ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 102 หัวใจภักดีแน่วแน่ดุจเหล็กกล้า (2)
ลู่ช่านยิ้มละไมยกสุราขึ้นดื่ม ยิ้มแย้มสนทนาอย่างสบายใจ ค่อยๆ ถามถึงประวัติความเป็นมาของซ่งอวี๋ ซ่งอวี๋มิปิดบัง นอกจากเรื่องที่ตนเป็นคนของค่ายลับซึ่งมิเคยเผยกับผู้ใด แม้แต่เรื่องที่เคยเป็นมือสังหารก็เล่าตามตรง เพียงพูดคุยกันไม่กี่คำ ซ่งอวี๋ก็รู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่ผู้อยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นมิตรน่าคบหา ถ้อยคำจริงใจ ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบลมวสันต์ ประหนึ่งร่ำสุราเลิศรส
ฝ่ายลู่ช่านกลับรู้สึกว่าแม้ชายหนุ่มผู้นี้มักจะทำหน้าหดหู่ แต่ก็เป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น ถามถึงกลศึกก็ตอบได้อย่างรอบรู้ ไม่ว่านิสัยหรือกิริยาท่าทางล้วนมีจุดที่น่าชื่นชม จึงอดมิได้กล่อมว่า “คุณชายซ่งมีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น สมควรทำงานรับใช้แว่นแคว้น จะลดตัวเป็นสามัญชน จมอยู่กับความสำมะเลเทเมาได้อย่างไร วันนี้คุณชายซ่งได้รับความไว้วามใจจากอัครมหาเสนาบดีซั่งแล้ว สมควรเข้ากองทัพตอบแทนประเทศชาติจึงจะถูก อัครมหาเสนาบดีซั่งคงยอมพยักหน้าเป็นแน่”
ดวงตาซ่งอวี๋ฉายแววประหลาดใจกล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่ถูกอัครมหาเสนาบดีใส่ร้าย เจ้าแคว้นออกราชโองการพระราชทานความตาย แม้แต่ถ้อยคำเคืองแค้นสักคำก็ยังไม่มี กลับจะกล่อมผู้น้อยให้ทำงานรับใช้แว่นแคว้นอีกหรือ”
ลู่ช่านตอบอย่างนิ่งสงบ “ข้าหาใช่นักบุญ ไฉนจะไร้เคืองแค้น แต่แค้นก็ส่วนแค้น จิตใจภักดีต่อแว่นแคว้นของผู้แซ่ลู่มิแปรเปลี่ยน หลังสิ้นข้า อัครมหาเสนาบดีซั่งย่อมกีดกันกดดันลูกน้องเก่าของผู้แซ่ลู่ ข้าเห็นคุณชายซ่งค่อนข้างมีความสามารถ ทั้งยังได้รับความเชื่อใจจากอัครมหาเสนาบดีซั่ง หากได้นำทัพออกศึกก็จะเป็นโชคดีของแว่นแคว้น โชคดีของเหล่าทหารและแม่ทัพ” กล่าวจบก็เปลี่ยนประเด็น เล่าถึงข้อคิดจากการนำทัพทำสงครามที่ผ่านมาของตนเอง
ซ่งอวี๋ยิ่งตกตะลึงและเลื่อมใส พอนึกถึงเรื่องที่ตนรับคำสั่งจากเจียงเจ๋อใช้วาจาลอบสุมไฟอยู่หลายหน ก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าการที่คนผู้นี้ตกมาอยู่ในจุดนี้ ตนย่อมยากจะปฏิเสธความผิด ในใจพลันรู้สึกละอายใจจนยากจะทนไหว ระหว่างที่หูฟังลู่ช่านพร่ำพูดราวกับตั้งใจจะถ่ายทอดตำราพิชัยสงครามให้ สุดท้ายเขาก็อดกลั้นมิไหว คุกเข่าลงไปคารวะจรดพื้น “แม่ทัพใหญ่เมตตาถึงเพียงนี้ ผู้น้อยละอายใจจนยากจะทานทน ผู้น้อยทำร้ายแม่ทัพใหญ่จนมาถึงที่ตาย ความผิดหนักหนานัก ไหนเลยจะกล้ารับคำสั่งสอนที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองอีก”
