ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 95 ผลศึกปรากฏปิดกระดาน (ต้น) (3)
ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของนางกำนัล เมิ่งซวี่ก็เด็ดดอกท้อกิ่งหนึ่งลงมาได้ เขาวิ่งกระโดดโลดเต้นถือดอกท้อถลาเข้ามาในอ้อมแขนของมารดาพลางชูกิ่งบุปผาขึ้นจะให้มารดาถือไว้ ความปลาบปลื้มยินดีอันเข้มข้นผุดพรายในหัวใจของชีซื่อ นางกอดบุตรรักไว้แน่น ในใจคิดว่าหากใช้ชีวิตสงบสุขอย่างไร้กังวลกับบุตรรักตลอดไปได้จะดีสักเพียงใด
ในตอนนี้เอง หูของชีซื่อก็ได้ยินเสียงครางหนักๆ ดังขึ้นหลายหน ชีซื่อเงยหน้าขึ้น ทันเห็นขันทีคนสุดท้ายถูกโจมตีจนสลบกับพื้นพอดี ผู้ที่ลงมือกลับเป็นบุรุษวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์องครักษ์คนหนึ่ง คนผู้นั้นหน้าตาอ่อนโยน ทว่าสีหน้ากลับถมึงทึง ชีซื่อร้องอย่างตกตะลึง “องครักษ์กู้!”
ชีซื่อมองรอบด้านอย่างหวาดผวา แล้วจึงเห็นว่าองครักษ์วัยกลางคนฝั่งซ้ายขวาของเขาจัดการองครักษ์กับนางข้าหลวงคนอื่นจนหมดแล้ว องครักษ์สองคนนี้ คนหนึ่งมีหนวดเคราดกครึ้มเต็มหน้า หน้าตาดุดัน คนหนึ่งดวงตาเหยี่ยวริมฝีปากบาง หน้าตาดูเข้มงวด แต่นางล้วนมิเคยเห็นมาก่อน นางหักห้ามความคิดที่จะร้องขอความช่วยเหลือ แล้วฝืนสงบใจมองบุรุษวัยกลางคนที่ในใจมีเจตนาร้ายสองสามคนนี้
นับตั้งแต่แคว้นสู่สิ้น นางก็รับบัญชาเจ้าแคว้นสู่กับฮูหยินจินเหลียนหนีออกจากพระราชวัง ต่อมาถูกบ่าวรับใช้ขายให้แก่ชิ่งอ๋อง แม้ชิ่งอ๋องมิได้ทำร้ายด้วยเพราะจะใช้ประโยชน์จากตัวตนของพวกนาง แต่ชีซื่อก็ผ่านความยากลำบากมาก่อน นางมิใช่สตรีโง่เขลาในวันวานอีกต่อไป นางทราบว่าหากร้องขอความช่วยเหลือส่งเดชมีแต่จะทำให้ทั้งสามคนตรงหน้าลงมือสังหารอย่างไม่ลังเล
ด้วยเหตุนี้นางจึงมิเพียงมิกล้าร้องขอความช่วยเหลือ แต่ยังเอื้อมมือไปกอดเมิ่งซวี่ไว้ในอ้อมแขนแน่นพร้อมกับยกมือปิดปากของเมิ่งซวี่เอาไว้ มิให้เขาส่งเสียงร้องเพราะความตื่นตระหนก
องครักษ์สองคนที่เหลือถอยไปอยู่ด้านหลังองครักษ์กู้ ชีซื่อทราบว่าองครักษ์กู้เป็นหัวหน้าของทั้งสามคนนี้ นางจำได้เลือนรางว่าคนผู้นี้นามว่ากู้หนิง ฐานะสูงพอสมควร แม้มาถึงพระราชวังได้เพียงไม่กี่วัน แต่ในหมู่องครักษ์ก็มีคนมากมายเคารพนับถือเขา ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยามปกติวางตัวดีมารยาทมิบกพร่อง มิเคยแสดงกิริยาดูแคลนเพราะพวกนางแม่ลูกเป็นหุ่นเชิดมาก่อน แต่เหตุใดจู่ๆ คนผู้นี้จึงจะลงมือสังหารกันอย่างกะทันหัน นางมองกู้หนิงด้วยสายตาหวาดกลัว ถามขึ้นว่า “องครักษ์กู้ ท่านจะทำสิ่งใดกับข้าและลูก”
กู้หนิงถอนหายใจแผ่วเบา มือกุมด้ามดาบ ก้าวเข้าไปตรงหน้าชีซื่ออย่างเชื่องช้าแล้วก้มคำนับ “ผู้น้อยรับบัญชามาเอาชีวิตเจ้าแคว้น”
