ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 10 ธารารินไหล บุปผาร่วงโรย (2)
มิว่าจะอาลัยอาวรณ์อย่างไร ในที่สุดหลินถงกับชื่อจี้ก็ย่างเท้าออกเดินทาง หลี่เสี่ยนมองเงาแผ่นหลังที่เคลื่อนไกลออกไปแล้วเดินมาข้างกายภรรยารักผู้มีน้ำตาคลอแวววาวอยู่ในดวงตา เอ่ยขึ้นว่า “ปี้เอ๋อร์ กลับกันเถิด อย่างมากผ่านไปอีกสองปี ค่อยให้พวกเขาเข้าเมืองหลวงมารายงานก็ได้แล้ว”
หลินปี้ตอบอย่างหม่นหมอง “ข้าไม่เป็นไร ท่านมิต้องเป็นห่วง พี่สาวน้องสาวแยกจากกันเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น ข้าเพียงเศร้าใจเล็กน้อยที่มิอาจกลับไปเยี่ยมเยียนได้ก็เท่านั้น”
หลี่เสี่ยนเงียบงัน เรื่องนี้เขาเองก็มิอาจช่วยเหลือได้ เรื่องบางอย่างก็ทำสิ่งใดมิได้ เหมือนเช่นที่เขาต้องปล่อยมือจากอำนาจทหารเพื่อแลกกับการได้ครองคู่กับหลินปี้ หลินปี้ต้องการให้ตระกูลหลิวกับตระกูลหลินสงบสุขก็ทำได้ เพียงล้มเลิกความหวังที่จะหวนคืนไต้โจว
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ หลินปี้กลับยิ้มกล่าวว่า “ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ฉางอันก็ดียิ่งนัก อีกอย่างมีท่านกับลูกๆ อยู่ มิว่าที่ใดก็คือบ้านมิใช่หรือ ท่านต่างหาก เพื่อแต่งกับข้าออกจะเสียสละมากเกินไปสักหน่อย”
หลี่เสี่ยนเห็นนางปล่อยวางได้ก็คลี่ยิ้ม “ข้าท่านอ๋องผู้นี้มิรักบัลลังก์แต่รักคนงาม นี่มีสิ่งใดผิดเล่า”
หลินปี้หน้าแดง ขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินหนีก็ถูกหลี่เสี่ยนรวบเอวบางไว้มิยอมปล่อย ในใจนางรู้สึกหวานล้ำ มิรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่ตนเองไม่เลือกยึดติดกับความเคียดแค้นแล้วปล่อยมือจากบุรุษที่ทำให้หัวใจตนหวั่นไหวผู้นี้
เมื่อหวนนึกถึงข่าวที่ชื่อจี้ลอบบอกตนเองเมื่อครู่ บางทีตนสมควรจะไปพบต้วนอู๋ตี๋สักหน่อย เรื่องในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วคงมิจำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป แม้นตนจะต้องตกหลุมพรางของเจียงเจ๋ออีกสักหน แต่การทำให้บุรุษผู้ภักดีต่อแผ่นดินและประชาชนคนหนึ่งมิต้องเร่ร่อนอยู่ในยุทธภพก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
หลี่เสี่ยนกับหลินปี้แสดงความหวานชื่นกันตรงนี้ กลับทำให้บุตรทั้งหลายของฉีอ๋องที่อยู่ด้านข้างกระอักกระอ่วนยิ่งนัก พวกเขาล้วนก้มหน้ามิพูดจา นอกจากหลี่หลิน บุตรของท่านอ๋อง คนอื่นล้วนมิมีผู้ใดสักคนนิสัยคล้ายกับหลี่เสี่ยน ก่อนหน้านี้หลี่เสี่ยนมิสนใจไยดีพวกเขา พวกเขาจึงมีแต่ความรู้สึกหวั่นเกรงต่อหลี่เสี่ยน
จนกระทั่งหลินปี้เข้ามาในจวนฉีอ๋อง นางตั้งกฎบ้านขึ้นมาใหม่อีกหน ให้การดูแลบุตรอนุเหล่านี้อย่างดีพอสมควร เด็กน้อยทั้งหลายเหล่านี้จึงเคารพหลินปี้อย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาย่อมมิกล้ามองภาพหลี่เสี่ยนหยอกเอินนาง หลี่หลินกลับใจกล้า ผินหน้าหนีแล้วกระแอมหนักๆ สองสามที หลินปี้ตกใจรีบดันหลี่เสี่ยนออก
หลี่เสี่ยนได้แต่คลายมือออกแล้วหันไปมองบุตรทั้งหลาย บอกว่า “พวกเจ้ากลับไปเองก็แล้วกัน” หลังจากนั้นจึงถลึงตาใส่หลี่หลินอย่างเหี้ยมๆ แล้วโอบหลินปี้ขึ้นรถม้าจากไป