ลู่ช่านได้ยินก็ตะลึงเล็กน้อย แม้ชายหนุ่มผู้นี้จะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากซั่งเหวยจวิน แต่คงจะไม่มีคุณสมบัติถึงขั้นออกปากเสนอแผนการ แล้วเหตุไฉนเขาจึงกล่าวเช่นนี้
ซ่งอวี๋เห็นสีหน้าของลู่ช่านก็ยิ่งเจ็บปวดเสียใจ อ้าปากอยากจะบอกกล่าว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต่อให้ตนบอกให้คนผู้นี้รับรู้ ก็เป็นเสมือนการทาเกลือบนบาดแผลเท่านั้น มีแต่ทำร้าย หามีประโยชน์ไม่ จึงทำหน้าหดหู่ กล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่เชิญดื่มสุรา ผู้น้อยจะคอยรับใช้อยู่ด้านนอก”
ลู่ช่านสีหน้าหม่นหมอง ตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเถิด” เขาเองก็เป็นคนหัวไว จึงตระหนักถึงบางสิ่งได้เลือนราง เมื่อเห็นซ่งอวี๋เดินออกไปนอกห้อง เขาก็ยิ้มขมขื่น เงยหน้ามองนอกหน้าต่าง เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ เกล็ดหิมะนอกหน้าต่างกลับยิ่งพร่างพรมลงมาจนโลกแลดูเลือนราง หิมะลอยระบำตามลมคล้ายภาพมายา คล้ายห้วงฝัน ชั่วขณะที่ใจลอยก็อดนึกถึงเรื่องเก่าในอดีตขึ้นมามิได้ แต่ละเรื่องราว แต่ละเหตุการณ์ล้วนยากจะลืมเลือนทั้งสิ้น
ทันใดนั้นท่ามกลางเงาหิมะอันเลือนราง จู่ๆ ก็มีเสียงพิณเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงพิณละม้ายคล้ายเกล็ดหิมะนับพันหมื่นร่วงหล่นทอดต่อเป็นสาย ไร้ช่องโหว่ให้แทรก ทั้งเยือกเย็นและเดียวดาย ทว่าเปลี่ยนแปรมิอาจหยั่ง ลู่ช่านรู้สึกว่าจิตใจฮึกเหิมหดหู่ไปตามเสียงพิณ เลือดลมพลุ่งพล่าน หัวใจสั่นไหว
เขาเดินสองสามก้าวไปถึงริมหน้าต่าง ปล่อยให้เกล็ดหิมะปลิวมาปะทะใบหน้าจนใจเย็นลง แววตาสุกใสมองเข้าไปในสวน ทันใดนั้นก็พบว่าท่ามกลางหมอกหิมะขมุกขมัวมีบุปผาโลหิตสาดกระเซ็นเป็นระยะประหนึ่งดอกเหมยแย้มกลีบบาน เสียงเข่นฆ่าเดี๋ยวดังเดี๋ยวหายตรงนั้นตรงนี้ เสียงกรีดร้องกับเสียงอาวุธกระทบกันดัง ก่อกวนทิวทัศน์หิมะอันเงียบสงบ
ลู่ช่านทราบทันทีว่ามีคนเดินทางมาปล้นนักโทษ ในใจนึกสงสัย ลูกน้องเก่าทั้งหมดได้รับคำสั่งเด็ดขาดจากเขาแล้วว่ามิอนุญาตให้มาก่อเรื่องในเจี้ยนเย่อย่างเด็ดขาด จะมีผู้ใดเดินทางมาปล้นคุกอีกเล่า สิ่งที่ซ่งอวี๋พูดถึงเมื่อครู่ เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ซั่งเหวยจวินระแวงมากเกินไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาปล้นคุกจริงๆ