เขารับบัญชาจากฮั่วจี้เฉิงเข้ามาอยู่ในพระราชวังแคว้นสู่ เพื่อให้ทำงานได้สะดวก เขาจึงพาพี่น้องร่วมสาบานมาเพียงสองคน จางหันกับเหออวิ๋น พี่น้องสองคนนี้ล้วนเป็นผู้ที่มิสนใจการใหญ่ฟื้นคืนแว่นแคว้นสักนิด พวกเขาร่วมรุกร่วมถอยกับเขาเพียงเพราะไมตรีระหว่างพี่น้องเท่านั้น
ชีซื่อสีหน้าซีดเผือด ถามว่า “รับบัญชาชิ่งอ๋องมาหรือ ตอนนี้เขาน่าจะยังมิกล้าสังหารพวกเราสิ”
กู้หนิงได้ยินคำนี้ก็ฉุกคิดบางสิ่ง ในใจคิดว่า เหตุผลประการนี้แม้แต่สตรีนางนี้ยังรู้ หัวหน้ากลุ่มจะมิรู้ได้เช่นไร เหตุใดเขาจึงบีบให้ข้าล่วงเกินเจ้าแคว้น หรือว่าเขาจะมีอุบายประการใด แต่มิว่าเช่นไร ตนก็ยากจะหนีพ้นจากการควบคุมของคนผู้นั้นได้
เขาเอ่ยอย่างหม่นหมอง “ไทเฮา กระหม่อมก็ไร้ทางเลือก ขอไทเฮาโปรดอภัยด้วย” กล่าวจบก็ลุกขึ้นชักดาบ ลังเลเพียงครู่เดียวก็ฟันลงมาหมายสังหาร
แม้ชีซื่อไร้กำลังต่อต้าน แต่สัญชาตญาณของคนเป็นมารดาทำให้นางใช้กำลังทั้งหมดกอดบุตรรักไว้ในอ้อมแขน ใช้ร่างกายขวางอยู่หน้าดาบเหล็กกล้า แม้นต้องตายก็ขอตายก่อนลูกรัก ยิ่งไปกว่านั้น ในใจของนางยังมีความหวังเล็กๆ อยู่ จากคำพูดของคนผู้นี้ นางฟังออกว่าในใจเขามิได้อยากสังหารพวกนางนักหนา คล้ายกับว่าเขาก็ถูกบังคับให้กระทำ หากคนผู้นี้สังหารตนตาย ในใจคงรู้สึกทนมิได้ บางทีความมุ่งมั่นที่จะสังหารอาจลดน้อยถอยลง มิแน่ว่าบุตรรักอาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้
ทันใดนั้นดาบเหล็กก็หยุด ห่างจากชีซื่อเพียงเส้นด้าย หน้าผากของกู้หนิงเส้นเลือดปูดนูน มิว่าอย่างไรหนึ่งดาบนี้เขาก็ฟันมิลง เขาเป็นคนจงรักภักดี จะลงมือสังหารคนของเชื้อพระวงศ์ได้เช่นไร ต่อให้ชีซื่อกับบุตรมิได้มีฐานะเช่นนี้ ตนเป็นบุรุษผู้รักความยุติธรรม จะลงมือโหดเหี้ยมกับสตรีและเด็กได้หรือ
ชีซื่อเห็นเช่นนี้ก็รีบคุกเข่าจดพื้น ร่ำไห้วิงวอน “องครักษ์กู้ ข้าขอร้องท่านโปรดมีเมตตา ไว้ชีวิตพวกเราแม่ลูก พวกเราแม่ลูกจะซาบซึ้งบุญคุณท่านชั่วชีวิต”
สายตาของกู้หนิงฉายแววลังเล บนใบหน้าปรากฏสีหน้าสับสน เวลานี้เอง บุรุษวัยกลางคนดวงตาเหยี่ยวริมฝีปากบางผู้นั้นก็เอ่ยอย่างเยือกเย็น “พี่ใหญ่กู้ ท่านอย่าลืมว่าเยี่ยนเอ๋อร์กับเป้าเอ๋อร์ยังอยู่ในมือฮั่วอี้ อิงเอ๋อร์ก็ยังมิรู้ว่าเป็นหรือตาย หากท่านมิทำตามคำสั่งของหัวหน้ากลุ่ม เด็กๆ จะทำเช่นไรเล่า พวกนางแม่ลูกเป็นเพียงหุ่นเชิดของชิ่งอ๋อง ท่านเห็นพวกนางเป็นเจ้าแคว้น เป็นไทเฮาจริงๆ หรือไร”
ชีซื่อได้ยินก็ลนลานอ้อนวอน “องครักษ์กู้ ตัวตนของข้ากับซวี่เอ๋อร์มิใช่เรื่องลวง แต่ข้ามิกล้าวาดหวังใช้สิ่งนี้มาขอชีวิต ขอองครักษ์กู้เห็นแก่พวกเราแม่ม่ายกับลูกกำพร้าไว้ชีวิตพวกเราด้วย หากติดขัดสิ่งใด ขอเพียงละเว้นชีวิตซวี่เอ๋อร์ก็พอ ส่วนตัวข้าจะสับเป็นหมื่นชิ้น ข้าก็จะมิกล่าววาจาเคืองแค้นสักคำ” นางได้ยินว่ากู้หนิงเหมือนจะมาเอาชีวิตพวกนางแม่ลูกเพราะหลานชายถูกจับตัวไปจึงไร้หนทาง ดังนั้นนางจึงใช้ความรักของมารดาที่มีต่อบุตรอ้อนวอนให้เขาใจอ่อน
