ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 82 พลัดพรากจากตาย (1)
กองทัพเป่ยฮั่นถูกล้อมอยู่บนทุ่งกว้าง ทำศึกอย่างยากลำบากอยู่สิบกว่าวันเพื่อฝ่าวงล้อม แต่ล้วนถูกกองทัพต้ายงสู้ตายขัดขวาง ทว่าแม้กองทัพต้ายงต่อสู้อย่างฮึกเหิมแต่ก็มิอาจทำลายกระบวนทัพของเป่ยฮั่น
เดือนสี่วันที่สิบแปด กองทัพเป่ยฮั่นสิ้นเสบียงจึงสังหารอาชาเป็นอาหาร ยามฟ้าสางแบ่งกองทัพฝ่าวงล้อม ผลการศึกปรากฏ
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
สิ่งใดคือวีรบุรุษอับจนหนทาง สิ่งใดคือการจนตรอก หลงถิงเฟยถอนหายใจแผ่วเบา ทำศึกมาหลายปี ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ แต่หลงถิงเฟยค้นพบอย่างประหลาดใจว่าจิตใจของเขากลับไม่หวั่นไหวสักนิด นับตั้งแต่ชั่วขณะนั้นที่พบว่าตนเองถูกกองทัพต้ายงล้อม เขาก็ได้ยินเสียงขาดผึงของบางสิ่งที่ขมวดตึงในหัวใจอย่างชัดเจน
เขาเหนื่อยล้าเหลือเกินแล้วจริงๆ หลายปีที่ผ่านมาเขาแทบจะอาศัยกำลังของตัวคนเดียวค้ำจุนสถานการณ์ของเป่ยฮั่น ศัตรูฝั่งตรงข้ามตบเท้ามามิหยุดหย่อน ทั้งยังแน่วแน่มิหวั่นไหว ชนะมิหยิ่งผยอง แพ้พ่ายมิทดท้อ ใช้ความดันทุรังบั่นทอนอาวุธและความมุ่งมั่นของเขา แม่ทัพคนสนิทที่เคยพึ่งพาดุจแขนขา บ้างก็ตาย บ้างก็ทรยศ จนวันนี้เขาเหลือลำพังตัวคนเดียว แล้วยังลากคนรักที่กำลังจะตบแต่งเป็นสามีภรรยาเข้ามาสู่หายนะด้วยมือตนเอง เส้นทางของตนคงมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว หัวใจของหลงถิงเฟยเข้าใจดีว่าครั้งนี้มิหลงเหลือความหวังที่จะหนีรอดอีกต่อไป
กองทัพที่ดักซุ่มอยู่ของต้ายงรวมพลกับกองทหารม้าของฉีอ๋องที่ตั้งทัพมาใหม่แล้ว กองทัพใหญ่สี่แสนกว่านายล้อมกองทัพเป่ยฮั่นหนึ่งแสนนายไว้บนทุ่งกว้าง กำลังรบของทั้งสองฝ่ายมิได้แตกต่างกันอย่างเด็ดขาด หากไม่เสียสละอย่างหนักหนาสาหัส ไม่มีทางฝ่าวงล้อมได้แน่นอน ภูมิประเทศของชิ่นโจวเป็นทรงแคบ อยากจะฝ่าวงล้อมมีแต่ต้องมุ่งไปทางจี้ซื่อกับเจ๋อโจวสองทาง แต่หากฝ่าวงล้อมไปทางเจ๋อโจว พวกหลงถิงเฟยก็รู้ตัวดีว่าคงไม่มีโอกาสหวนคืนเป่ยฮั่นแล้ว ฝ่ายศัตรูมีกำลังกล้าแข็ง ฝ่ายตนเองจึงมีทางเลือกจำกัดยิ่งนัก
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินมาแล้วสิบกว่าวัน หลงถิงเฟยกับหลินปี้วางกลอุบายหมายฝ่าวงล้อมหลายหน แต่น่าเสียดายที่วางแผนจะตีฝ่าออกไปทั้งกองทัพ การฝ่าวงล้อมทุกครั้งจึงถูกกองทัพต้ายงขวางไว้ได้ ทิ้งไว้แต่ซากศพและโลหิตของนักรบนับไม่ถ้วน แม่น้ำชิ่นสุ่ยครวญคร่ำ โลหิตเจิ่งนองเป็นสายน้ำ กองทัพต้ายงบีบวงล้อมเข้ามาทุกที แม้แต่ดินโคลนก็ถูกโลหิตอาบชุ่ม
