ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 110 น้ำตาหลั่งรินเป็นสายเลือด (5)
แม่ทัพและเหล่าทหารทั้งหลายอาจใช้อารมณ์สะสางบุญคุณความแค้นได้ แต่หยางซิ่วมิอาจตัดสินใจได้ง่ายดายเช่นนั้น หากเจียงเจ๋อเดินทางมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณจริงๆ ไม่ว่าจะคิดตามหลักเหตุผลหรือหลักน้ำใจไมตรีก็มิอาจทำร้ายทูตของต้ายงที่มาร่วมพิธีไว้อาลัย แต่หากปล่อยให้เจียงเจ๋อเข้ามาแล้วจากไปดั่งใจ กลัวว่าความแค้นในหมู่ทหารคงจะพุ่งมารวมที่ตัวเขาแทน
แต่เดิมทหารในกองทัพก็ลอบครหาตนเรื่องที่ไม่ยกทัพไปช่วยแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว เขามีพื้นเพเป็นคนแคว้นสู่ หากไม่มีลู่ช่านสนับสนุนย่อมยากจะหยัดยืนในกองทัพ วันนี้ได้เป็นถึงแม่ทัพผู้บัญชาการกองทัพไหวตงก็เพราะบารมีที่หลงเหลืออยู่ของลู่ช่าน บวกกับตนเป็นคนดูแลกองทัพแห่งนี้มาหลายปี หากทำให้เหล่าทหารสูญเสียความศรัทธา เกรงว่าซั่งเหวยจวินไม่ต้องลงมือ ตนเองก็คงมิอาจคุมกองทัพไหวตงได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพต้ายงรวมพลอยู่ที่ชายฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำไหวสุ่ยเพราะเหตุใด ไม่จำเป็นต้องถามก็ทราบ หากเจียงเจ๋อจบชีวิตที่ก่วงหลิง กองทัพต้ายงต้องข้ามน้ำมาเปิดศึกอย่างแน่นอน ตอนนี้มิใช่จังหวะที่ดีในการเปิดศึกใหญ่กับกองทัพต้ายง ด้วยเหตุนี้หลังจากครุ่นคิดหลายตลบ หยางซิ่วจึงปฏิเสธคำร้องขอเดินทางมาร่วมพิธีไว้อาลัยของเจียงเจ๋ออย่างอ้อมๆ
แต่ผู้ส่งสารหนุ่มคนนี้กลับทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ยว่า “ที่ปรึกษาหยาง แม้แคว้นของท่านกับข้าจะเป็นอริกัน แต่ผู้กล้าและขุนนางภักดีล้วนเป็นที่เคารพอย่างทั่วกัน แม่ทัพใหญ่ลู่กับฉู่เซียงโหวเคยคบหากันมาแต่เยาว์วัย นับถือกันเป็นศิษย์อาจารย์ ผูกพันกันดุจพี่น้อง แม้โชคร้ายต้องแยกย้ายกันไปกลางทาง ต่างคนต่างทำเพื่อนายของตนจนต้องพบหน้ากันบนสนามรบ แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ส่วนตัวมิได้กระทบงานส่วนรวม ก็ขอให้ท่านแม่ทัพอย่าได้ปฏิเสธความจริงใจของฉู่เซียงโหว คิดว่าต่อให้แม่ทัพใหญ่ในปรโลกทราบก็คงยินดีที่ได้เห็นท่านโหวเดินทางมาร่วมไว้อาลัยด้วยตนเอง คนมอดม้วยดุจโคมมอดสิ้น แม่ทัพใหญ่เองก็คงไม่คิดแค้นอาจารย์ผู้มีพระคุณในวันวาน”
หยางซิ่วครุ่นคิดหลายตลบ ในที่สุดก็ถอนหายใจ “ในเมื่อเจียงโหวตั้งใจเช่นนี้ หากข้ายืนกรานปฏิเสธ กลับจะทำให้คนทั่วทั้งใต้หล้าคิดว่าเหล่าแม่ทัพและทหารหนานฉู่ของข้าจิตใจคับแคบ แต่ข้ามิสู้บอกกล่าวตามตรง หากเจียงโหวเอาตัวมาเสี่ยงที่นี่ จะมีผลลัพธ์ตามมาเช่นไร ผู้แซ่หยางก็มิกล้ารับปาก แต่ผู้แซ่หยางจะพยายามห้ามปรามบรรดาทหารทัพไหวตงที่คิดจะแก้แค้นอย่างสุดความสามารถ”