กู้หนิงฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้ววางดาบเหล็กลง เอ่ยอย่างหม่นหมอง “ยังมิต้องพูดถึงว่าเด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตเจ้าแคว้น เพียงกล่าวถึงคุณธรรมในยุทธภพ ผู้แซ่กู้จะอาศัยการสังหารมารดากับบุตรของผู้อื่นเพื่อช่วยสายเลือดของตนเองได้หรือ
พี่น้องทั้งหลาย ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะออกจากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว หัวหน้ากลุ่มเป็นคนโหดร้าย ช้าเร็วย่อมสังหารพวกเราทุกคน หากพวกเจ้ายินดี ก็ช่วยข้าคุ้มกันพวกนางแม่ลูกออกไปเถิด มิว่าจะเป็นชิ่งอ๋องหรือหัวหน้ากลุ่มล้วนแต่เป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตทั้งสิ้น ข้ามิอาจทนเห็นบุตรของอดีตเจ้าแคว้นตายในเงื้อมมือของพวกคนใจทะเยอทะยานเหล่านั้น”
บุรุษวัยกลางคนทั้งสองมองหน้ากัน บุรุษเคราเฟิ้มผู้นั้นถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ถ้าเช่นนั้นพวกเด็กๆ จะทำเช่นไรเล่า”
กู้หนิงตอบอย่างเจ็บปวด “หัวหน้ากลุ่มเป็นคนอำมหิต ข้าคงทำได้เพียงลองช่วยพวกเขาดู พวกเจ้าพาท่านเจ้าแคว้นกับมารดาหนีไปก่อน ข้าจะไปด่านซั่นกวน คิดหาวิธีช่วยเยี่ยนเอ๋อร์กับเป้าเอ๋อร์กลับมา ส่วนอิงเอ๋อร์ เกรงว่าคงมิมีโอกาสช่วยออกมาแล้ว”
บุรุษวัยกลางดวงตาเหยี่ยวริมฝีปากบางผู้นั้นถอนหายใจ “แต่เดิมข้ามาอยู่ในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเพราะไมตรีระหว่างพี่น้องที่มีกับพี่ใหญ่ หากมิได้เป็นเช่นนี้ แม้ฮั่วจี้เฉิงผู้นั้นฝีมือร้ายกาจ ไฉนเลยจะบงการข้าได้ ในเมื่อพี่ใหญ่ตัดสินใจว่าจะจบความสัมพันธ์กับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแล้ว ข้าย่อมไม่มีสิ่งใดแย้ง พวกท่านยินดีจะหนีไปกับพวกเราหรือไม่” ประโยคสุดท้ายกลับเป็นประโยคที่ถามชีซื่อ
ชีซื่อหวาดหวั่น แม้คนเหล่านี้แต่เดิมต้องการจะสังหารตนเอง แต่นางดูออกว่าพวกเขามิใช่คนเลวร้าย ความจริงแล้วนางก็มิเชื่อใจชิ่งอ๋อง อีกอย่างหนึ่งหากมิรับปาก น่ากลัวว่าบุรุษผู้ดูอำมหิตผู้นี้คงจะสังหารพวกนางแม่ลูกแน่ ดังนั้นชีซื่อจึงรีบพยักหน้าตอบว่า “พวกเราแม่ลูกต้องพึ่งผู้กล้าทั้งหลายแล้ว”
บุรุษร่างใหญ่เคราเฟิ้มผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ข้ากับท่านเดินทางไปซั่นกวน แล้วให้เหล่าจางพาพวกนางแม่ลูกหนีไปก่อนเถิด”