หลงถิงเฟยนั่งอยู่บนพื้นภายในกระโจมหยาบๆ แสงสลัวจากคบไฟส่องกระทบใบหน้าซูบเซียว เมื่อเทียบกับความองอาจฮึกเหิมในอดีต หลงถิงเฟยในยามนี้กลับมีสีหน้าเฉยชาและอ้างว้าง มีเพียงดวงตาเจือสีเขียวคู่นั้นที่ยังคงเปล่งประกาย ทว่าผู้ที่ตั้งใจพิจดูย่อมมองออกว่ามันแตกต่างจากความหยิ่งผยองเหยียดมองใต้หล้าในยามก่อน ประกายในดวงตาทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจโลกและความเศร้าโศกอันมิอาจอธิบายได้
เสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกกระโจม หลงถิงเฟยมิเงยหน้ามอง เขายังคงมองแผนที่หยาบๆ ที่เซียวถงวาดด้วยมือตนเอง บนนั้นจดแผนที่แนวป้องกันของกองทัพต้ายงที่ทหารสอดแนมในกองทัพสละชีวิตสืบมา ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในกระโจมแล้วหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเขา แสงไฟลากเงาของคนผู้นั้นให้ทอดยาวจนเงาดำบดบังแผนที่ตรงหน้าหลงถิงเฟย หลงถิงเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น แสงไฟสว่างไสวส่องกระทบเบื้องลึกในดวงตาของเขา พร้อมกับสะท้อนเงาร่างของผู้มาเยือนเข้ามาในสายตา ชุดเกราะสีเขียวเข้ม ผ้าคลุมผืนใหญ่ปักลายหงส์ทอง คนผู้นั้นก็คือหลินปี้
หลินปี้เองก็สีหน้าซีดเซียวลงมาก ดวงหน้าที่เคยงามพิลาสปรากฏร่องรอยแห่งการตรากตรำ บนอาภรณ์เปรอะคราบเลือดเป็นด่างดวง สตรีผู้มีฐานะสูงศักดิ์ วันนี้กลับต้องสวมชุดเกราะเปื้อนโลหิต หลงถิงเฟยเศร้าสลด เขาถามอย่างอ่อนแรง “องค์หญิงปี้มีธุระอันใดหรือ”
หลินปี้ส่ายศีรษะแผ่วเบาแล้วนั่งลงตรงข้ามกับหลงถิงเฟย ซบดวงหน้างามลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่กองทัพต้ายงใช้ธนูส่งสารเข้ามาในค่ายของข้า”
หลงถิงเฟยเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉยชา “คงจะเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนนกระมัง หลายวันนี้ในค่ายของข้าก็ได้รับสารเช่นนี้มิน้อย หากข้ามิคิดสารพัดวิธีปลุกขวัญกำลังใจของทหาร น่ากลัวว่าจิตใจของทหารในกองทัพข้าคงปั่นป่วนหนักหนาแล้ว”
ดวงตาของหลินปี้ทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “มิใช่เกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน แต่แจ้งกองทัพข้าว่าพวกคนเถื่อนกำลังรุกรานไต้โจว ยกกำลังพลมามหาศาล หลินเฉิงเอ่อร์พี่รองของข้านำกองทัพออกโจมตี แต่โชคร้ายหลงกลของกองทัพคนเถื่อน พี่รองสู้สุดชีวิตฝ่าเส้นทางโลหิต จนกระทั่งถูกลูกศรนับสิบปักแผ่นหลังสิ้นใจอยู่นอกด่านเยี่ยนเหมิน ท่านพ่อโรคเก่ากำเริบ กองทัพกลายเป็นมังกรไร้หัว”
