ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 115 หนทางลำบาก (4)
เหวยอิงมองขบวนของลู่ฮูหยินจากไกลๆ แม้ยังอยู่ห่างอีกหลายลี้ แต่เขาก็มองเห็นราวกับอยู่ตรงหน้า แม้จะเพราะความคดเคี้ยวของเส้นทางบนเขา ร่างของคนเหล่านั้นจึงเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แต่สายตาของเขากลับแทบจะมองทะลุชะโงกหินชั้นแล้วชั้นเล่าของภูผาไปจับจ้องบนร่างของลู่ฮูหยิน
เส้นทางบนยอดเขาเซียนสยาก่อสร้างมาค่อนข้างดี ผิวถนนล้วนปูด้วยหินเขียวที่รวบรวมมาจากหน้าผาจึงราบเรียบสม่ำเสมอ แต่ขุนเขาสูงชัน ห้าก้าวต้องเลี้ยวสักหน สามก้าวต้องปีนทางชัน ฝั่งหนึ่งเป็นหน้าผา อีกฝั่งเป็นโตรกธาร มิอาจขี่ม้าหรือนั่งรถม้าได้ ทำได้แต่ก้าวเดินปีนขึ้นไปเท่านั้น ต่อให้เป็นบุรุษธรรมดาก็ยังต้องลำบากกับเส้นทางเส้นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลู่ฮูหยินผู้เป็นสตรีคนนี้
พอคิดถึงจุดนี้ ความเศร้าหมองก็ผุดขึ้นมาในใจ หลังจากแม่ทัพใหญ่สิ้น ครอบครัวก็ตกต่ำถึงเพียงนี้ ความรู้สึกของเขาจะทนรับไหวได้เช่นไร เขากวาดสายตาไวๆ วูบหนึ่งก็เห็นลู่ถิงที่ทหารตระกูลลู่คนหนึ่งแบกไว้บนหลัง เมื่อนึกขึ้นมาว่าพี่ชายพี่สาวของเด็กน้อยคนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หัวใจก็เจ็บปวดเลือนราง
ขณะที่เหวยอิงกำลังจิตใจสับสนว้าวุ่น ทหารราชองครักษ์ด้านหน้าก็มาถึงตำแหน่งที่ภูมิประเทศของภูเขาค่อนข้างราบเรียบ ทหารราชองครักษ์ผู้หวาดหวั่นวิตกเหล่านั้นต่างโล่งใจ พากันหลบไปนั่งพักอยู่บนพงหญ้าสีเขียวข้างทาง บ้างนั่ง บ้างยืนพิง แต่ละคนต่างพักเอาแรง เหวยอิงเห็นสภาพเช่นนี้ก็ยิ้มหยันจางๆ
เขายืนอยู่บนที่สูงมองลงไปยังเส้นทางภูเขา ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นยังไม่รู้สึกตัวสักคน เขานึกถึงกองทัพต้ายงกับทหารหนานฉู่ใต้บัญชาของลู่ช่านที่เขาเคยพบเห็นก่อนหน้านี้ ยามเดินทัพพวกเขาเหล่านั้นเคยประมาทเช่นนี้เสียเมื่อใด
เขาล้วงผืนผ้าสีดำชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วผูกปิดบังใบหน้าไว้ เผยออกมาเพียงดวงตาสองข้าง หลังจากนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าว เลี่ยงมิให้ทหารของตระกูลลู่สังเกตเห็น ทหารในตระกูลเหล่านี้ต้องคอยสังเกตรอบด้านอยู่แน่ ไม่ให้พวกเขาเห็นเงาร่างของตนคงจะยาก
เวลานี้เอง ด้านหลังหน้าผาชันก็มีคนสวมชุดจอมยุทธ์ปิดบังใบหน้าสามสิบกว่าคนเดินออกมา พวกเขาล้วนถืออาวุธในมือ ฝีเท้าหนักแน่น หลังจากเห็นเหวยอิงก็ค้อมกายคำนับ เหวยอิงส่งสัญญาณให้พวกเขาเงียบ จากนั้นมองลงไปเบื้องล่างต่อ
