ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 89 โลหิตผู้กล้าวิญญาณผู้ภักดี (3)
หลี่เสี่ยนมิได้ออกคำสั่งให้ทหารต้ายงเข้าไปจับกุมเชลย เพียงมองทุกสิ่งนี้อย่างเงียบๆ เท่านั้น
หลงถิงเฟยแย้มรอยยิ้มเจิดจ้า กล่าวว่า “ฉีอ๋อง ท่านกับข้าทำศึกกันมาหลายปี นับว่าเป็นสหายผู้เลื่อมใสกันและกัน มีเรื่องหนึ่งอยากฝากฝังกับท่าน มิทราบท่านจะรับปากได้หรือไม่”
หลี่เสี่ยนกล่าวตอบอย่างจริงจัง “ข้ากับท่านแม่ทัพ เลื่อมใสกันและกันมามิใช่เพียงวันเดียว ขอเพียงหลี่เสี่ยนทำได้ จักทำสุดกำลังแน่นอน”
หลงถิงเฟยทอดสายตาอ่อนโยนเหม่อมองออกไปไกล เขาครุ่นคิดชั่วครู่ว่าจะกล่าวออกมาเช่นไร ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ผู้แซ่หลงเสียภรรยาตั้งแต่ยังหนุ่ม มิมีทายาท ย่อมมิกังวลเรื่องราวภายหลัง ส่วนบิดาผู้ชรากับพี่น้องในตระกูลล้วนเป็นขุนนางภักดีของเป่ยฮั่น จะรอดหรือตาย ล่มจมหรือรุ่งเรืองมิจำเป็นต้องให้ผู้แซ่หลงกังวล พวกเขาย่อมร่วมเป็นร่วมตายกับเป่ยฮั่น มีเพียงเรื่องเดียวที่ผู้แซ่หลงปล่อยวางมิลงก็คือองค์หญิงจยาผิงหลินปี้ ภรรยาที่มิได้ทันตบแต่งของผู้แซ่หลง”
หลี่เสี่ยนตกตะลึง หลินปี้เป็นถึงองค์หญิงแห่งเป่ยฮั่น แม้หลงถิงเฟยเป็นห่วงก็มิสมควรกล่าวเรื่องนี้กับตนสิ เขากล่าวตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ท่านแม่ทัพมิต้องกังวลไป องค์หญิงจยาผิงฝ่าวงล้อมสำเร็จ ยามนี้น่าจะหวนคืนชิ่นหยวนแล้ว”
หลงถิงเฟยยิ้มละไม กล่าวว่า “มิใช่ว่าผู้แซ่หลงจะหาเรื่อง หากเป่ยฮั่นมิถูกต้ายงกลืนกิน การเอ่ยเรื่องนี้ก็คงไร้ประโยชน์ แต่หากโชคร้ายถูกรวมเข้าไปในแผนที่ของต้ายง แม้องค์หญิงปี้เป็นสมาชิกของราชวงศ์ แต่นางก็เป็นผู้บัญชาการทัพแห่งกองทัพไต้โจวด้วย
กองทัพไต้โจวพิทักษ์แผ่นดินมาร้อยกว่าปี ต่อต้านพวกเผ่าคนเถื่อน ณ ด่านเยี่ยนเหมิน มีคุณงามความชอบต่อแผ่นดิน หากต้ายงมิคิดจะฆ่าล้างบางชาวไต้โจวให้หมดสิ้น สุดท้ายย่อมต้องปลอบประโลมคนไต้โจว หากสังหารองค์หญิงปี้ น่ากลัวว่าไต้โจวคงมิมีวันสงบสุข ดังนั้นขอองค์ชายหาโอกาสกราบทูลให้รักษาตระกูลหลิน ผู้แซ่หลงรับประกันว่าเมื่อตระกูลหลินแห่งไต้โจวสวามิภักดิ์ จะมิมีความคิดเป็นอื่น”
หลี่เสี่ยนลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็ตอบว่า “เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ข้ามิกล้ารับประกัน แต่จักลองพยายามเต็มกำลัง เสด็จพี่ของข้าเป็นเทพแห่งสงครามผู้ปราดเปรื่อง ย่อมมิทำร้ายทหารผู้ภักดีง่ายๆ แน่นอน”
ดวงตาของหลงถิงเฟยฉายแววโล่งอกเล็กๆ แล้วกล่าวต่อว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หากต้ายงรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งสำเร็จ แล้วองค์หญิงปี้ปลอดภัย ผู้แซ่หลงหวังว่าองค์ชายจะดูแลนางแทนข้าด้วย”
