ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 11 ธารารินไหล บุปผาร่วงโรย (3)
เขาฟังฮั่วฉงเอ่ยต่อว่า “คนบางคนถือว่าการละทิ้งอำนาจลาภยศเป็นสิ่งน่าเชิดชู คนบางคนฐานะต่ำต้อย เป็นสามัญชนแต่ถือดีดูแคลนท่านอ๋องท่านโหว ท่านอาจารย์กลับมิคิดเช่นนั้น เขามักกล่าวว่าอำนาจลาภยศมิใช่เพียงอำนาจและและความสุขสำราญ แต่เป็นความรับผิดชอบที่มิอาจปัดอย่างหนึ่งด้วย
ในเมื่อมือกุมอำนาจมากมายก็สมควรทำหน้าที่ให้เต็มที่ ไม่ผิดต่อสวรรค์ที่โปรดปราน หากเกิดมายากจน ต้องทำงานต่ำต้อย ก็มิควรคิดว่าเป็นความอัปยศ สมควรอยู่ให้เป็นสุข ขอเพียงมิมีสิ่งใดละอายใจ ก็ถือว่ามิผิดต่อการมีชีวิตอยู่แล้ว”
จิตใจของลู่อวิ๋นพลันสั่นไหว บุคคลเช่นไรจึงจะกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาได้ คนเช่นนี้จะขายชาติเพื่อลาภยศ ทำผิดต่อเจ้าแผ่นดินได้เช่นไร ภายในโถงบุปผาเงียบสงัด แม้แต่หลี่หลินก็ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ฮั่วฉงเอ่ย
เวลานี้เอง นอกประตูก็มีเสียงดรุณีใสกระจ่างรื่นหูเอ่ยขึ้นว่า “พี่ฮั่ว น้องหลิน ข้ามาแล้ว น้องหลิน ได้ยินว่าเจ้าพาอวิ๋นลู่มาด้วยหรือ อวิ๋นลู่ น้องหลินมิได้บังคับเจ้ากระมัง”
คล้อยหลังเสียงพูด ลู่อวิ๋นพลันรู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างไสว ดรุณีน้อยสวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนนางหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ผิวขาวผ่องประหนึ่งไขเทียน ดวงหน้างามพริ้มเพรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาดำขลับสุกใสคู่นั้นมักกลอกกลิ้งไปมาไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกว่าดรุณีน้อยผู้นี้น่ารักซุกซน นางมิได้ประทินโฉมมากเกินไป เกล้าผมประดับรัดเกล้าทองเพียงวงเดียว รัดเกล้าทองวงนั้นคล้ายกิ่งบุปผาโอบล้อม ตรงรอยต่อแกะสลักเป็นดอกเหมยเหมันต์ที่กำลังออกดอกตูมใกล้บานหนึ่งดอก รูปโฉมเช่นนี้ แม้อายุเยาว์วัยแต่ก็คล้ายเทพเซียนในหมู่มนุษย์
ลู่อวิ๋นหัวใจหวั่นไหว ได้เห็นท่านหญิงเจาหวาสวมอาภรณ์สตรีเป็นหนแรก เขารู้สึกว่าจิตใจสับสนปั่นป่วน ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเสียดายและเศร้าใจอยู่เลือนราง ชั่วขณะนั้นอารมณ์จึงหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
ฮั่วฉงกับหลี่หลินกลับเห็นรูปโฉมงดงามของโหรวหลันบ่อยจนชินแล้ว หลี่หลินบ่นว่า “เหตุไฉนมิเชื่อใจข้าบ้าง ข้าเป็นคนชั่วที่จะบีบบังคับผู้อื่นเสียที่ไหน อวิ๋นลู่ยินดีอยู่ข้างกายข้าด้วยตนเองต่างหาก”
นัยน์ตาสุกใสของโหรวหลันเคลื่อนมามอง ถามว่า “อวิ๋นลู่ เป็นเช่นนั้นหรือ”
ยามนี้ลู่อวิ๋นสติกลับมาแจ่มชัดแล้ว จึงค้อมกายตอบว่า “จวิ้นอ๋องชื่นชมผู้น้อย ผู้น้อยจึงยินยอมอยู่ข้างกายจวิ้นอ๋องเองจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
โหรวหลันยิ้มหวาน เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี พี่ฮั่ว วันนี้หายากที่ท่านพ่อจะไม่อยู่ พวกเรากินอาหารเช้าเสร็จแล้วไปเล่นด้วยกันดีหรือไม่”