หลี่หลินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ตนเองหวังดีแท้ๆ แต่กลับล่วงเกินเสด็จพ่อ ท่าทางหลังจากกลับไป เสด็จพ่อคงหาเหตุผลลากตนไปลานฝึกยุทธ์เป็นแน่ เมื่อคิดว่าค่ำคืนนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องเจ็บระบมไปทั้งตัว ยากจะนอนหลับใหล หลี่หลินย่อมอารมณ์ไม่ดี พี่น้องทั้งหลายเหล่านั้นของเขามองเขาด้วยสายตาขอให้โชคดี แล้วต่างคนก็ขึ้นอาชาจากไป
เวลานี้เอ งฮั่วฉงก็อมยิ้มกล่าวขึ้นว่า “จวิ้นอ๋อง หลายวันนี้ท่านอาจารย์กับองค์หญิงล้วนมิอยู่ในจวน มิสู้ท่านมาค้างสักสองสามวันเป็นอย่างไร”
หลี่หลินได้ฟังก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบตอบว่า “ดี ดี ขอบคุณท่านแล้ว พี่ใหญ่ฮั่ว”
ดวงตาของลู่อวิ๋นมีแววตายินดีแล่นผ่าน คิดมิถึงว่าจะมีโอกาสเข้าไปในจวนของเจียงเจ๋อรวดเร็วเช่นนี้ แม้ตอนนี้เจียงเจ๋อจะมิอยู่ แต่อย่างไรก็คงได้อะไรมาบ้างมิใช่หรือ
เขามิรู้สึกตัวสักนิดว่าตอนเชื้อเชิญหลี่หลิน สายตาของฮั่วฉงหยุดอยู่บนร่างเขาชั่วพริบตาหนึ่ง แล้วเขาก็มิทราบเช่นกันว่าหนังสือรายงานการสืบชาติกำเนิดของเขาฉบับนั้นเป็นสิ่งที่ฮั่วฉงปลอมแปลงขึ้นมาแล้วแจ้งให้กองการข่าวส่งมายังมือของหลี่หลิน มิเช่นนั้นบนโลกไฉนเลยจะมีเรื่องบังเอิญปานนั้น มีอวิ๋นเอ้อร์หลางอยู่คนหนึ่งจริงๆ
เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อลู่อวิ๋นลืมตาขึ้น ฟ้าก็สว่างโร่แล้ว เขาอดแปลกใจมิได้ เมื่อวานเขาตามหลี่หลินมายังจวนของเจียงเจ๋อ หลี่หลินพักอยู่ในเรือนชีเฟิ่ง เขาในฐาะนะองครักษ์ของหลี่หลินย่อมพักอยู่ที่นั่นเช่นกัน ได้ยินมาว่าจวนของเจียงเจ๋อแต่เดิมเป็นจวนเก่าของจักรพรรดิต้ายง ในความคิดของลู่อวิ๋น แม้จะงดงามหรูหราและเงียบสงบแต่ก็ยังน้อยกว่าจวนของฉีอ๋องมาก ไม่มีห้องหอศาลามากมายเท่า พาตัวเองเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของคู่แค้น เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อคืนวานตนเองคงยากจะนอนหลับ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตลอดคืนกลับไม่ฝันแม้แต่น้อย เขามิเข้าใจเลยจริงๆ
เมื่อเดินออกมาจากห้อง เขาก็เห็นหลี่หลินกำลังฝึกกระบี่อยู่ในสวน องครักษ์หลายคนอยู่ด้วยด้านข้าง ลู่อวิ๋นหน้าแดง ก้าวมายืนด้านข้าง รอจนหลี่หลินฝึกกระบี่เสร็จแล้ว เขาจึงก้าวเข้าไปขออภัย “ผู้น้อยมิทันระวังนอนหลับเพลิน ขอท่านอ๋องอภัยด้วย”
หลี่หลินยิ้ม “เจ้ามาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก คงไม่คุ้นชินอยู่บ้าง ข้าจะมาค้างที่นี่เป็นบางครั้ง ต่อจากนี้เจ้าก็จะคุ้นเคยเอง เอาละ ไปสวนเหมันต์เป็นเพื่อนข้าเถิด พี่ใหญ่ฮั่วให้พวกเราไปกินมื้อเช้าด้วยกันกับเขาที่นั่น”
ลู่อวิ๋นเลิกคิ้ว อดมิไหวถามขึ้นว่า “ยามอยู่หนานฉู่ผู้น้อยได้ยินมาว่าสวนเหมันต์เป็นสถานที่วางแผนคิดกลอุบายของฉู่โหว คิดไม่ถึงว่าจะยกให้คุณชายฮั่วอาศัย”