หัวใจหลงถิงเฟยสั่นสะท้าน ช่างเป็นอุบายทำลายขวัญกำลังใจที่เหี้ยมนัก มิว่าสิ่งที่สารนี้กล่าวเป็นเรื่องจริงหรือลวง จิตใจของกองทัพไต้โจวย่อมสั่นไหวแล้ว เขาเอ่ยเสียงอ่อน “นี่อาจเป็นอุบายของศัตรู”
หลินปี้ยิ้มจางๆ แต่รอยยิ้มกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเศร้าสร้อย นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหวั่นกลัว “ข้าก็หวังว่าจะเป็นอุบายร้ายกาจของศัตรู แต่ต่อให้เป็นกลอุบายจริง มันก็บรรลุผลแล้ว ยามนี้แม่ทัพและทหารในค่ายของข้าแต่ละคนล้วนหวาดหวั่น แม้แต่เฉิงซานพี่สามกับเฉิงยวนน้องสี่ของข้าก็หมดกำลังใจจะสู้แล้ว มิหนำซ้ำข่าวนี้เกรงว่าคงเป็นเรื่องจริง
สารฉบับนี้เป็นสารที่ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนเจาะจงเขียนมาถึงข้า แตกต่างจากสารฉบับอื่น ในนี้บอกกล่าวเรื่องทางฝั่งไต้โจวไว้ละเอียดยิ่งนัก หลี่เสี่ยนมิมีทางใช้สารปลอมมาหลอกลวงข้า” กล่าวจบ หลินปี้ก็ส่งสารฉบับหนึ่งให้หลงถิงเฟย
หลงถิงเฟยรับสารมากวาดตาอ่านรวดเดียวสิบบรรทัดจนจบ บนนั้นเล่าสถานการณ์ของกองทัพไต้โจวไว้อย่างละเอียดชัดเจนอย่างยิ่งจริงๆ หากแม้แต่หลินปี้ยังรู้สึกว่าไม่มีช่องโหว่ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเรื่องจริง เขาวางสารลงอย่างหดหู่ แล้วกล่าวว่า “เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ หากกองทัพไต้โจวต้องการยอมจำนน ข้าก็มิกล่าวโทษเจ้า”
หลินปี้ลุกพรวด แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “กองทัพไต้โจวมิเคยทรยศตระบัดสัตย์ การยกทัพออกศึกครานี้เป็นการตัดสินใจของที่ประชุม ยามข้าศึกบุกประชิดจะคิดเปลี่ยนฝ่ายได้เช่นไร นับแต่กองทัพไต้โจวของข้าก่อตั้งมา มีเพียงตกตายร่วมกัน มิเคยคุกเข่ายอมจำนน แม้วันวานยอมสวามิภักดิ์ต่อเป่ยฮั่น แต่มิเคยกล่าวยอมแพ้สักคำเดียว”
สีหน้าหลงถิงเฟยแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ลุกขึ้นมาเช่นกัน “ข้าคิดไว้แล้วว่าองค์หญิงคงมีหัวใจแน่วแน่ เมื่อครู่เป็นเพียงคำถามหยั่งเชิงเท่านั้น ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพทั้งหมด ขวัญกำลังใจทหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด น้องปี้โปรดอภัย”