หลี่หลินกล่าวอย่างดีใจ “ดีสิ วันนี้รัชทายาทมิได้เรียกข้าไปหา พวกเราออกไปเที่ยวชมวสันต์กันได้พอดี”
ฮั่วฉงยิ้ม “เที่ยวชมวสันต์ไปยามใดก็ได้ แต่ท่านอาจารย์มิอยู่ มิสู้เล่นสนุกอยู่ภายในจวนไยมิใช่ดีกว่า”
หลี่หลินกับโหรวหลันฟังแล้วก็ล้วนพยักหน้าหงึกหงัก โหรวหลันเสนอขึ้นว่า “ยังเป็นพี่ฮั่วที่ฉลาดเฉลียว พวกเราไปศาลาหลินปัวกันเถิด แม้ยามนี้จะไร้หิมะ แต่ศาลาหลินปัวชมบุปผาได้ดียิ่งเช่นกัน จวนชั้นในอวิ๋นลู่คงเข้าไปไม่สะดวก”
ฮั่วฉงพยักหน้าตอบว่า “ศาลาหลินปัวดียิ่ง บางทีพวกเจ้าอาจไม่รู้ ตอนนั้นท่านอาจารย์ก็ชมหิมะร่ายบทกวีคว่ำที่ปรึกษาทั้งหมดของจวนยงอ๋องที่ศาลาหลินปัวนี่ละ ประเดี๋ยวไปถึงที่นั่น ข้าจะคัดลอกบทกวีที่ท่านอาจารย์กับพวกเขาร่ายในวันนั้นมาให้พวกเจ้าอ่าน”
แม้โหรวหลันกับหลี่หลินจะอายุน้อยรักเล่น แต่มิใช่ไร้ความรู้เกี่ยวกับกาพย์กลอนบทกวี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องในอดีตของเจียงเจ๋อ ในเมื่อฮั่วฉงจะขับบทกวีให้พวกเขาฟัง ย่อมต้องเล่าเรื่องในวันวานด้วยแน่
เรื่องเหล่านี้เจียงเจ๋อมิเคยเล่าให้พวกเขาฟัง แต่กลับมิเคยปิดบังฮั่วฉง มีโอกาสได้ทราบเรื่องในอดีตของเจียงเจ๋อ ทั้งสองคนล้วนพยักหน้าระรัว แม้แต่ลู่อวิ๋นเองก็ปรารถนาจะฟังด้วย เวลานี้ความเคียดแค้นที่เขามีต่อเจียงเจ๋อลดทอนลงมากอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว จึงยิ่งอยากทราบเรื่องราวของเขา ถึงอย่างไรที่หนานฉู่ ผู้คนทั้งหลายก็เอาแต่ก่นด่าสาปแช่ง เอ่ยถึงเรื่องราวของเจียงเจ๋อน้อยนัก
ทั้งสี่คนรับประทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจูงมือกันมายังศาลาหลินปัว ฮั่วฉงคัดลอกบทกวีเหล่านั้นมาเล่าให้เด็กน้อยทั้งสามคนฟัง แล้วยังเล่าเรื่องในวันวานให้ทั้งสามคนฟังด้วย ขณะที่กำลังเล่าถึงตอนสนุก ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่า “จวิ้นอ๋อง องค์รัชทายาทเรียกท่านเข้าวังด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
โหรวหลันกับหลี่หลินทำหน้าหมดสนุกทันใด หลี่หลินตอบอย่างจนปัญญา “ดูท่าวันนี้คงล่มกลางคันเสียแล้ว อวิ๋นลู่ตามข้าเข้าวังมิได้ พี่ฮั่ว ให้เขาตามท่านไปก่อนก็แล้วกัน รอตอนค่ำข้ากลับมาแล้วท่านค่อยเล่าต่อดีหรือไม่”
ฮั่วฉงยิ้ม “เจ้าไปเถิด มิแน่ว่ารัชทายาทอาจมีเรื่องเร่งด่วนอันใด พวกข้ารอเจ้ากลับมาแล้วค่อยเล่าต่อ อย่างไรเสียกว่าจะท่านอาจารย์จะกลับมาก็วันมะรืนนี้”
เมื่อส่งหลี่หลินจากไปแล้ว โหรวหลันก็นั่งซึมกะทืออยู่ริมศาลา เหม่อมองน้ำในทะเลสาบ ส่วนฮั่วฉงหยิบกระดานหมากออกมาวางหมากตามบันทึกการเล่นหมาก บรรยากาศภายในศาลาอึมครึมอยู่บ้าง ลู่อวิ๋นอยากจะขอตัวออกไปแต่ก็ตัดใจไม่ลงอยู่เล็กน้อย
ฮั่วฉงเห็นลู่อวิ๋นทำหน้าเบื่อหน่ายจึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “จวิ้นอ๋องอยู่ที่นี่เสมือนบ้านตนเองเสียแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเกร็ง ความจริงเจ้ายังอายุน้อย สมควรจะอ่านหนังสือให้มากสักหน่อยจึงจะดี ตำราพิชัยสงคราม เจ้าเคยอ่านหรือไม่”