ผ่านไปไม่นานใต้หน้าผาก็เริ่มมีเสียงเอะอะดังขึ้น คนทั้งหลายที่อยู่ด้านหลังมาถึงกันหมดแล้ว ต้วนเยว์เห็นว่าที่แห่งนี้เป็นที่ราบกว้างจึงออกคำสั่งให้หยุดพัก ตอนนี้เที่ยงวันแล้วจะได้พักผ่อนสักครู่พอดี พลทหารทั้งหมดรวมถึงคนทั้งหลายของตระกูลลู่ต่างหยิบเสบียงแห้งและน้ำออกมาดื่มกิน
ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นก่อนหน้านี้เคยอาศัยอยู่ในเมืองอันรุ่งเรืองอย่างเจี้ยนเย่ ไหนเลยจะเคยลำบากตรากตรำเช่นนี้ พวกเขาโอดครวญไม่หยุด คนของตระกูลลู่กลับเงียบเชียบมิเอ่ยวาจา หญิงสาวสองนางนั้นประคองลู่ฮูหยินนั่งบนหินเขียวริมทาง ทหารวัยกลางคนผู้นั้นปลดลู่ถิงลงมาจากหลัง อุ้มมาถึงข้างกายลู่ฮูหยิน
ทหารในตระกูลผู้นั้นมีนามว่าลู่คัง แต่เดิมเขาเป็นองครักษ์ข้างกายลู่ซิ่น จงรักภักดีต่อตระกูลลู่ยิ่งนัก แต่เพราะนิสัยซื่อตรง ทั้งยังมิยินดีไปจากลู่ซิ่น จึงมิเคยมีกองทัพใต้บัญชาของตนเอง หลังจากลู่ซิ่นจากไป ลู่ช่านก็เคารพเขายิ่งนัก เพราะว่าเขาอายุเกินสี่สิบปีแล้ว จึงรั้งเขาไว้บัญชาการทหารทั้งหลายภายในจวน
ปีนี้ลู่คังอายุสี่สิบหกปีแล้ว ภรรยาจากไปเมื่อปีกลาย ทั้งยังไม่มีบุตรธิดา ดังนั้นเขาจึงรักบุตรทั้งหลายของลู่ช่านเสมือนหนึ่งเลือดเนื้อของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่ถิงที่ได้รับความรักจากเขามากที่สุด หนนี้ตระกูลลู่ประสบคราวเคราะห์ ลู่คังจึงติดตามลู่ฮูหยินไปยังแดนเนรเทศด้วย ยอดเขาเซียนสยาเส้นทางยากลำบากนัก ลู่คังกลัวว่าลู่ถิงอายุน้อยจะก้าวพลาด ดังนั้นจึงมัดเขาไว้บนหลัง แม้แต่ทหารคนอื่นจะแบกลู่ถิงขึ้นหลัง เขาก็มิวางใจ
แม้ลู่ถิงจะถูกแบกไว้บนหลังมาตลอดทาง แต่เขายังอายุน้อยก็ต้องประสบเรื่องเลวร้ายนานาประการเช่นนี้ภายในเวลาไม่กี่เดือน แล้วยังมาทราบว่าบิดาสิ้นใจแล้วอีก เขาจึงร้องไห้ไม่หยุด ตั้งแต่ออกเดินทางก็ไม่สบายนิดหน่อยอยู่แล้ว หลายวันนี้เดินทางลำบากลำบน ทั้งยังมิคุ้นชินกับสภาพภูมิอากาศ ใบหน้าของเขาจึงซูบผอม ดวงตาทั้งสองข้างขอบตาดำคล้ำ ทำให้คนมองปวดใจยิ่งนัก
ลู่ฮูหยินอุ้มลู่ถิงมาปลอบเสียงอ่อนโยนแล้วป้อนน้ำให้เขา จากนั้นก็ให้เขากินเสบียงกรัง ลู่ถิงกินไปได้เพียงสองคำก็ไม่กินต่อ ลู่ฮูหยินกังวลใจแต่ก็อับจนหนทาง หญิงสาวสองนางข้างกายนางแม้จะได้ชื่อว่าเป็นบ่าว แต่มองลู่ฮูหยินเป็นเสมือนพี่สาวแท้ๆ หญิงรับใช้คนหนึ่งในนั้นนามว่าลู่เจินเอ่ยปลอบว่า “ฮูหยิน พอถึงผู่เฉิงแล้ว พวกเราไปขอร้องแม่ทัพต้วนให้พักอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน เชิญหมอสักคนมาตรวจรักษาคุณชายน้อย พอเข้าเขตหมิ่นแล้ว อำนาจของซั่งเหวยจวินก็คงจะไม่มากมายเท่านั้นแล้ว ระหว่างทางแม่ทัพต้วนคอยดูแลพวกเราอยู่พอสมควร เขาคงจะไม่ปฏิเสธ”