หลี่เสี่ยนกายสะท้านเฮือก หากคว้าจับสายบังเหียนไว้มิทัน เขาก็เกือบจะพลัดตกหลังม้าแล้ว เขาหน้าแดงราวกับความลับในก้นบึ้งหัวใจถูกคนเปิดโปง เอ่ยขึ้นมาว่า “แม่ทัพหลง ท่านพูดเหลวไหลอันใด”
หลงถิงเฟยเหมือนมองทะลุความคิดของหลี่เสี่ยน กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ผู้แซ่หลงมิได้กล่าววาจาเหลวไหล แม้ข้ากับองค์หญิงปี้หมั้นหมายกันในนามแล้ว แต่ยังมิทันตบแต่ง พวกเราสองคนมีบุพเพแต่ไร้วาสนา ทว่าทุกคนล้วนถือว่านางเป็นหลงฮูหยินแล้ว เกรงว่าต่อให้องค์หญิงปรารถนาจะเลือกคู่ครองคนอื่นก็คงมิมีผู้ใดกล้าอาจเอื้อมหงส์ฟ้า องค์หญิงปี้เป็นวีรสตรีในหมู่สตรี ข้าทนเห็นนางแบกสถานะกลวงเปล่าเช่นนี้เดียวดายชั่วชีวิตมิลง
ท่านอ๋องเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ผู้แซ่หลงเคารพเลื่อมใส องค์หญิงปี้เคยเล่าถึงเรื่องการพานพบในตงไห่ให้ฟัง ผู้แซ่หลงเชื่อว่าทั้งสองคนคงชื่นชมกันและกันในฐานะสหายรู้ใจอยู่ หากเป็นไปได้ ผู้แซ่หลงหวังว่าท่านอ๋องจะดูแลนางให้ดี”
หลี่เสี่ยนหน้าแดงก่ำไปหมด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “องค์หญิงปี้เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมความสามารถ แล้วยังเป็นยอดแม่ทัพแห่งยุค วีรสตรีในหมู่สตรี หลี่เสี่ยนกลับเป็นองค์ชายเสเพล ชื่อเสียงย่ำแย่ ไหนเลยจะคู่ควรกับองค์หญิงปี้ แล้วยัง…”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ หลี่เสี่ยนก็หยุดพูดต่อ เพราะทันใดนั้นเขาก็ค้นพบความลับที่ซ่อนเร้นลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ตั้งแต่ครั้งพบหน้ากันที่ตงไห่ เขาก็ตกหลุมรักหลินปี้เสียแล้ว เพียงแต่ติดที่โฉมงามมีสามีแล้ว แล้วยังมีฐานะเป็นศัตรูกันอีก เขาจึงมิเคยกล้าเพ้อฝัน ยามนี้จู่ๆ ก็มีโอกาสให้ตนขอความรักจากหลินปี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย ในใจเขาย่อมมิยินดีปฏิเสธง่ายๆ
หลงถิงเฟยเห็นสภาพนี้ก็ยิ้มน้อยๆ อย่างห้ามตนเองมิได้ กล่าวว่า “หากวันหน้าองค์หญิงปี้มีใจปรารถนาจะครองคู่ มิทราบว่าท่านอ๋องยินดีรับปากการแต่งงานนี้หรือไม่”
หลี่เสี่ยนตัดสินใจอย่างแน่วแน่ มิสนใจคนสนิทที่ตาโตอ้าปากค้างอยู่ด้านหลังเหล่านั้น “หากองค์หญิงปี้พยักหน้าตกลง หลี่เสี่ยนจะมิทำผิดต่อคำฝากฝังเป็นอันขาด”
กล่าวจบประโยคนี้ หลี่เสี่ยนก็พรูลมหายใจ แต่ในใจหัวเราะจืดเจื่อน ดูท่าตนคงมิมีโอกาสให้กำเนิดท่านหญิงจากพระชายาเอกมาให้เซิ่นเอ๋อร์กลายเป็นลูกเขยแล้ว
หลงถิงเฟยสีหน้าโล่งใจ คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้แซ่หลงย่อมหวังให้แคว้นเป่ยฮั่นของข้าเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ขออวยพรจากใจจริงให้ท่านอ๋องทำทุกสิ่งได้สมประสงค์ แม้ย้อนแย้งอยู่บ้าง แต่ท่านอ๋องคงรับรู้ถึงความจริงใจของผู้แซ่หลง”