ลู่อวิ๋นคิดในใจว่า หากข้าตอบว่าเคยอ่านแล้วก็ออกจะมิสมกับประวัติความเป็นมาอยู่บ้าง จึงตอบว่า “มิเคยอ่านขอรับ”
ฮั่วฉงจึงบอกว่า “ในเมื่อเจ้าติดตามจวิ้นอ๋อง วันหน้าคงยากจะหลีกเลี่ยงการทำศึกบนสนามรบ หากอยากเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง ตำราพิชัยสงครามมิอ่านมิได้ เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะกลับไปหยิบหนังสือสักเล่มมาให้เจ้าอ่าน” กล่าวจบก็หมุนตัวจากไป ในศาลาจึงเหลือเพียงโหรวหลันกับลู่อวิ๋นสองคน หญิงรับใช้กับองครักษ์ใกล้ๆ ถูกฮั่วฉงไล่ออกไปก่อนแล้ว ในศาลาเงียบสงัด
ลู่อวิ๋นมองแผ่นหลังของโหรวหลัน ทันใดนั้นในใจก็เกิดความคิดชั่วร้าย นี่ย่อมเป็นโอกาสดีหนหนึ่ง ตนมีโอกาสเอาชีวิตบุตรสาวแสนรักของเจียงเจ๋อ เจียงเจ๋อทำให้บิดาของตนเป็นทุกข์ยิ่งนัก หากตนสังหารโหรวหลันเสีย เจียงเจ๋อจักต้องเจ็บปวดจนมิอยากมีชีวิตอยู่เป็นแน่ แทนที่จะรอโอกาสลอบสังหารที่อาจจะมิมีวันปรากฏ ดรุณีน้อยตรงหน้าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ลู่อวิ๋นเงยหน้ามองเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คน ในที่สุดก็สะกดกลั้นจิตสังหารในหัวใจมิได้ ความเคียดแค้นในหัวใจกับความอัปยศที่มิอาจเป็นนายตนเองในช่วงหลายวันที่ผ่านมาขับไล่ความรักที่ก่อตัวเลือนรางในหัวใจเขา หากมิมีสิ่งใดควบคุม แม้แต่คนที่จิตใจดีงามที่สุดก็บังเกิดความคิดชั่วร้ายได้เช่นกัน
เขายืนอยู่ด้านหลังโหรวหลัน ชักมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ด้านในรองเท้าออกมาอย่างแผ่วเบา หมายจะแทงลงไปกลางแผ่นหลังของโหรวหลัน เพียงหนึ่งมีดก็เอาชีวิตของดรุณีน้อยผู้นี้ได้แล้ว หลังจากนั้นเขาก็จะรอฮั่วฉงกลับมา จากนั้นลอบจู่โจมสังหารเขา
ฮั่วฉงดูไปแล้วมิเป็นวรยุทธ์ โหรวหลันเองก็มิฉลาด ตนเองน่าจะทำสำเร็จ ต่อจากนั้นก็อาศัยฐานะองครักษ์ของจยาจวิ้นอ๋องออกจากที่นี่ ขอเพียงเขาจัดการให้ดี จนกระทั่งเขาออกจากเมืองหลวงแล้วก็คงยังมิมีผู้ใดพบศพ
ทว่าเมื่อเขายืนอยู่ด้านหลังของโหรวหลัน แผ่นหลังเล็กบอบบางของดรุณีน้อยก็ทำให้เขาใจอ่อน หนึ่งมีดนี้มิอาจแทงลงไป ผู้ที่ตนแค้นคือเจียงเจ๋อ เกี่ยวอันใดกับดรุณีน้อยผู้นี้เล่า ฮั่วฉงดีต่อตนเองทีเดียว ตนเองจะเอาความแค้นตอบแทนบุญคุณได้เช่นไร
ในขณะที่จิตใจของลู่อวิ๋นลังเลตัดสินใจมิได้นั่นเอง โหรวหลันก็มิรู้เป็นอย่างไรจึงเสียหลัก ร้องตกใจคำหนึ่งแล้วพลัดร่วงลงไปในน้ำ ลู่อวิ๋นนิ่งงันเพียงครู่ก็เห็นโหรวหลันตกลงไปในสระน้ำแล้ว นางร้องให้ช่วยพลางยื่นมือตะเกียกตะกาย เสียงของนางลอยออกไปไกลนัก ลู่อวิ๋นเห็นเงาคนเคลื่อนไหวจากไกลๆ คิดว่าพวกองครักษ์คงได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของโหรวหลันแล้ว และคงกำลังรีบเร่งมาทางด้านนี้