หลี่หลินเผยรอยยิ้มประหลาดออกมาทันใดแล้วตอบว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว สวนเหมันต์จนวันนี้ก็ยังเป็นที่อาศัยของอาเขย แม้ตอนนี้ห้องนอนของอาเขยอยู่ที่จวนชั้นใน แต่ในหนึ่งเดือนก็มักจะมีสิบกว่าวันที่อาเขยมาอยู่ที่สวนเหมันต์ ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นยังมีห้องหนังสือของอาเขยอยู่อีก ไม่รู้ว่ามีกี่กลอุบายที่ถูกร่างขึ้นที่นั่น แม้แต่เสด็จลุงหากต้องการจะปรึกษาแผนการกับอาเขยก็มาที่สวนเหมันต์เช่นกัน”
ลู่อวิ๋นฉงนเล็กน้อย ทั้งที่ฮั่วฉงอาศัยอยู่ที่สวนเหมันต์เช่นนั้นหรือ
ยามนี้เขาทราบแล้วว่าเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นคือลูกศิษย์ของเจียงเจ๋อ แล้วก็มีฐานะเป็นหนึ่งในคุณชายน้อย เหตุไฉนจึงไม่มีที่อาศัยต่างหากเป็นของตนเอง ลู่อวิ๋นพกพาความฉงนงงงวยติดตามหลี่หลินเดินไปยังสวนเหมันต์ ตลอดทางเขาคอยสังเกตอย่างถี่ถ้วน องครักษ์ในจวนของเจียงเจ๋อแต่ละคนมิใช่คนธรรมดา การคุ้มกันแน่นหนาเสียยิ่งกว่าจวนฉีอ๋อง คิดจะลอบสังหารยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ
พอเดินมาถึงประตูสวนเหมันต์ หลี่หลินก็ให้องครักษ์คนอื่นไปพักผ่อนแล้วจูงลู่อวิ๋นบอกว่า “เจ้ากับพวกเขาไม่เหมือนกัน ข้านับเจ้าเป็นสหาย เจ้าเข้าไปด้วยกันกับข้าเถิด”
ลู่อวิ๋นรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาย่อมทราบว่าหลี่หลินปฏิบัติกับตนแตกต่างจากผู้อื่น ความสำคัญของสหายเหนือกว่าผู้ใต้บัญชาอยู่บ้าง แต่ยามนี้เขากำลังจะเข้าไปในสถานที่ซึ่งเจียงเจ๋อมักจะมาอาศัยอยู่บ่อยๆ จึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก มิมีเวลามาซาบซึ้งกับความรู้สึกของหลี่หลิน
เมื่อเดินเข้าไปในสวนเหมันต์ ลู่อวิ๋นก็ยิ่งตกตะลึง ความสงบและสันโดษด้านในทำให้เขานึกถึงห้องหนังสือของบิดา ความเงียบสงบระดับนี้ แม้แต่ทิวทัศน์วสันต์อันงดงามก็ดูเหมือนจืดจางลงเมื่ออยู่ที่นี่ การเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดด้านนอกกับความสงบวิเวกด้านในขัดกันอย่างชัดเจนจริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่อวิ๋นยิ่งประหลาดใจก็คือ ใต้แสงตะวันแรกแย้ม ฮั่วฉงผู้สวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายธรรมดากำลังเล็มกิ่งต้นไม้ดอกไม้อยู่ที่นั่น เขาตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่จนแม้กระทั่งพวกตนเดินเข้ามาก็ยังมิรู้สึกตัว
หลี่หลินก้าวเข้าไปเรียก “พี่ใหญ่ฮั่ว ท่านยังทำงานไม่เสร็จอีกหรือ คงมิใช่ว่าอาหารเช้ายังเตรียมมิเสร็จหรอกกระมัง นี่คืออวิ๋นลู่ พี่ใหญ่ฮั่วยังจำได้หรือไม่ หนนี้ข้าพาเขามาด้วยกัน ให้โหรวหลันเจอเขาด้วย จะได้รู้ว่าข้ามิได้รังแกเขา”
ฮั่วฉงได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้มน้อยๆ เขาวางกรรไกรเล็มดอกไม้ในมือแล้วปัดฝุ่นบนฝ่ามือ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินจวิ้นอ๋องเล่าว่าเจ้ามารับตำแหน่งอยู่ข้างกายเขาแล้ว แม้มากกว่าครึ่งคงเป็นเพราะท่านจวิ้นอ๋องบังคับ เจ้าก็อย่าถือโทษเขาเลย เขาเพียงหวังดีเท่านั้น”
ลู่อวิ๋นรีบตอบว่า “มิใช่ท่านอ๋องบีบบังคับ ผู้น้อยร่อนเร่มาถึงฉางอัน ตามหาญาติแต่กลับมิพบ กำลังมิรู้ว่าจะทำอย่างไรดีเหมือนกัน ได้อยู่ข้างกายจวิ้นอ๋องก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอน”