เมื่อเพ่งสมาธิฟังก็รับรู้ได้ว่าเสียงฆ่าฟันดังขึ้นมาจากสี่ด้านแปดทิศ ผู้ที่บุกเข้ามาค่อนข้างมีระเบียบแบบแผน มิเหมือนกลุ่มคนที่รวมตัวกันมั่วซั่ว เพียงแต่ว่าบุกเข้ามาได้ยากเย็นนัก เห็นชัดว่าซั่งเหวยจวินวางกำลังทหารไว้ที่นี่อย่างแน่นหนา ตั้งใจจะรวบจับคนที่มาให้หมด
ลู่ช่านขบคิดอย่างเร็วไว ทันใดนั้นก็เกิดลางสังหรณ์ร้าย หรือจะมีคนยุยงปลุกปั่นหมายจะให้ผู้กล้าของหนานฉู่ล้วนมาจบชีวิตลงที่นี่ ตอนนี้มีเพียงตนเองออกหน้าทำให้คนที่มาปล้นคุกเหล่านั้นถอยไปเดี๋ยวนี้ จึงจะหลีกเลี่ยงหายนะประการนี้ได้
พอคิดมาถึงตรงนี้ ลู่ช่านก็กระโจนข้ามหน้าต่าง ตั้งใจจะทะยานร่างไปยังจุดที่เสียงฆ่าฟันดังที่สุด เวลานี้เขาปลดตรวนออกแล้ว แม้พละกำลังจะหดหายไปมากเพราะถูกคุมขังมานานหลายเดือน แต่ก็ยังเคลื่อนไหวได้ว่องไว คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งเหยียบบนผืนหิมะก็มีคนผู้หนึ่งเข้ามาขวางหน้า สะบัดพัดเดี๋ยวกางเดี๋ยวหุบ ขวางทางไปของเขา ลู่ช่านมองซ่งอวี๋ผู้มีสีหน้าเย็นชาคนนั้นแล้วตวาด “ถอยไป ข้าจะมิให้ผู้กล้าแห่งหนานฉู่ของข้าฆ่าฟันกันเองเป็นอันขาด”
แม้ในใจซ่งอวี๋จะเลื่อมใสลู่ช่านที่มองเส้นสนกลในของเรื่องราวออกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมิถูกความคิดละโมบอยากมีชีวิตหลอกลวง แต่ตนได้รับคำสั่งอันเคร่งครัดว่าให้รั้งลู่ช่านไว้ที่นี่ ห้ามปล่อยเขาไปขวางโศกนาฏกรรมที่ทั้งสองฝ่ายถูกลิขิตให้ล้มตายหนนี้เป็นอันขาด
ดวงตาของซ่งอวี๋ทอประกายกร้าว เอ่ยว่า “ผู้น้อยได้รับบัญชามาว่าห้ามมิให้แม่ทัพใหญ่ออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ก่อนหนังสือราชโองการของเจ้าแคว้นมาถึง ขอแม่ทัพใหญ่ลิ้มรสสุราอยู่ในห้อง เรื่องราวด้านนอกมิจำเป็นต้องให้แม่ทัพใหญ่ใส่ใจ”
ดวงตาของลู่ช่านทอประกายเย็นเยียบ ตวาดว่า “เจ้าเป็นคนหนานฉู่หรือคนต้ายงกันแน่”
ซั่งอวี๋หัวใจสั่นไหว แต่เชิดหน้าตอบว่า “ผู้แซ่ซ่งเกิดที่หนานฉู่ เติบโตที่หนานฉู่”
ลู่ช่านกลับมองทะลุความนัยในถ้อยคำของเขา ยิ้มหยันกล่าวว่า “แต่เจ้ามิเห็นตนเองเป็นคนหนานฉู่ แต่นั่นก็ถูกแล้ว หากมิใช่เช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงขัดขวางเจตนาดีของผู้แซ่ลู่ที่จะไปยุติการต่อสู้”
ซ่งอวี๋หักใจเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ไปยามนี้คงยากหนีพ้นกลอุบาย แต่หากอยู่ที่นี่ เกิดฝั่งผู้ที่มาชนะ แม่ทัพใหญ่ก็ยังมีโอกาสรอด ไฉนมิใช่สองฝ่ายต่างสมประสงค์ ไยต้องรนหาที่ตาย” กล่าวจบพัดก็เข้าจู่โจม
