิอาจบอกความจริงออกไปได้ หากพลทหารเหล่านี้ทราบว่ากำลังจะต้องตาย เกรงว่าคงโกลาหลครั้งใหญ่ ถึงยามนั้นหากทำให้กองทัพเป่ยฮั่นรู้ตัวเข้า น่ากลัวว่าสักคนก็คงหนีออกไปมิพ้น
หลี่เสี่ยนตัดสินใจสั่งว่า “เซวียนซง ส่งผู้ใดสักคนนำพวกเขาไปรอที่ปากหุบเขา บอกว่าถึงยามฟ้าสางจะลอบโจมตีค่ายของเป่ยฮั่น หากไฟลุกขึ้นมาก็จงพาพวกเขาฝ่าออกไปทางปากหุบเขา โจมตีกองทัพเป่ยฮั่น ท่านเลือกผู้ใดสักคนที่พร้อมยอมตายไป”
เซวียนซงปวดใจนัก แต่เขาทราบว่ามีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น สุดท้ายจึงก้าวเข้าไปคำนับกล่าวว่า “องค์ชาย ผู้น้อยบัญชาการพลทหารเหล่านี้มาหลายวัน มิสู้ให้ผู้น้อยนำทัพพวกเขาออกโจมตีด้วยตนเอง เพื่อมิให้เลือกจังหวะพลาดจนต้องสละชีพอย่างเปล่าประโยชน์”
หลี่เสี่ยนตวาด “เหลวไหล เจ้าเป็นถึงยอดแม่ทัพในกองทัพ ข้าหมายใจจะให้ทำงานสำคัญ ไฉนจะมาตายเพราะเรื่องนี้”
เซวียนซงตอบว่า “องค์ชายคงหมายใจจะให้ผู้น้อยขัดขวางการไล่ล่าของกองทัพเป่ยฮั่น ทว่าองค์ชายก็เชี่ยวชาญการถอยทัพหลังพ่ายศึกมาแต่ไหนแต่ไร ตัวตนของผู้น้อยมิใช่สิ่งจำเป็น กลับกันเพื่อสู้ศึกชโลมเลือดกับทหารเป่ยฮั่นที่ไล่ตาม ต้องการแม่ทัพเก่งกล้าเช่นแม่ทัพจิงมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้หากไม่มีแม่ทัพคนสำคัญสักคนรั้งท้าย น่ากลัวว่าจิตใจของทหารคงสั่นคลอน ผู้น้อยเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเหตุที่ผิดแผนครั้งนี้เป็นเพราะผู้น้อยมิทันสังเกตพบแผนร้ายของกองทัพศัตรู ผู้น้อยจึงสมควรสร้างความชอบชดใช้ความผิด”
หลี่เสี่ยนฟังจบพลันรู้สึกปวดใจยากทนรับไหว แต่เขารู้ดีว่าหากไม่มียอดแม่ทัพเช่นเซวียนซงรั้งท้าย ขวัญกำลังใจทหารก็คงปั่นป่วนง่ายจริงๆ ดวงตาฉายแววเสียดายอย่างสุดซึ้ง จากนั้นเขาจึงเอ่ยแผ่วเบาว่า “ได้ จิงฉือ พวกเราออกเดินทาง” กล่าวจบก็ขึ้นอาชาศึก ชักม้าวิ่งจากไปโดยมิหันกลับมา
จิงฉือลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ทำได้เพียงติดตามไป เรื่องที่กองทัพศัตรูหมายจะใช้ไฟโจมตี มีเพียงฉีอ๋องกับแม่ทัพจำนวนน้อยที่ทราบ ดังนั้นกองทัพต้ายงจึงมิวุ่นวายแม้แต่น้อย เพียงแจ้งว่าฉีอ๋องตัดสินใจถอยทัพตอนกลางคืนเท่านั้น
หลี่เสี่ยนควบม้าไประยะหนึ่งก็พลันควบม้าเลี้ยวกลับมา ชี้เซวียนซงแล้วว่า “แม่ทัพเซวียน เรื่องที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ ท่านดำเนินการได้ตามที่เห็นควร ห้ามทิ้งชีวิตเพื่อแว่นแคว้นง่ายๆ หากมีสิ่งผิดพลาดประการใด ข้าจะแบกรับไว้เอง”