หลี่หลินขมวดคิ้ว “อวิ๋นลู่ ที่แท้เจ้าก็คิดเช่นนี้เองหรือ มิน่าวันนั้นจึงยอมอยู่ง่ายดายเช่นนั้น ข้ายังนึกสงสัยอยู่เลย”
ลู่อวิ๋นโล่งใจ เขาก็คิดอยู่แล้วว่าหลี่หลินอาจสงสัยสาเหตุที่ตนยอมอยู่ต่อ ถึงอย่างไรวันนั้นตอนอยู่ริมทาง ตนเองก็แสดงท่าทีดื้นรั้นอย่างยิ่ง การยอมจำนนง่ายดายเช่นนี้ออกจะเหมือนการละเล่นของเด็กอยู่บ้าง ดังนั้นวันนี้เขาจึงฉวยโอกาสอุดส่วนที่น่าสงสัยสักหน่อย แล้วก็คลายความแคลงใจของหลี่หลินได้จริงๆ
ดวงตาของฮั่วฉงทอประกายขบขันจางๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เอาละ ประเดี๋ยวโหรวหลันก็มาแล้ว พวกเจ้าไปรอที่โถงบุปผาก่อน ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป
หลี่หลินลากลู่อวิ๋นเดินไปยังโถงบุปผา บ่นว่า “สวนเหมันต์ก็ไม่ดีที่ตรงนี้ ห้ามมิให้บ่าวรับใช้เข้ามารับใช้ โชคดีที่อาหารเช้ายังมิต้องไปยกมาเอง”
ลู่อวิ๋นนึกฉงน อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “คุณชายฮั่วชอบดูแลดอกไม้ต้นไม้มากหรือ เหตุใดเขาจึงอาศัยอยู่ที่นี่ ที่แห่งนี้มิใช่สถานที่เก็บความลับสำคัญหรอกหรือ”
หลี่หลินยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่ฮั่วมีฐานะเป็นอะไร”
ลู่อวิ๋นตอบว่า “ผู้น้อยได้ยินว่าคุณชายฮั่วเป็นลูกศิษย์สายตรงของท่านโหว”
หลี่หลินชูนิ้วชี้ขึ้นมาตอบว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าไม่รู้ พี่ใหญ่ฮั่วยังเป็นบ่าวในสวนเหมันต์ รับผิดชอบดูแลต้นไม้ดอกไม้ที่นี่ด้วย”
ลู่อวิ๋นตกตะลึง ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวขึ้นว่า “แต่คุณชายฮั่วเป็นลูกศิษย์ของท่านโหวมิใช่หรือ เหตุไฉนท่านโหวจึงให้เขาเป็นบ่าวไพร่อีก นี่ออกจะแปลกพิลึกเกินไปหน่อยแล้ว”
หลี่หลินหัวเราะ “นิสัยอาเขยคนนี้ของข้าก็แปลกประหลาดเช่นนี้ ดังนั้นพี่ใหญ่ฮั่วถึงอาศัยอยู่ที่สวนเหมันต์ แต่กลับมิใช่เจ้านายของสวนเหมันต์”
ลู่อวิ๋นยังคงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เวลานี้เอง หูก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “นี่เป็นเพราะท่านอาจารย์ใส่ใจ ท่านอาจารย์มักกล่าวว่าคนทุกคนล้วนสมควรมีตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง ตระกูลเจียงไม่เก็บคนไร้ประโยชน์ไว้ หากฮั่วฉงต้องการอยู่ในจวนก็ต้องทำงานแลกข้าวกับที่พัก
ดังนั้นแม้ฮั่วฉงจะคารวะเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์แล้ว แต่ก็ยังคงทำงานเป็นบ่าวไพร่หาเลี้ยงชีพอยู่ ทว่าการกลายเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ก็มีข้อดีอยู่บ้าง งานในสวนเหมันต์มิหนักหนามากมาย งานที่ต้องสิ้นเปลืองเวลาเหล่านั้นล้วนมีผู้อื่นทำ ข้าเพียงต้องดูแลดอกไม้ต้นไม้เท่านั้น”
ลู่อวิ๋นหันกลับไปมองก็เห็นฮั่วฉงเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สีเขียวสะอาดสะอ้านชุดหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู แสงตะวันยามรุ่งอรุณส่องมาจากด้านหลังของเขา ทำให้ลู่อวิ๋นรู้สึกว่าดวงหน้าของเขาพร่ามัวเล็กน้อย แต่ยังคงมองเห็นสีหน้าสงบสุขุมของฮั่วฉงอยู่