ผู้ส่งสารหนุ่มคนนั้นตอบด้วยท่าทางหนักแน่น “คนต้ายงของข้าเชื่อว่าทหารหาญแห่งหนานฉู่จะมิพานนำโทสะมาลงกับท่านโหวของพวกเรา หากมีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้นก็คงมิเกี่ยวข้องกับท่านแม่ทัพ แต่ยามนี้รัชทายาทแห่งต้ายงของข้าอยู่ในกองทัพฉู่โจวด้วย องค์ชายมีคำสั่งว่าหากท่านโหวเกิดเป็นอันใดไปขึ้นมา เขาคงต้องเอาเลือดล้างไหวตงจึงจะมีคำอธิบายมอบให้ฝ่าบาท ขอที่ปรึกษาหยางจดจำเรื่องนี้ไว้ อย่ารอให้การสู้รบบังเกิด แล้วหาว่ากองทัพของเราเข่นฆ่าโดยมิกล่าวเตือน”
ดวงตาของหยางซิ่วฉายแววเหี้ยมเกรียม ตอบเสียงเย็นชา “ท่านผู้ส่งสารกำลังข่มขู่ผู้แซ่หยางหรือ”
ผู้ส่งสารหนุ่มผู้นั้นตอบกลับอย่างนิ่งสงบ “ต่อให้ข้ามิกล่าวให้ชัด ท่านแม่ทัพจะคิดไม่ออกเชียวหรือว่ากองทัพเรารวบรวมไพร่พลมายังเมืองซื่อโจวด้วยเหตุใด ต้ายงของพวกเราทำการใดล้วนสง่าผ่าเผย ด้วยเหตุนี้รัชทายาทจึงให้ข้าบอกกล่าวเรื่องนี้กับท่านที่ปรึกษาให้รู้แจ้ง มิได้มีเจตนาจะข่มขู่แต่อย่างใด สงครามระหว่างพวกเราสองแคว้น ดำเนินมาถึงขั้นไม่ตายก็ไม่เลิกราแล้ว ต่อให้วันนี้มิเปิดศึก วันหน้าก็ต้องเปิดศึกอยู่ดี รัชทายาทไม่คิดว่าการวบรวมไพร่พลมายังแม่น้ำไหวสุ่ยจะข่มขู่ท่านแม่ทัพได้”
หยางซิ่วฟังจบ ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “รัชทายาทแห่งต้ายงช่างดีจริงๆ ได้ยินมานานแล้วว่ารัชทายาทของแคว้นท่านจิตใจดีงามกตัญญูตั้งแต่เล็ก คิดไม่ถึงว่าพอได้รับผิดชอบงานกลับเด็ดขาดเช่นนี้ ดี ผู้แซ่หยางจะรอฉู่เซียงโหวเดินทางมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ แต่มิรับประกันความปลอดภัยของเขา”
ผู้ส่งสารคนนั้นกลับไม่มีสีหน้าโกรธเคือง เพียงคำนับแล้วขอตัวลา หยางซิ่วเรียกเขาไว้ สายตาจับจ้องบนร่างผู้ส่งสารหนุ่มที่ดูธรรมดาสามัญคนนี้ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ยังมิทันถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้ส่งสารเลย”
ผู้ส่งสารคนนั้นยังคงสีหน้าเรียบเฉย ตอบว่า “ผู้น้อยนามว่าฮั่วฉง”
หยางซิ่วแววตาเย็นเยียบ ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้ก็เจ้าเอง ดี ส่งแขก”
พอฮั่วฉงเดินออกไปจากกระโจมหลังใหญ่ เหวยอิงก็เดินออกมาจากด้านในของกระโจม แม้เวลาจะผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน แต่หน้าตาของเหวยอิงกลับซูบเซียวขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากลู่ช่านตาย ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน จอนผมสองข้างของเขาก็มีด่างดวงสีขาวปรากฏขึ้นเต็มไปหมด สิ่งนี้ทำให้เหวยอิงผู้เดิมทีชำนาญในการดูแลรูปลักษณ์ของตนเองอย่างยิ่งเหมือนแก่ชราขึ้นมาอีกหลายปี เขาเอ่ยพร้อมแววตาเย็นยะเยือก “ที่ปรึกษาหยาง ท่านอยากจะแก้แค้นให้แม่ทัพใหญ่หรือไม่”