หลินปี้สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “แต่เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ พวกเราเองก็ต้องมีวิธีรับมือ คงต้องตัดสินใจฝ่าวงล้อมโดยมิคำนึงถึงการสูญเสียแล้ว หากยืดเยื้อต่อไปอีก เกรงว่าข้าเองก็คงมิอาจควบคุมขวัญกำลังใจของทหารได้”
ดวงตาของหลงถิงเฟยทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าก็กำลังคิดจะเชิญเจ้ามาหารือเรื่องการฝ่าวงล้อมเช่นเดียวกัน หลายวันที่ผ่านมารบราฆ่าฟันกันมาหลายหน น้องปี้น่าจะรู้ชัดว่า กองทัพต้ายงไม่มีทางปล่อยข้าไป ทุกครั้งที่ข้านำทัพตีฝ่า กองทัพต้ายงล้วนขัดขวางกองทัพของข้าอย่างมิเสียดายสิ่งที่ต้องสละ แต่หากกองทัพไต้โจวบุกฝ่าไปลำพัง กองทัพต้ายงกลับรับมือด้วยการล่อศัตรูให้หลงเข้ามาลึก
หากมิใช่น้องปี้ตัดสินใจฉับไว เกรงคงตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูนานแล้ว ดูจากเรื่องนี้ เป้าหมายสำคัญของกองทัพต้ายงคงจะอยู่ที่ผู้แซ่หลงกับกำลังหลักของกองทัพชิ่นโจว แต่ยังเหลือทางรอดให้กองทัพไต้โจวอยู่ ดังนั้นข้าตั้งใจจะวางแผนการตีฝ่าใหม่และต้องให้น้องปี้ร่วมมือด้วย”
หลินปี้มิตอบคำ ไยนางจะฟังความนัยในถ้อยคำของหลงถิงเฟยมิออก แต่ถึงกองทัพไต้โจวจะกล้าหาญเพียงใดก็มีเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แม้กองทัพต้ายงจะยอมไว้ไมตรี แต่หากคิดจะฉวยโอกาสฝ่าทะลวงกองทัพต้ายงก็คงเป็นไปไม่ได้ นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ น้ำเสียงสงบนิ่งและเข้าใจ “ท่านต้องการให้กองทัพไต้โจวของข้าคุ้มกันกองทัพชิ่นโจวฝ่าวงล้อมออกไปหรือ”
หลงถิงเฟยยิ้มละไม ก่อนกล่าวขึ้นมาว่า “ลำพังกำลังของกองทัพไต้โจว คิดจะคุ้มกันกองทัพชิ่นโจวตีฝ่าวงล้อมย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้ กองทัพต้ายงใช้ทหารชั้นยอดเพียงห้าหมื่นนายก็ขัดขวางกองทัพไต้โจวจากการฝ่าวงล้อมได้แล้ว
หากข้าฉวยโอกาสพากำลังหลักฝ่าวงล้อม กองทัพต้ายงต้องทุ่มกำลังทั้งหมดตีโอบขัดขวางแน่ หากกำลังพลไม่พอ ต่อให้ต้องปล่อยกองทัพไต้โจวหลุดออกไป กองทัพต้ายงก็จะไม่ปล่อยให้กองทัพของข้ามีโอกาสฝ่าวงล้อม น้องปี้น่าจะทราบว่ากองทัพของข้ามีใจภักดีต่อเป่ยฮั่นเหนือกว่ากองทัพของเจ้า ดังนั้นกองทัพต้ายงจึงหมายตากองทัพชิ่นโจวเป็นเป้าหมายหลัก”
