ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 78 วางเหยื่อล่อหอมหวาน (3)
เมื่อหวงหลีกลับมาจากตำหนักของฮองเฮาก็หน้านิ่วด้วยความกลัดกลุ้ม นางบ่นกับฉานเอ๋อร์ “ครานี้จะทำเช่นไรดีเล่า เจ๋อโจวพ่ายศึกอีกแล้ว ได้ยินว่ากองทัพไต้โจวปรากฎตัวขึ้น ฉีอ๋องปราชัยถอยทัพสามสิบลี้ แล้วยังถูกกองเพลิงเผาจนวอดวายอีก
เหมือนจะมีแม่ทัพคนหนึ่งรั้งท้ายสกัดศัตรูตามลำพังจนมิรู้เป็นหรือตายอีกด้วย ฉีอ๋องมิใช่แม่ทัพผู้เลื่องชื่อที่มีนับนิ้วได้หรือไร ยังมีพระราชบุตรเขยเจียงผู้สติปัญญาเหนือกว่าผู้ใดคนนั้นอีกมิใช่หรือ แต่กลับพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้
ฮองเฮาตรัสว่า ฝ่าบาทกำลังเรียกประชุมขุนนางใหญ่ เตรียมตัวจะยกทัพไปด้วยตนเอง เฮ้อ ฝ่าบาทพระวรกายล้ำค่าดุจทองคำ ไยต้องออกไปรบเองด้วยเล่า ราชสำนักมิใช่ว่ามิมีแม่ทัพแล้วเสียหน่อย แม้หลายวันก่อนแม่ทัพจ่างซุนถูกส่งไปป้องกันฝั่งหนานฉู่แล้ว แต่ก็ยังมีพวกแม่ทัพฉินมิใช่หรือ”
ฉานเอ๋อร์ปลอบว่า “พระสนม ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเป็นถึงแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งต้ายง หากออกศึกเองต้องนำชัยชนะมาได้แน่ มิสู้พระสนมรีบปักอาภรณ์มังกรให้เสร็จเร็วขึ้นสักหน่อย หากทันให้ฝ่าบาทสวมก่อนออกศึก นั่นจะดีมากเพียงใด”
หวงหลีได้ยินก็พยักหน้า รีบหยิบอาภรณ์มังกรที่ยังทำไม่เสร็จขึ้นมาเริ่มปักอย่างว่องไว ฉานเอ๋อร์เห็นนางตั้งอกตั้งใจ มิทันสนใจตนเองก็ลอบเดินออกไปด้านนอก อ้างว่าต้องไปห้องเครื่อง ตกกลางคืน ข่าวที่หลี่จื้อกำลังจะยกทัพด้วยตนเองก็ส่งต่อไปถึงตงชวน
นอกตำหนักเหวินหวา หลังจากขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักทั้งหลายก้าวเข้าไปเมื่อครู่ ขันทีกับนางข้าหลวงทั้งหมดล้วนถูกไล่ออกมาจากตำหนัก คนเหล่านี้ล้วนตัวสั่นเทา ผู้ใดมิทราบบ้างว่าเมื่อครู่ในตำหนักฝ่าบาททรงโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก หากเวลานี้ทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองเข้า น่ากลัวว่าชีวิตคงน่าเป็นห่วง ในสายพระเนตรของจักรพรรดิผู้ปรีชา ชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ก็ต่ำต้อยดั่งมดปลวกเท่านั้น ความพิโรธของโอรสสวรรค์ มิใช่สิ่งที่จะดูแคลนได้
คนเหล่านี้คงคิดมิถึงอย่างสิ้นเชิงว่า บรรยากาศด้านในตำหนักเหวินหวามิได้เคร่งเครียดดังที่พวกเขาจินตนาการเช่นนั้น ความจริงแล้วหลี่จื้อกำลังนั่งยิ้มอ่านฎีกาลับฉบับหนึ่งอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร นั่นเป็นฎีกาลับที่หลี่เสี่ยนกับฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อเขียนมาร่วมกัน แล้วส่งมาผ่านช่องทางอันเป็นความลับที่สุด