หยางซิ่วทราบความต้องการของเขาจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ลูกผู้ชายต่อให้อยากแก้แค้นก็มิอาจใช้วิธีการเช่นนั้น”
เหวยอิงหัวเราะหยัน “ท่านคิดว่าคนผู้นั้นตั้งใจเดินทางมาไว้อาลัยจริงๆ หรือ น่ากลัวว่าพอเขาจากไป ซั่งเหวยจวินก็คงลงมือ ท่านไม่กลัวซั่งเหวยจวินใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างสร้างความลำบากให้ท่านหรือ”
หยางซิ่วตอบอย่างสุขุม “สองทัพทำศึกยังมิสังหารทูต นับประสาอะไรกับทูตที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัย ข้าจะรายงานราชสำนักไปตามนี้ ราชสำนักของพวกเราให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียม คิดว่าอัครมหาเสนาบดีซั่งคงมิอาจใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างได้ พี่เหวย ความตั้งใจทำเพื่อแม่ทัพใหญ่ของท่าน ข้าซาบซึ้งใจ แต่หนนี้คงมิอาจปล่อยให้ท่านลงมือได้”
เหวยอิงฟังความนัยที่แฝงในถ้อยคำของหยางซิ่วออก เขากำลังคลางแคลงว่าตนต้องการชำระแค้นส่วนตัว แม้เขาคิดจะฉวยโอกาสชำระแค้นของตัวเองอยู่บ้างก็จริง แต่ใจจริงต้องการชำระแค้นแทนลู่ช่านผู้ถูกเจียงเจ๋อใส่ร้ายจนถึงที่ตายมากกว่า ทว่าพอมองสีหน้าเฉยเมยของหยางซิ่ว เขาก็มิเอ่ยคำใดอีก หมุนตัวออกจากกระโจมไปอย่างหม่นหมอง ในใจคิดว่า บนโลกใบนี้คงมีเพียงแม่ทัพใหญ่ผู้เดียวที่กล้าเชื่อใจข้า วันนี้เขาตายจากไปแล้ว กองทัพหนานฉู่คงมิใช่ที่ของข้าอีกต่อไป
เพิ่งเดินออกจากกระโจมใหญ่มาไม่ไกล ลี่หมิงก็ผลุนผลันเดินเข้ามาหา ดวงตาเต็มไปด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ เหวยอิงเห็นเขาทำหน้าแปลกนักก็อยากจะถาม แต่เขากลับเดินมาประชิดเหวยอิงแล้วกระซิบเสียงเบารายงานเสียก่อน ดวงตาของเหวยอิงฉายแววไม่อยากจะเชื่อออกมาวูบหนึ่ง
ลี่หมิงเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาต่อว่า “ชุยเสียงส่งข่าวมาแจ้งว่าเจ้าสำนักตกลงจะลงมือจัดการตระกูลลู่แล้ว นางส่งสารมาเรียกท่านเจ้าตำหนักกลับ เจ้าสำนักรับปากว่าจะมิถือสาเรื่องในอดีตอีก”
แววตาของเหวยอิงเคร่งขรึม ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “รอข้าพบเจียงเจ๋อแล้ว พวกเราจะเดินทางกลับ” กล่าวจบก็หัวเราะหยัน เอ่ยขึ้นว่า “วิฬาร์ร่ำไห้แด่มุสิก ละครน่าสนุกฉากนี้จะไม่ดูได้อย่างไร”
วันต่อมารถม้าที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัยของฝั่งต้ายงก็ล่องข้ามแม่น้ำไหวสุ่ย คนทั้งขบวนล้วนสวมอาภรณ์สีขาว เดินทางมาถึงค่ายใหญ่ก่วงหลิงท่ามกลางสายตาจับจ้องมาดร้ายของเหล่าทหารแห่งหนานฉู่