ลู่ฮูหยินถอนหายใจแผ่วเบา “คงมีแต่ต้องทำเช่นนี้ อวิ๋นเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์ ซิ่วเอ๋อร์กับเหมยเอ๋อร์ล้วนไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใด หากถิงเอ๋อร์เป็นอันใดขึ้นมาอีกคน แม้นตายข้าก็ไม่มีหน้าไปพบบิดาของพวกเขา” กล่าวจบก็ฉีกเสบียงแห้งบังคับให้ลู่ถิงกินลงไปอีกสักหน่อย
หญิงรับใช้ทั้งสองเห็นนางเป็นเช่นนี้ต่างหลั่งน้ำตา พวกนางสองคนล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่ลู่ฮูหยินรับมาเลี้ยงดู เคยร่ำเรียนวรยุทธ์กับทหารในตระกูลมาก่อน หนนี้ตระกูลลู่พบภัย ลู่ฮูหยินสังหรณ์มาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องแล้วจึงไล่ทหารในตระกูลกับบ่าวรับใช้ทั้งหมดออกไป คนที่ยังอยู่ตอนนี้ล้วนเป็นคนที่เคยได้รับบุญคุณใหญ่หลวงจากตระกูลลู่จึงตัดสินใจแน่วแน่มิยอมจากไป หญิงรับใช้สองคนนี้เป็นบ่าวคนโปรดข้างกายลู่ฮูหยินมาตลอด ทั้งยังมีวรยุทธ์อยู่บ้าง ดังนั้นจึงดึงดันไม่ยอมจากไป หากตลอดทางมิได้พวกนางสองคนดูแล เกรงว่าลู่ฮูหยินคงจะยิ่งลำบากกว่านี้
ในตอนนี้เอง ลู่คังที่แต่เดิมพิงหน้าผาหลับตาพักผ่อนอยู่ จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “ทุกคนระวังตัว ข้าได้ยินเสียงคนรีบเร่งเดินทางมาห่างออกไปด้านหลังสองสามลี้ คนที่มาฝีเท้ารีบร้อนสับสน ดูท่าจะมิใช่ขบวนเดินทางของพ่อค้า”
ทหารของตระกูลลู่ล้วนทราบว่าลู่คังอยู่ในกองทัพมาหลายปี เขาเชี่ยวชาญวิชาฟังเสียงผ่านพื้นเป็นที่สุด พวกเขาต่างตกใจ สายตาหันไปมองลู่ฮูหยิน ลู่ฮูหยินมิเข้าใจการรบทัพจับศึกจึงหันไปมองลู่คัง
ลู่คังบอกเสียงเบาว่า “หากเป็นลูกน้องเก่าของแม่ทัพใหญ่เดินทางมาช่วยเหลือ เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะเป็นคนในกองทัพ แต่คนเหล่านี้มิใช่อย่างแน่นอน แม้เคยได้ยินเรื่องมีผู้กล้าในยุทธภพจำนวนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่เรือนตระกูลเฉียว แต่หากฮูหยินเดินทางไปถึงติ้งหย่วนอย่างปลอดภัยย่อมดีกว่าหลบหนีโทษ ดังนั้นคนเหล่านี้เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะไม่ใช่คนที่มาช่วยพวกเรา แต่ทหารราชองครักษ์พวกนั้นไร้ประโยชน์ พวกเรามิสู้คิดหาหนทางฉวยโอกาสยามสับสนแย่งอาวุธมาปกป้องตนเองจะดีกว่า”