เห็นดรุณีน้อยดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในน้ำ จิตใจของเขาก็พลันสั่นไหว กระโดดลงไปในน้ำพร้อมทั้งเสื้อผ้า เพียงพริบตาเดียวก็โอบโหรวหลันลากขึ้นมาได้ เวลานี้องครักษ์ทั้งหลายทยอยรีบเร่งมาถึงแล้ว ลู่อวิ๋นช่วยโหรวหลันให้อาเจียนน้ำในท้องออกมาอย่างชำนิชำนาญ โหรวหลันได้สติก็กอดฮั่วฉงที่เพิ่งมาถึงแล้วร้องไห้โห ฮั่วฉงขอบคุณลู่อวิ๋นจากนั้นรีบอุ้มโหรวหลันเดินเข้าไปยังจวนชั้นใน
ลู่อวิ๋นเห็นใบหน้าซีดเผือดของโหรวหลับกับเสื้อผ้าที่เละเทะ ในใจก็รู้สึกบอกมิถูก สาเหตุที่เขาช่วยโหรวหลันมิใช่เพื่อปิดบังหูตาผู้คน ยามที่เขากระโดดลงไปในน้ำ เขามินึกเสียใจสักเศษเสี้ยว ยามสายตาเลื่อนไปจับรัดเกล้าทองสำหรับมัดผมที่ร่วงตกอยู่บนพื้น ดวงใจของลู่อวิ๋นยิ่งสับสน
แน่นอนเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าหลังจากฮั่วฉงอุ้มโหรวหลันเข้าไปยังจวนชั้นใน ส่งนางกลับมาถึงห้องนอน ขณะที่กำลังจะให้หญิงรับใช้มาปรนนิบัติ โหรวหลันก็ดึงแขนเสื้อของเขาไว้แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พี่ฮั่ว ท่านเล่นอะไรกันแน่ ลู่อวิ๋นคนนี้เป็นอะไร เหตุใดเขาต้องการจะลอบสังหารข้า”
ฮั่วฉงถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เขาคิดจะสังหารเจ้าหรือ”
โหรวหลันตอบอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าเห็นจากเงาสะท้อนในน้ำอย่างชัดเจน เขาคิดจะใช้มีดสั้นลอบสังหารข้าจากด้านหลัง ข้าทราบว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาดังนั้นจึงแสร้งพลัดตกลงไปในน้ำ เช่นนี้เขาจึงจะลงมือมิสะดวก ส่วนข้าก็ตะโกนขอความช่วยเหลือได้
ท่านอย่าบอกเชียวว่าท่านมิรู้เห็นด้วย พี่จวิ้นจะกลับคำให้คนมาเรียกน้องหลินเข้าวังได้เช่นไร ข้ามิเชื่อหรอกว่าเวลานี้จะมีเรื่องใหญ่อันใดเกี่ยวพันกับน้องหลิน จักต้องเป็นท่านใช้อุบายอะไร จงใจส่งน้องหลินจากไปแน่ แล้วท่านจะปล่อยเขากับข้าให้อยู่กันตามลำพังที่ศาลาหลินปัวได้เช่นไร แม้แต่องครักษ์สักคนก็ไม่ทิ้งไว้ นี่มิใช่สิ่งที่ท่านจะทำ
จุดสำคัญที่สุดก็คือผู้ใดให้หญิงรับใช้แจ้งข้าว่าวันนี้ให้ข้าสวมอาภรณ์ไหมทองไว้ด้านใน ท่านมีสิ่งใดปิดบังข้าอยู่ อวิ๋นลู่ผู้นั้นเป็นสายลับของหนานฉู่ใช่หรือไม่ หากมิใช่ข้ากังวลว่าเขาลอบสังหารมิสำเร็จแล้วจะเผยพิรุธจนทำลายแผนการของท่าน ข้าไยต้องเสแสร้งตกน้ำด้วย อย่างไรมีดสั้นของเขาก็มิมีทางแทงทะลุอาภรณ์ไหมทองได้อยู่แล้ว”
ฮั่วฉงยิ้มละไมตอบว่า “เรื่องนี้เจ้าอย่าถามเลย นี่เป็นความตั้งใจของท่านอาจารย์ ความจริงข้าดูแล้วอวิ๋นลู่ก็คงทำใจเหี้ยมลงมือมิได้หรอก อีกอย่างหนึ่ง ในที่ลับก็มีองครักษ์ปกป้องเจ้าอยู่ มิมีทางปล่อยให้เขาทำสำเร็จเป็นแน่ เรื่องในวันนี้เจ้าจงอย่าได้พูดออกไป”
โหรวหลันนิ่งอึ้ง พี่ฮั่วในยามนี้ สีหน้าบนใบหน้าละม้ายคล้ายหน้าตายามบิดากลั่นแกล้งตนเองยิ่งนัก นางตัวสั่นระริก รู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มผู้ต้องการจะทำร้ายตนเองเมื่อครู่จากใจจริง