เซวียนซงกายสะท้าน ทราบว่าฉีอ๋องบอกเป็นนัยให้เขายอมจำนนเมื่อถึงยามจวนตัวเพื่อรักษาชีวิตไว้ แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เขาทำมิได้ แต่เขาก็ยังค้อมกายคำนับตอบว่า “ผู้น้อยรับบัญชา” น้ำเสียงแฝงแววเศร้าสร้อยเลือนราง
เมื่อเงาร่างของฉีอ๋องหายลับไปกับรัตติกาล เซวียนซงก็กลับมามีสีหน้านิ่งสงบ กล่าวขึ้นว่า “ยามฟ้าสางเตรียมตัวลอบโจมตีค่าย ตอนนี้ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้พลทหารทั้งหมดออกเดินทาง”
เวลานี้ราตรีมืดสนิทนัก เซวียนซงสั่งให้ทหารทั้งหลายคาบแท่งไม้ หลังจากนั้นให้ทุกคนใช้ผืนผ้าชุบน้ำสะอาดในหุบเขาพันปากกับจมูก แล้วยังให้องครักษ์คนสนิทเดินริมฝั่งแม่น้ำ แสงสลัวจึงมิมีผู้ใดค้นพบความผิดปกติในแม่น้ำ แม้คนที่ฉลาดบางคนจะจับสังเกตความผิดปกติได้แล้ว แต่คำสั่งกองทัพดั่งขุนเขา เวลานี้หากโวยวายขึ้นมาย่อมถูกดาบฟันกลายเป็นผีทันทีอย่างมิอาจเลี่ยง พวกเขาจึงได้แต่เคลื่อนไหวติดตามกองทัพไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานกองทัพต้ายงก็มาถึงปากหุบเขา เซวียนซงสั่งให้องครักษ์คนสนิทออกไปสืบดูสถานการณ์ ยามกลับมา องครักษ์คนสนิทผู้นั้นหน้าถอดสี รายงานเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพ ค่ายของกองทัพศัตรูอยู่ห่างจากที่นี่มิไกล ข้าเห็นเงาคนมากมายอยู่ริมฝั่งน้ำ” องครักษ์คนสนิทผู้นี้ทราบความจริงอยู่แล้ว จึงทราบความอันตรายที่แฝงอยู่ในเรื่องนั้น
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ประกายเพลิงก็ลุกวาบขึ้นนอกหุบเขา เพียงพริบตาเดียวแม่น้ำชิ่นสุ่ยที่อยู่ด้านข้างพลันมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ ควันพิษสีดำโถมมาสองฟากฝั่ง ควันสีดำคละคลุ้งท่วมในหุบเขาจนยากจะมองเห็นเงาคนฝั่งตรงข้าม เซวียนซงให้คนตีกลอง เสียงกลองทุ้มหนักคล้ายเสียงครวญชวนสลดของสัตว์ร้ายที่จนตรอก ยามนี้ต่อให้มิมีคำสั่งของเซวีนยซง เมื่อเผชิญหน้ากับความตายที่อยู่ด้านหลัง ย่อมมีเพียงหนทางเดียวให้เดิน