ข้านั่งอยู่บนรถม้า ครุ่นคิดเรื่องที่อยู่ในใจเงียบๆ คนที่ติดตามมาในหนนี้นอกจากเสี่ยวซุ่นจื่อกับฮูเหยียนโซ่วแล้ว ก็ยังมีราชองครักษ์หู่จีทั้งกองที่ติดตามมาด้วยมิขาดแม้แต่คนเดียว แต่เดิมข้ามิต้องการพาพวกเขามาด้วย ทหารกล้าฝีมือฉกาจมากมายถึงเพียงนี้จะมิดูเป็นการท้าทายหรืออย่างไร น่าเสียดายพวกเขาดันบอกว่าหากปกป้องข้ามิได้ ย่อมขัดพระบัญชาของฝ่าบาท ข้าจึงได้แต่ยอม
นอกจากนี้ฮั่วฉงกับตู้หลิงเฟิงก็ติดตามมาด้วย เมื่อวานฮั่วฉงอาสาเป็นผู้ส่งสารด้วยตนเองยังมิเท่าไร แต่หนนี้กลับจะตามมาด้วยกันกับข้าอีก เอาเถอะ หากเจ้าเด็กคนนี้มิกลัวตายก็ปล่อยเขาตามมาเถิด ส่วนตู้หลิงเฟิง ข้าเห็นว่าท่าทางเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มยามเขาอยู่ต่อหน้าข้าช่างน่าขันยิ่งนัก ตอนแรกจึงลองเปรยๆ ดู ไม่คิดจะให้เขาตามมาด้วยจริงๆ ผู้ใดจะคาดคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ดันกัดฟันบอกจะตามมาด้วย คิดดูแล้วก็ขบขันยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเสี่ยวซุ่นจื่อเกลี้ยกล่อมหลี่จวิ้นกับเผยอวิ๋นอีท่าไหน ตอนแรกข้ากังวลว่าอาจจะต้องให้เสี่ยวซุ่นจื่อแบกข้าขึ้นหลังแอบเดินทางมาก่วงหลิงเสียด้วยซ้ำ
รถม้าจอดนิ่ง เสี่ยวซุ่นจื่อที่อยู่ด้านนอกเชิญข้าลงจากรถม้า ข้าบิดขี้เกียจหนึ่งหน การเดินทางหนนี้ช่างทรมานคนเสียจริง ถนนหนทางมิสะดวกอย่างยิ่ง การทำศึกสงครามติดกันมาหลายปีทำให้เส้นทางเสียหาย หลังจากได้ไหวตงมาแล้วสมควรซ่อมแซมปรับปรุงถนนสักหน่อย
ข้าก้าวลงมาจากรถม้าแล้วสัมผัสได้ถึงแสงตะวันที่ค่อนข้างจะร้อนแรงด้านนอก ข้าอดหรี่ตาไม่ได้ เบื้องหน้าเห็นชุดไว้อาลัยสีขาวเป็นแถบ มิว่าจะหิมะที่กองทับถมอยู่บนพื้น หรือว่าดาบที่อยู่ในมือทหารหนานฉู่ล้วนสะท้อนแสงวาววับ ทำให้ข้าลืมตาแทบไม่ขึ้น
ฮั่วฉงยืนขนาบข้างกายข้า เขากระตุกแขนเสื้อข้าเบาๆ แล้วก้าวออกมาแนะนำ “อาจารย์ ท่านนี้คือที่ปรึกษาหยาง ใต้เท้าหยาง”
ข้ามองหยางซิ่วแวบหนึ่ง ข้ายังจำคนผู้นี้ได้ จึงก้าวเข้าไปคำนับเอ่ยว่า “ที่ปรึกษาหยาง มิพบกันหลายปี ยังคงสง่างามเฉกเช่นเดิม มิทราบว่ายังจำผู้แซ่เจียงได้หรือไม่”
หยางซิ่วจับจ้องเจียงเจ๋ออยู่เนิ่นนาน หนก่อนที่พบกันเจียงเจ๋อเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บหนัก สีหน้าจึงซูบเซียว ไร้สง่าราศี ความจริงยามนั้นเขามองมิออกว่าคนผู้นี้น่าอัศจรรย์ตรงที่ใด ผ่านไปสิบกว่าปีมิพบหน้าจนหนนี้ได้พานพบ สีหน้าสงบนิ่ง แววตาล้ำลึกกับเส้นผมสีเทาจอนผมสีขาวของคนผู้นี้ทำให้หยางซิ่วรู้สึกว่ากาลเวลาที่ผันผ่านทำให้คนผู้นี้ยิ่งสุขุม แต่กระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังมีความเฉื่อยชาเล็กน้อยแฝงอยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้หยางซิ่วนึกฉงนใจก็คือบนใบหน้าของเจียงเจ๋อไม่มีสีหน้าโศกเศร้าแม้แต่น้อย หยางซิ่วคิดว่ามิว่าคนผู้นี้จะเดินทางมาด้วยใจจริงหรือไม่ ใบหน้าก็สมควรแสดงสีหน้าโศกเศร้าบ้างถึงจะถูก