หลี่เสี่ยนมีสีหน้าเขินอาย พูดมิออก หลงถิงเฟยมิสนใจเขาอีก เอ่ยเสียงเบาต่อว่า “โลหิตผู้กล้าย้อมดินเหลือง กลบฝังดวงวิญญาณผู้ภักดี หลงถิงเฟยสิ้นใจวันนี้ ยังมีเรื่องอาลัย แต่หากตายแล้วยังได้ถวายความภักดีต่อเจ้าแคว้นจะดีเพียงใด!” กล่าวจบกระบี่ยาวของหลงถิงเฟยพลันออกจากฝัก ประกายเย็นยะเยือกฉายวูบ โลหิตผู้จงรักภักดีหลั่งริน ร่างกายล้มตกจากหลังม้าท่ามกลางเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงของทุกคน
เดิมทีทหารทั้งสองกองทัพเห็นเขาเจรจาพร้อมรอยยิ้ม แม้สิ่งที่กล่าวจะเป็นการฝากฝังสั่งเสียเรื่องราวหลังจากนี้ แต่ก็มีบรรยากาศผ่อนคลายอยู่ตลอด พวกเขาจึงเกิดความรู้สึกลวงว่าเขาคงจะมิตั้งใจจะตายแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเพียงเห็นเขาก้มหน้ากระซิบเสียงเบาประโยคหนึ่ง จู่ๆ ก็ชักกระบี่ปลิดชีพตน มิมีผู้ใดตั้งตัวทันทั้งสิ้น
พาหนะของหลงถิงเฟยเป็นอาชาพันธุ์ดีชั้นยอด เวลานี้ทั่วร่างของมันย้อมไปด้วยโลหิต จนมิเห็นความองอาจในวันวาน เมื่อเห็นเจ้านายพลัดตกมาตรงหน้า อาชาศึกตัวนั้นก็ส่งเสียงร้องเศร้าสลด พลางก้มหัวดุนร่างกายที่ค่อยๆ เย็นชืดของเจ้านายเป็นพักๆ เสียงร้องช่างโศกสลด ชวนให้คนที่ได้ยินใจจะขาด
หลี่เสี่ยนหม่นหมอง กำลังจะออกคำสั่งให้จัดการสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ ทันใดนั้นองครักษ์คนสนิทของหลงถิงเฟยนายหนึ่งก็พลันตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ยามปกติท่านแม่ทัพมีบุญคุณต่อพวกเราเท่าขุนเขา จะปล่อยให้ท่านแม่ทัพเดินทางเพียงลำพังได้เช่นไร”
องครักษ์คนสนิทคนนี้เดิมทีทิ้งอาวุธไปแล้ว แต่ตอนสู้รบกันเขาบาดเจ็บหนัก ลูกศรคมกริบเล่มหนึ่งแทงทะลุแขนอยู่ แม้ตัวลูกศรจะถูกหักทิ้งแล้ว แต่หัวลูกศรยังฝังลึกอยู่ในเนื้อ องครักษ์คนสนิทผู้นั้นยามนี้ในหัวใจมีแต่ความเศร้าโศก มิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เอื้อมมือดึงหัวลูกศรออกมาพร้อมกับเนื้อก้อนหนึ่ง จากนั้นองครักษ์คนสนิทผู้นั้นก็ปักหัวลูกศรเข้าที่ลำคออย่างมิสนใจไยดี ตัวตายสิ้นใจ ล้มคว่ำลงกับพื้นในทันที
องครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งที่เดิมทีกำลังร่ำไห้น้ำตานองอยู่เห็นเช่นนั้นจึงคำรามเสียงดัง “ท่านแม่ทัพ!” แล้วก้มลงเก็บดาบคู่กายที่โยนทิ้งไปแล้วปลิดชีพตนเอง
การกระทำของพวกเขาส่งผลต่อทุกคน องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นเดิมทีวางอาวุธด้วยเพราะเชื่อฟังคำสั่งของหลงถิงเฟย แต่ตอนนี้ในหัวใจมีเพียงความละอายอัดแน่น โศกเศร้าเจ็บปวดยากทานทน เมื่อเห็นเช่นนี้พวกเขาจึงล้วนตะโกนก้องว่า “ท่านแม่ทัพ” จากนั้นต่างคนต่างปลิดชีพตนเอง