หลินปี้มิเอ่ยคำใด นางนิ่งฟัง รอคอยคำอธิบายของหลงถิงเฟย หลงถิงเฟยจึงเอ่ยต่อ “ดังนั้นข้าตัดสินใจว่าหนนี้จะฝ่าวงล้อมสามทาง กองทัพไต้โจวของเจ้าฝ่าวงล้อมเป็นกลุ่มแรก มุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ กองทัพต้ายงย่อมใช้วิธีการอย่างก่อนหน้า ล่อกองทัพไต้โจวให้ตกอยู่ในวงล้อม แยกกองทัพของข้ากับเจ้าออกจากกัน หลังจากนั้นข้าจะนำทหารม้าชั้นยอดสองหมื่นนาย แสร้งชูธงจำนวนมาก ฝ่าวงล้อมออกไปทางทิศเหนือ กองทัพต้ายงย่อมทุ่มสุดกำลังขัดขวางข้า หลังจากนั้นพี่น้องตระกูลลู่จะนำกำลังหลักของกองทัพข้าฝ่าวงล้อมไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ระหว่างนั้นให้แบ่งกำลังทหารไปทางชิ่นสุ่ย ทำลายเครื่องยิงหน้าไม้กับเครื่องยิงหินที่ขวางแม่น้ำ ช่วยกองทัพเรือออกจากวงล้อม”
หัวใจของหลินปี้หนาวสะท้าน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ล่อกำลังหลักของกองทัพต้ายงให้โอบล้อมโจมตี เพื่อให้กำลังหลักของชิ่นโจวฝ่าวงล้อมออกไป”
หลงถิงเฟยตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีเพียงทำเช่นนี้จึงจะรักษากำลังหลักของกองทัพชิ่นโจวไว้ได้ ผู้แซ่หลงทำศึกมิได้ความ ทำให้ทหารทั้งหลายเคราะห์ร้าย หากยังอาลัยชีวิตรักตัวกลัวตาย ยังจะมีหน้าไปพบเจ้าแคว้นได้เช่นไร กองทัพต้ายงโอบล้อมสี่ทิศ กำลังหลักทางเหนืออย่างมากที่สุดก็มีเพียงหนึ่งแสนกว่านาย เพียงแต่เมื่อกองทัพข้าติดพันกับการสู้รบ ไพร่พลสามด้านที่เหลือก็จะล้อมโจมตีจากด้านหลัง ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงฝ่าวงล้อมมิเคยสำเร็จ
หนนี้ข้าจะนำทัพตีฝ่าด้วยตนเอง ล่อกำลังหลักของกองทัพศัตรูให้ทุ่มสุดกำลังล้อมข้า อาศัยความห้าวหาญของพี่น้องตระกูลลู่ โอกาสที่จะฝ่าวงล้อมย่อมมีมากนัก และเมื่อกองทัพต้ายงเข้าใจผิดคิดว่ากองทัพไต้โจวยังคอยคุ้มกันข้าฝ่าวงล้อม วงล้อมฝั่งน้องปี้ย่อมอ่อนแอลง โอกาสที่กองทัพไต้โจวจะฝ่าออกไปได้ก็มากยิ่งเช่นกัน สละชีวิตของผู้แซ่หลงเพียงคนเดียวกับทหารคุ้มกันคนสนิทสองหมื่นนายแลกกับกำลังหลักของกองทัพเราฝ่าวงล้อมออกไปได้ เช่นนี้คุ้มแล้ว แต่น้องปี้ต้องฝ่าวงล้อมเป็นกลุ่มแรกคงสูญเสียไพร่พลมากมายเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงต้องหารือกับเจ้าก่อน”