ลู่ช่านมิสันทัดวิชาต่อสู้ในยุทธภพเช่นนี้จึงถูกซ่งอวี๋รั้งไว้มิอาจผละตัวจากไปได้ ในใจบังเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บ พอคิดขึ้นมาว่าแม้ตนยอมสละชีวิตก็ยังมิอาจเลี่ยงความวุ่นวายภายใน ฝ่ามือก็พลันกำเป็นหมัดคิดจะสู้แลกชีวิต
ห่างออกไปหลายสิบจั้ง โอวหยวนหนิงยืนอยู่กลางหิมะ สองมือกำหมัด ประจันหน้าอยู่กับคนผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีขาว คาดผ้าปิดหน้านั่งไล้สายพิณอยู่อย่างสง่างาม ดวงตาของเขาแทบปริแยก ครู่หนึ่งก่อนหน้านี้การจู่โจมเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โอวหยวนหนิงทำได้เพียงเบิ่งตามองคนผู้นี้บุกทะลวงฝ่าผ่านคนมากมายเข้ามาดั่งผ่าปล้องไผ่ โชคดีที่คนผู้นี้ท่าทางจะเคลื่อนไหวเพียงคนเดียว มีเขาฝ่าเข้ามาในเรือนตระกูลเฉียวเพียงลำพัง
โอวหยวนหนิงให้ทุกคนคอยคุ้มกันไว้ ส่วนตนเองไล่ตามมา ไหนเลยจะคิดว่าคนผู้นั้นกลับอำมหิตถึงเพียงนี้ องครักษ์สิบกว่าคนที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าด้านในจวนถูกคนผู้นี้ปลิดชีวิตอย่างง่ายดาย สิ่งที่น่าชังยิ่งกว่าก็คือคนผู้นี้กลับมานั่งบรรเลงพิณกลางหิมะ เสียงพิณประดุจดาบคมกริบ แต่ละท่วงทำนองเหมือนกำลังเชือดเฉือนหัวใจของตน ในหมู่ซากศพที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นมีลูกศิษย์สองคนของเขาอยู่ด้วย พวกเขากำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น แต่ยามนี้กลับมาตายอนาถต่อหน้าเขา
โอวหยวนหนิงอยากจะลงมืออยู่หลายหน ทว่าทั้งที่บุรุษชุดขาวผู้นี้นั่งบรรเลงพิณอยู่กลางหิมะโดยไร้การป้องกันอย่างสิ้นเชิงแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกว่ารอบร่างของคนผู้นี้ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ตนเองมิมั่นใจสักนิด ในใจจึงเคียดแค้นนัก
โอวหยวนหนิงขบคิดว่าคนผู้นี้คือผู้ใดกันแน่ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจียงหนานมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ ในขณะเดียวกันก็คอยมองหาโอกาสลงมือไปด้วย ในใจกลัดกลุ้มมากขึ้นทุกที ทันใดนั้นสายตาพลันทอประกายวูบหนึ่ง เพิ่งรู้สึกตัวว่าเกล็ดหิมะในบริเวณหนึ่งจั้งกว่ารอบตัวกำลังร่อนระบำไปตามเสียงพิณ แตกต่างจากเกล็ดหิมะที่โปรยปรายห่างออกไปหลายจั้งอย่างสิ้นเชิง
เขาเข้าใจขึ้นมาทันใด เสียงพิณของคนผู้นี้สานเป็นตาข่ายกักขังเขาเอาไว้ หากตนเองยังไม่ลงมืออีกคงมีแต่ความตายรออยู่