หลี่เสี่ยนตะโกนลั่น “หยุดมือ!” แต่มิทันกาลเสียแล้ว เพียงชั่วพริบตา องครักษ์หลายร้อยนายก็ล้วนปลิดชีพตนวายชีวาหมดสิ้น หลี่เสี่ยนปล่อยมือลงอย่างหดหู่ ในใจรู้สึกเศร้าสลดอย่างมิอาจห้าม สุดท้ายกลับช่วยไว้มิได้สักคน ทหารกล้าแห่งเป่ยฮั่นแต่ละคนช่างมีหัวใจจงรักภักดีอย่างแท้จริง จู่ๆ อาชาคู่ใจของหลงถิงเฟยที่อยู่ใจกลางสนามรบก็พลันกรีดร้องเศร้าสลด วิ่งควบไปทางทิศตะวันออก ผู้คนในกองทัพต้ายงมิทันคิดขวางอาชาตัวนี้ไว้ เปิดแนวป้องกันปล่อยให้อาชาศึกตัวนั้นเตลิดไป
ข้ามองด้วยความสงบเยือกเย็นจากด้านหลัง แม้การกระทำนี้ของหลงถิงเฟยจะเหนือความคาดหมาย แต่ก็มิใช่ว่าจะเข้าใจมิได้ ในใจเขาคงรู้ว่ามิว่าเขาจะฝ่าวงล้อมสำเร็จหรือไม่ เป่ยฮั่นก็เป็นดวงตะวันที่ใกล้ลาลับเหลี่ยมเขาแล้ว ดังนั้นจึงฝากฝังเรื่องภายหน้าไว้กับหลี่เสี่ยน
แต่การที่เขาฝากฝังหลินปี้ไว้กับหลี่เสี่ยนกลับเป็นสิ่งที่ข้าคาดเดาไว้อยู่แล้ว เรื่องนี้จะจัดการเช่นไรดีหนอ เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ข้าเริ่มลอบคิดคำนวณในใจ
ต่อมาหลี่เสี่ยนก็ออกคำสั่งให้เก็บกวาดสนามรบ ข้าติดตามอยู่ข้างกายหลี่เสี่ยนตลอดเวลา อยากดูว่าเขาจะจัดการเช่นไร หลี่เสี่ยนสั่งให้คนสร้างสุสานของหลงถิงเฟยบนทุ่งหญ้าของจี้ซื่อ แล้วให้คนฝังร่างองครักษ์คนสนิทผู้ร่วมทางสู่ปรโลกไว้ด้านข้าง สร้างเป็นสุสานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้งนามให้ว่าสุสานผู้ภักดี
วันที่ฝังร่างลงสุสาน มีทหารต้ายงมารายงานว่าอาชาศึกของหลงถิงเฟยวิ่งไปถึงแม่น้ำชิ่นสุ่ย หลังจากกรีดร้องเศร้าสร้อย หลั่งน้ำตาเป็นโลหิตริมฝั่งชิ่นสุ่ยก็วิ่งจมลงไปในแม่น้ำ หลี่เสี่ยนฟังแล้วก็ถอนหายใจมิเอ่ยคำใด ในใจของข้าก็เศร้าสลด จึงเสนอว่าให้ขนร่างของอาชาศึกมาฝังไว้ข้างสุสานของหลงถิงเฟยด้วย หลี่เสี่ยนรับปากทันควัน ให้คนทำตามนั้น สุสานของอาชาศึกแห่งนี้ถูกหลี่เสี่ยนมอบนามให้ว่า “สุสานอาชาไนยใจภักดิ์”
ก่อนทัพเราจะยกพลขึ้นเหนือ ข้ามาเยือนหน้าสุสานของหลงถิงเฟยอีกหน แม้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่ข้ากลับเห็นว่ามีธูปเทียนดอกไม้บูชาอยู่หน้าสุสานแล้ว มิทราบว่าผู้ใดเดินทางมาเซ่นไหว้ ข้ารินสุราลงหน้าสุสาน อธิษฐานว่า “แม่ทัพหลง แม้ข้าทำให้ท่านต้องตาย ทว่านี่เป็นเรื่องเลี่ยงมิได้ ความปรารถนาก่อนตายของท่าน ข้าจักช่วยท่านทำให้สำเร็จ หวังว่ายามท่านอยู่ในปรโลกจะมิต่อว่าข้า หากวิญญาณวีรบุรุษของท่านมีอิทธิฤทธิ์ก็ขอให้ปกปักษ์พิทักษ์ผืนดินแห่งนี้ อย่าได้กลายเป็นวิญญาณร้ายมาเอาชีวิตข้าเลย”
มิรู้ว่าอย่างไร ข้าพลันรู้สึกว่าหน้าสุสานมีสายลมเย็นเฉียบพัดมาเบาๆ ข้าตัวสั่นเทา ตัดสินใจว่าไปเสียประเดี๋ยวนี้จะดีกว่า