ทหารในตระกูลทั้งหลายต่างชิงชังทหารราชองครักษ์ยิ่งนักจึงเผยสีหน้าเห็นด้วยออกมา ในตอนนั้นเองต้วนเยว์ก็พาพลทหารสองนายเดินเข้ามา พวกเขาเห็นเช่นนั้น แต่ละคนก็ขยับตำแหน่งเล็กน้อยเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทว่าต้วนเยว์ไม่รู้สึกตัวสักนิด เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ลู่ฮูหยิน ผู้น้อยคิดมิถึงว่าเส้นทางจะลำบากถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวพอถึงศาลาพักม้าด้านล่างของยอดเขาเซียนสยา มิสู้จ้างเกี้ยวสักหลังหนึ่ง วันพรุ่งนี้ให้ฮูหยินกับคุณชายน้อยนั่งเกี้ยวเดินทางเป็นอย่างไร”
ผู้คนของตระกูลลู่ได้ยินคำนี้ต่างก็ยินดียิ่งนัก แต่ลู่ฮูหยินกลับตอบอย่างนิ่งสงบว่า “ข้าขอบคุณน้ำใจของท่านแม่ทัพ เพียงแต่เกรงว่าหากทำผิดกฎ จะส่งผลถึงท่านแม่ทัพด้วย”
ต้วนเยว์เห็นลู่ฮูหยินมิได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นนัก ในใจก็ทราบว่าลู่ฮูหยินคงเป็นห่วงบุตรรัก ดังนั้นจึงตั้งใจจะรับไว้ เขาจึงแย้มยิ้มตอบว่า “ฮูหยินกล่าวหนักเกินไปแล้ว ผู้น้อยมิมีความสามารถอื่นใด แต่ยังพอคุมลูกน้องเหล่านี้ได้อยู่ ขอเพียงมิให้คนนอกล่วงรู้ พอไปถึงยอดเขาเซียนหยางที่เป็นทางราบ ฮูหยินค่อยเดินก็ได้แล้ว”
ลู่ฮูหยินได้ยินคำนี้ ในหัวใจก็ยินดีอยู่นิดๆ คิดว่าหากมีเกี้ยวนุ่มๆ อย่างน้อยก็จะได้ให้บุตรสุดที่รักได้พักผ่อน นางมองลู่คังจากนั้นพยักหน้าให้เป็นนัย ลู่คังเข้าใจจึงก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ลู่คังขอบคุณท่านแม่ทัพแทนฮูหยิน” หลังจากนั้นเขาก็กระซิบต่อ “ท่านแม่ทัพเตรียมตัวระวังไว้ ด้านหลังมีแขกไม่ได้รับเชิญ”
ต้วนเยว์ฟังจบก็ตกตะลึงยิ่งนัก เขามองลู่คังอย่างอึ้งงัน จากนั้นรีบร้อนเดินกลับไปด้านหลัง หากเขามิได้คิดว่าหลังจากขึ้นเขาเซียนสยาคงมิจำเป็นต้องกังวลกับหูตาของอัครมหาเสนาบดีซั่งแล้วจนไปเสนอจะจ้างเกี้ยวให้ลู่ฮูหยินด้วยความหวังดี ทหารประจำตระกูลผู้นั้นก็ไม่แน่ว่าจะบอกเรื่องนี้กับตน เขาอดมิได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำดีได้ดีจริงๆ
เขารีบออกคำสั่งเสียงเบา ให้พลทหารจำนวนหนึ่งขวางช่องเขาด้านหลังไว้ จากนั้นสั่งให้พลทหารอีกจำนวนหนึ่งไปสำรวจเส้นทางด้านหน้า ทหารราชองครักษ์เหล่านี้ฝึกปรือมามิชำนาญ ชั่วขณะนั้นบนเส้นทางภูเขาจึงวุ่นวายชุลมุน ทหารของตระกูลลู่เห็นแล้วต่างขมวดคิ้วแค่นหัวเราะ