เจิ้งเสีย สืออวี้ ต่งจื้อ กวนซิว โก่วเหลียน รวมถึงฉินอี๋กับเฉิงซูล้วนถูกหลี่จื้อเรียกเข้ามาในตำหนัก การจัดฉากเช่นนี้จะยิ่งทำให้ผู้คนเชื่อว่าแนวหน้าเกิดเรื่องด่วนจริงๆ แม้แต่ฉินอี๋กับเฉิงซูยามถูกพระราชโองการเรียกมาก็ยังนึกหวาดหวั่นกังวลใจ จนกระทั่งได้ทราบสายสนกลในของเรื่องราวจึงสงบใจลงได้
หลี่จื้อวางฎีกาลับลงแล้วตรัสอย่างเบิกบานพระทัย “น้องหกกับสุยอวิ๋นมิทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ยามนี้กองทัพเป่ยฮั่นติดกับดักแล้ว ผลแพ้ชนะแน่นอนแล้ว น้องหกมิกลัวเกรงอันตราย เสี่ยงภัยมิคิดถึงชีวิต ข้าโล่งอกนัก”
สืออวี้ยิ้มตอบ “ฝ่าบาทวางแผนเพื่อสงครามกับเป่ยฮั่นมาเนิ่นนาน แม้แม่ทัพจ่างซุนอ้างว่ายกทัพไปช่วยแม่ทัพเผย แต่การจะให้กองทัพใหญ่สามแสนเร่งรีบเดินทัพไปยังเจ๋อโจวอย่างไร้ข่าวคราวก็ทำให้ฝ่าบาทต้องสิ้นเปลืองความคิดมากนัก
ยามนี้นับว่าล้อมกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นได้แล้ว ด้วยฝีมือการบัญชากองทัพของฉีอ๋อง ต่อให้หลงถิงเฟยบัญชากองทัพได้ดุจเทพก็ฝ่าวงล้อมออกมามิได้ ยิ่งไปกว่านั้น กำลังหลักของกองทัพไต้โจวก็ตกอยู่ในวงล้อมด้วย เรื่องนี้ย่อมมีประโยชน์ต่อการตีเอาไต้โจวในวันหน้า”
ฉินอี๋ขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ข้าเคยพบหลินหย่วนถิงแห่งไต้โจวมาก่อน คนผู้นี้องอาจห้าวหาญ เข้มแข็งและภักดี หากต้องการให้คนผู้นี้ยอมจำนนคงยากนัก แต่ตระกูลหลินแห่งไต้โจวมีคุณงามความดีต่อแผ่นดินและปวงประชา เกียรติภูมิของพวกเขาในไต้โจวสูงส่งดั่งตะวันกลางฟากฟ้า หากตระกูลหลินยืนกรานมิยอมสวามิภักดิ์ เกรงว่าฝ่าบาทก็คงลำบากเช่นกัน”
โก่วเหลียนเอ่ยบ้าง “แม้ความกังวลของซิ่นกั๋วกงถูกต้องเป็นที่สุด ทว่าตระกูลหลินแห่งไต้โจวมีชื่อเสียงเลื่องลือเพราะพวกเขาปกปักษ์ไต้โจว ต่อต้านเผ่าคนเถื่อนมาทุกยุคทุกสมัย สำหรับพวกเขาแล้ว การปกป้องแผ่นดินเกิดจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ดังนั้นตอนแรกแม้พวกเขาไม่พอใจที่อดีตเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นตั้งตนเป็นอิสระ แต่สุดท้ายก็ยังยอมสวามิภักดิ์ นั่นก็เพราะพวกเขามิต้องการมีศัตรูสองด้าน ขอเพียงแยกไต้โจวกับจิ้นหยางออกจากกัน ถึงเวลาตีจิ้นหยางแตก เป่ยฮั่นล่มสลาย สุดท้ายตระกูลหลินย่อมสวามิภักดิ์ บางทีพวกเขาอาจต่อต้านการปกครองของต้ายง แต่ย่อมมิเป็นศัตรูกับราชสำนัก”