กู้หนิงรู้สึกซาบซึ้งใจ ในหมู่ทั้งสามคนหากพูดถึงวรยุทธ์ บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้คือคนที่ฝีมือสูงส่งที่สุด เขาเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งอันดับสองในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว มีเขาอยู่เคียงข้าง โอกาสที่จะช่วยเด็กๆ ทั้งหลายก็เพิ่มขึ้นมาก
บุรุษวัยกลางคนดวงตาเหยี่ยวริมฝีปากบางผู้นั้นกลับขมวดคิ้ว แย้งว่า “พี่ใหญ่ แม้น้องสามวรยุทธ์สูงส่ง แต่นิสัยเลินเล่อ การช่วยคนต้องอาศัยเล่ห์กลและชั้นเชิง ให้ข้าไปจะดีกว่า แล้วอีกอย่าง พี่น้องในกลุ่มเคยมีคนติดค้างบุญคุณพี่ใหญ่อยู่มากมาย พี่ใหญ่ให้พวกเขาปิดบังข่าวสารไว้ก่อน ทำเช่นนี้พวกเราจะมีโอกาสช่วยหลานๆ ออกมาได้มาก”
กู้หนิงทราบว่าแม้จางหันน้องรองของตนคนนี้จะใจเหี้ยมอยู่บ้าง แต่ก็ขบคิดได้ลึกซึ้ง มีสติปัญญาพอสมควร หากมิใช่เพราะในสายตาคนผู้นี้มีแต่ตนเอง ด้วยความสามารถของเขา คงถูกฮั่วจี้เฉิงใช้ทำงานสำคัญไปนานแล้ว แผนการของเขามีโอกาสสำเร็จค่อนข้างมากอยู่จริงๆ ดังนั้นเขาจึงค้อมกายคำนับจนแทบจดพื้น “ขอบคุณพี่น้องที่ช่วยเหลือข้า”
จางหันยิ้มตอบว่า “ขอบคุณอันใดกัน ตอนแรกหากมิได้พี่ใหญ่ช่วยชีวิตข้าไว้ น่ากลัวว่าบนโลกใบนี้ก็มิมีคนชื่อจางหันผู้นี้แล้ว แล้วอีกอย่าง กล่าวตามจริง ข้าก็เบื่อหน่ายชีวิตเช่นนี้แล้วด้วย หลนเร้นไปใช้ชีวิตทำไร่ไถนาคงจะดีกว่าชีวิตที่มิรู้ว่าจะอยู่รอดถึงค่ำหรือไม่ สองปีก่อนข้าสร้างบ้านลับไว้หลังหนึ่ง หนนี้พวกเราไปทำนาล่าสัตว์ที่นั่น ใช้ชีวิตอิสระเสรีมิดียิ่งหรอกหรือ”
กู้หนิงถอนหายใจ “ดูจากการกระทำของชิ่งอ๋องก็ทราบแล้วว่าเขามิคิดจะช่วยฟื้นคืนแคว้นสู่ของพวกเราด้วยใจจริง หัวหน้าฮั่วใจทะเยอทะยาน การฟื้นแว่นแคว้นคงไร้ความหวังแล้ว พวกเราช่วยสายเลือดของอดีตเจ้าแคว้นไว้ได้ ทำให้สายเลือดของอดีตเจ้าแคว้นมิขาดสายก็นับว่าจงรักภักดีถึงที่สุดแล้ว”
ชีซื่อฟังมาถึงตรงนี้จึงวางใจลงอย่างแท้จริง นางเป็นสตรีผู้เข้าใจการรุกถอยคนหนึ่ง การกลายมาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกคนอื่นจับวางมิใช่ความปรารถนาของนาง หากหลบเร้นไปอยู่ในชนบทกับบุตรชายได้จริง นางก็ยินยอมพร้อมใจ เพียงแต่ในใจนางยังคงคลางแคลงคนเหล่านี้อยู่ จึงมิกล้าเผยความคิดในใจออกมา ด้วยเหตุนี้นางจึงยังเงียบงันมิพูดจา
เหออวิ๋นพาชีซื่อกับบุตรชายหนีออกไปจากพระราชวังด้วยความช่วยเหลือของลูกศิษย์คนสนิทหลายคนกับสมาชิกกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่มิทราบความจริง ส่วนกู้หนิงกับจางหันเดินทางไปยังด่านซั่นกวน
แม้ความจริงทั้งสามคนนี้จะพยายามปกปิดร่องรอยแล้ว ทว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้จะปิดบังหูตามากมายได้เช่นไร แต่หลังจากทั้งสามคนจากไปย่อมมีคนช่วยพวกเขาลบร่องรอยและปิดบังข่าวคราวเอาไว้ ทว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งที่ทั้งสามคนจะล่วงรู้