หลินปี้เห็นสีหน้าเฉยชายามหลงถิงเฟยกล่าวถึงความตายของตน เรือนร่างอรชรพลันโงนเงนใกล้ล้ม คนผู้นี้ตรงหน้าคือสามีที่ยังมิได้จัดงานแต่งของตน จนปัญญาที่แว่นแคว้นตกอยู่ในอันตรายและทั้งสองต่างเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้นำเหล่าทหาร ด้วยเหตุนี้จึงพบหน้ากันน้อยพรากจากกันมาก หนนี้ได้พบหน้า นอกจากเรื่องการศึกก็มีแต่เรื่องการศึก แทบจะได้คุยเรื่องส่วนตัวกันน้อยยิ่งนัก กระนั้นหลินปี้ก็มองเขาเป็นคู่ครองที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตมานานแล้ว แต่วันนี้กลับต้องมาพรากจากกันกลางทาง จะให้นางทนรับได้เช่นไร ในห้วงเวลานี้นางมิใช่ ‘องค์หญิงจอมทัพ’ ผู้ที่เหล่าทหารและประชาชนไต้โจวเทิดทูนอีกต่อไป นางเป็นเพียงสตรีอาภัพผู้กำลังจะสูญเสียคนรักคนหนึ่ง
หลินปี้ฝืนกลั้นหยดน้ำตาใสในเบ้าตา เอ่ยเสียงผะแผ่ว “ท่านเดินเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญเช่นนี้ แล้วข้าเล่า ท่านยังจำนัดหมายแต่งงานของท่านกับข้าได้หรือไม่ วันสิ้นปีของปีนี้”
สีหน้าของหลงถิงเฟยเปลี่ยนไปทันใด บนใบหน้าปรากฏสีหน้าเศร้าหมองดั่งวิญญาณหลุดลอยหาย ตอนขอร้องให้กองทัพไต้โจวออกศึกหนนี้ หลินหย่วนถิงเสนอข้อเรียกร้องเพิ่มมาหนึ่งข้อ นั่นก็คือห้ามเลื่อนงานแต่งงานของหลงถิงเฟยกับหลินปี้อีก เจ้าแคว้นจึงตัดสินพระทัยกำหนดวันแต่งงานให้ หากกองทัพต้ายงถอยทัพ วันสิ้นปีของปีนี้ก็คือวันแต่งงานของทั้งสองคน ยามนั้นหลงถิงเฟยลอบปีติยินดีอยู่ในใจ หากขับไล่กองทัพต้ายงให้ถอยไปสำเร็จ ถ้าเช่นนั้นตนย่อมเดินทางไปรับเจ้าสาวอย่างภาคภูมิ เพียงแต่ดูจากสถานการณ์ในวันนี้ ทั้งสองคนคงมีบุพเพแต่ไร้วาสนา มิมีโอกาสได้ตบแต่งกันแล้ว
หลงถิงเฟยทำใจแข็ง ตอบว่า “น้องปี้ มิใช่ถิงเฟยต้องการผิดสัญญา แต่เพื่อแผ่นดินและบ้านเกิดเมืองนอน ถิงเฟยมิกล้ารักตัวกลัวตาย”
หลินปี้ปิดหน้าซวนเซถอยไปพิงผนังกระโจม เรือนร่างสั่นระริก แม้ไม่มีเสียงร่ำไห้ให้ได้ยิน แต่เสียงสะอื้นที่ฝืนกลั้นไว้นั่นกลับยิ่งทำให้คนใจจะขาดรอน ต่อให้หลงถิงเฟยใจแข็งดั่งเหล็กกล้าก็มิอาจทนได้ เขาก้าวเท้าเข้าไปโอบหลินปี้ไว้ในอ้อมแขน ดวงหน้างามของหลินปี้ซุกอยู่ตรงหน้าอกของหลงถิงเฟย เสียงร่ำไห้ผะแผ่วดังสะท้อนอยู่ในกระโจม
หลงถิงเฟยรู้สึกว่าหน้าอกชุดออกศึกของเขาอุ่นร้อน ในใจเขาทราบดีว่านั่นคือหยดน้ำตาของหลินปี้ที่ซึมผ่านอาภรณ์จนเปียกชุ่ม หัวใจปวดร้าวเหลือแสน กอดเรือนร่างอ้อนแอ้นของหลินปี้แนบแน่น เวลานี้คบไฟดับมอดสนิท ภายในกระโจมมืดมิด พื้นที่อันคับแคบมีเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสองกับเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาของหลินปี้
ท่ามกลางความมืด หลงถิงเฟย แม่ทัพนามกระเดื่องผู้ห้าวหาญฮึกเหิมเสมอยามอยู่ต่อหน้าผู้คนก็หลั่งน้ำตาอย่างเศร้าหมองดุจเดียวกัน