หลี่จื้อพยักหน้ากล่าวว่า “แม้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังหวังว่าตระกูลหลินจะยินยอมพร้อมใจสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ตระกูลหลินพิทักษ์ไต้โจว ต่อต้านเผ่าคนเถื่อนจากรุ่นสู่รุ่น คุณงามความดีมากมายนัก วันหน้าเมื่อต้ายงรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งก็ยังต้องการแม่ทัพชั้นยอดคอยปกปักษ์ไต้โจว ตระกูลหลินเป็นตัวเลือกที่มิมีผู้ใดเทียบได้ ข้าส่งสารไปแจ้งฉีอ๋องแล้วว่าให้เขารักษาชีวิตขององค์หญิงจยาผิงหลินปี้ไว้ให้จงได้ ส่วนกองทัพไต้โจวก็บีบให้ยอมจำนนเป็นหลัก”
เจิ้งเสียกราบทูลอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา แม้ตระกูลหลินแห่งไต้โจวดูแคลนการแยกตนออกมาตั้งตัวเป็นใหญ่ แต่ทุกรุ่นล้วนเป็นแม่ทัพฝีมือดีผู้ภักดีต่อผู้ปกครอง มิมีใจทะเยอทะยาน หากอภัยโทษได้ พวกเขาย่อมกลายเป็นปราการแห่งชายแดนเหนือ ทว่าหากต้องการให้ตระกูลหลินยอมสวามิภักดิ์ หนทางที่ดีที่สุดก็ยังคงเป็นการบีบราชวงศ์เป่ยฮั่นให้ยอมจำนนแล้วให้เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นเขียนสารยอมสวามิภักดิ์ หากใช้กองทัพเข้าปราบ กองทัพไต้โจวย่อมลุกขึ้นต่อต้านเป็นแน่ หากสองทัพต่อสู้กัน ความเสียหายย่อมมากมาย มิเป็นประโยชน์ต่อการบำรุงขวัญไต้โจวในวันหน้า”
หลี่จื้อตรัสว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น ครั้งนี้ข้าตัดสินใจจะยกทัพออกไปด้วยตนเอง แม้เจตนาล่อลวงศัตรูด้วยประการหนึ่ง แต่เป้าหมายอันดับแรกก็ยังเป็นการคุมสถานการณ์ที่เป่ยฮั่นให้สงบ แม้ฉีอ๋องจะกล้าหาญ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามิเคยไยดีการปกครอง สุยอวิ๋นก็ร่างกายอ่อนแอ เหน็ดเหนื่อยมากมิได้ เรื่องราวที่ต้องจัดการหลังปราบเป่ยฮั่นได้มีสารพัดสารพัน ข้าต้องจัดการเองจึงจะได้”
พวกเจิ้งเสียมิคัดค้านการที่หลี่จื้อจะนำทัพไปด้วยตนเอง ยังมิต้องพูดถึงว่าเดิมทีหลี่จื้อก็เป็นเทพสงครามแห่งต้ายง ยกทัพไปรบชนะจนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ต่อให้ทำเพื่อฉีอ๋อง การที่หลี่จื้อนำทัพไปยังสมรภูมิเป่ยฮั่นด้วยตนเองก็เป็นประโยชน์มากกว่ามีผลเสีย แม้ศึกครั้งนี้ฉีอ๋องมิได้สร้างผลงานโดดเด่นในสงคราม แต่หากมิใช่เพราะเขาเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตรายล่อกองทัพเป่ยฮั่นเข้ามาสู่กับดัก สถานการณ์ก็คงมิเป็นเช่นตอนนี้