กองทัพต้ายงฝ่าออกไปนอกหุบเขาตามคำบัญชาการทัพ ทว่าหุบเขาทางแคบจึงได้แต่เรียงแถวออกไป แม้เป็นในเวลาเช่นนี้ กองทัพต้ายงก็ค่อนข้างมีระเบียบ มิเบียดเสียดกันเอง เห็นได้ว่าฝึกวินัยมาอย่างดี ทว่าไม่นานเบื้องหน้าพลันมีเสียงร้องตกใจและเสียงคมอาวุธปะทะกันดังขึ้น น้ำตาทอประกายคลออยู่ในดวงตาของเซวียนซง นี่เป็นการฆ่าตัวตาย พลทหารเดินเท้าของกองทัพต้ายงสองหมื่นนายเผชิญหน้ากับทหารม้าเป่ยฮั่นกับกองทัพไต้โจวหนึ่งแสนนาย ผลลัพธ์ย่อมเป็นความตายอย่างมิต้องสงสัย
เขาพึมพำออกจากปากแผ่วเบา “ฉู่เซียงโหว ผู้น้อยทำให้ท่านผิดหวัง มองแผนการร้ายใช้เพลิงเผาชิ่นสุ่ยของกองทัพศัตรูมิออก หากผู้น้อยสังเกตเห็นเร็วกว่านี้สักหน่อย มิว่าอย่างไรก็มีหนทางรับมือ ยามนี้ทำได้เพียงใช้ความตายชดใช้ความผิด หวังว่าแผนการของท่านจะสำเร็จ ล้างแค้นครานี้ให้แก่ไพร่พลต้ายงของพวกเรา”
เขาเงยหน้าขึ้น ชักกระบี่ยาวจากข้างเอว ฝ่าไปด้านหน้าท่ามกลางการคุ้มกันขององครักษ์คนสนิท วิ่งทะยานสู่ห้วงมรณาที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า แม้นต้องวางวาย เขาก็ปรารถนาจะตายอยู่กลางกระบวนทัพของทหารเป่ยฮั่น เบื้องหลังเขา เปลวเพลิงเหนือแม่น้ำชิ่นสุ่ยลุกลามยาวหลายลี้ในชั่วพริบตา แล้วยังลามไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เบื้องล่างคือสายน้ำหนาวยะเยือก เบื้องบนคือเปลวเพลิงแผดเผา ควันดำลอยฟุ้งตลบ ไอพิษขมุกขมัว ต้นไม้ใบหญ้าสองฝั่งถูกพระเพลิงแผดเผา เปลวเพลิงยิ่งโหมกระหน่ำ ศิลาถูกควันสีดำรมจนดำสนิท หากมีผู้ใดอยู่ที่นี่ย่อมมิมีโอกาสรอดชีวิตอย่างแน่นอน โตรกธารสามสิบลี้กลายเป็นแดนสังหาร พระเพลิงโหมกระหน่ำกลืนกินทุกชีวิตจนสิ้น
กองทัพเป่ยฮั่นเผาแม่น้ำชิ่นสุ่ย นอกจากทหารม้าหนึ่งหมื่นกว่านายและพลทหารเดินเท้าสองหมื่นนายที่ถอยทัพจากไปก่อน กองทหารม้าใต้บัญชาฉีอ๋องกับจิงฉือมีทหารรอดชีวิตมาสามหมื่นกว่านาย มีทหารเพียงพันกว่านายหนีออกมามิทันถูกทะเลเพลิงกลืนกิน เพราะออกเดินทางทันเวลา ผนวกกับน้ำมันดำมีไม่มากพอ ดังนั้นกำลังหลักของกองทัพต้ายงจึงโชคดีรอดมาได้ ทว่าพลทหารเดินเท้าสองหมื่นนายที่จู่โจมประหนึ่งฆ่าตัวตายกลับย่อยยับทั้งกองทัพ
ขณะที่ทำให้ทหารม้าเป่ยฮั่นล้มตายได้เพียงพันกว่านาย ยามนี้พลทหารเดินเท้าและทหารม้าหนึ่งแสนสามหมื่นนายของกองทัพต้ายงที่ยกพลบุกขึ้นเหนือพ่ายแพ้จนเหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่ง แม้ทหารม้าที่เป็นกำลังหลักยังคงอยู่ แต่กองทัพเป่ยฮั่นกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงแล้ว