หลังจากฉีอ๋องกำจัดกองทัพเป่ยฮั่นเสร็จแล้ว เขาย่อมยกทัพขึ้นไปจิ้นหยาง บุกตีเมืองหลวงของเป่ยฮั่นได้ ทว่าความดีความชอบเช่นนั้นมากเกินไปสำหรับฉีอ๋อง หากหลี่จื้อนำทัพบัญชาการสยบเป่ยฮั่นด้วยตนเองในศึกสุดท้าย มิว่าสำหรับต้ายงหรือฉีอ๋องก็ล้วนเป็นหนทางจัดการที่เหมาะสมมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น การที่หลี่จื้อนำทัพไปด้วยตนเองยังมีประโยชน์ในการล่องูออกจากโพรงอีกด้วย แทนที่จะให้ชิ่งอ๋องที่ตงชวนก่อเรื่องในยามที่ต้ายงอ่อนแอที่สุด มิสู้ให้เขาก่อเรื่องในช่วงเวลาที่ราชสำนักเลือกไว้จะเหมาะสมกว่า
ขณะที่หลี่จื้อกับทุกคนกำลังหารือเรื่องการยกทัพไปด้วยพระองค์เอง ซ่งหว่านก็เดินเข้ามาในตำหนักอย่างเงียบเชียบแล้วถวายฎีกาลับฉบับหนึ่ง หลี่จื้อรับมาอ่านจนจบ คิ้วกระบี่ก็เลิกสูง ตรัสว่า “ฎีกาของเซี่ยโหว ทางฝั่งเขาจัดการเรียบร้อยแล้ว เคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา ยามนี้จึงขอคำสั่งจากข้า”
เมื่อได้ยินนามของเซี่ยโหวหยวนเฟิง ทุกคนก็อดขมวดคิ้วน้อยๆ มิได้ แม้หลายปีที่ผ่านมาเซี่ยโหวหยวนเฟิงกลายเป็นคนสนิทของจักรพรรดิต้ายงแล้ว แต่ชายหนุ่มรูปงามดั่งหยกในวันวานผู้นี้ก็เป็นเงาดำมืดในใจของพวกเขาหลายคน
ความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเซี่ยโหวหยวนเฟิงทำให้คนทั้งหลายประณาม แต่ทุกคนต่างทราบความสำคัญของกรมวินิจการณ์ในใจหลี่จื้อ ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็ยังมีเงาของเจียงเจ๋อทอดอยู่ แม้เจียงเจ๋อมิเคยสอดมือเข้ามายุ่งในงานของกรมวินิจการณ์ แต่ครั้งกระโน้นเซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับตัวกลับใจมาภักดีต่อยงอ๋องผ่านทางเจียงเจ๋อ หัวหลิวผู้ช่วยของเขาก็เป็นอดีตลูกน้องคนสนิทของเจียงเจ๋อ เซี่ยโหวหยวนเฟิงเองก็นับถือเจียงเจ๋ออย่างยิ่งมิว่าจะในทางลับหรือในทางแจ้ง ดังนั้นทุกคนจึงนับเขาเป็นขุมกำลังฝ่ายหนึ่งของเจียงเจ๋ออยู่ในที
แม้เป็นเช่นนี้ เมื่อได้ยินว่าภัยร้ายใหญ่หลวงที่ซุกซ่อนอยู่ในแว่นเคว้นกำลังจะถูกกำจัด ใบหน้าของทุกคนก็เผยสีหน้ายินดีปรีดา หลี่จื้อวางฎีกาลับลง ในใจกลับมีความกังวลเลือนราง ในฎีกาลับของเซี่ยโหวหยวนเฟิงลอบบอกเป็นนัยว่าจะถือโอกาสรับช่วงขุมกำลังลับของเจียงเจ๋อในเขตอดีตแคว้นสู่ หากกล่าวตามความคิดของตัวหลี่จื้อเอง หลังจากตงชวนตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้มีขุมอำนาจที่เป็นอิสระจากการควบคุมของเขาเหลืออยู่
มิว่าเจียงเจ๋อจะควบคุมขุมกำลังของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแห่งนี้ได้ดีเพียงไร สุดท้ายมันก็ยังเป็นกลุ่มกบฏกลุ่มหนึ่ง สิ่งเดียวที่หลี่จื้อเป็นกังวลก็คือเรื่องนี้จะทำให้เจียงเจ๋อมิพอใจหรือไม่