ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 12 ห่านป่าผวาเหลือเพียงเงา (1)
ลู่อวิ๋นมองรัดเกล้าทองในมืออย่างเหม่อลอย ร่างกายนิ่งดุจวิหคไม้ เมื่อครู่มีหญิงรับใช้มาตามหารัดเกล้าทองที่หายไปของท่านหญิง แต่เขากลับซ่อนรัดเกล้าทองเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ในใจนึกละอายและเสียใจอยู่เล็กน้อย แม้ทราบดีว่าสำหรับตัวเขาแล้ว ดรุณีน้อยผู้นั้นเป็นเสมือนเทพธิดาในสายน้ำ บุปผาในห้วงฝัน แต่เหตุไฉนเขากลับยังลุ่มหลง พลาดโอกาสเพียงหนเดียวที่จะแก้แค้นเจียงเจ๋อ
ช่างเถิด โหรวหลันเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมของเจียงเจ๋อเท่านั้น ตนจะกระทำเรื่องน่าอับอายเช่นการทำสิ่งใดเจียงเจ๋อไม่ได้ แล้วเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนหนึ่งได้เช่นไร
ตอนนี้เอง เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวของหลี่หลินก็พลันดังมาจากไกลๆ “อะไรนะ เจ้าบอกว่าโหรวหลันพลัดตกน้ำเกือบจมน้ำตาย นี่เป็นไปได้อย่างไร เจ้ากล้าสาปแช่งนาง ข้าจะตัดหัวเจ้า”
ลู่อวิ๋นหัวใจสะท้าน เขาค่อนข้างหวั่นเกรงหลี่หลิน กลัวเขาจะถามมากจนพบข้อพิรุธของตนเอง พอได้ยินเสียงจึงรีบเผ่นทันที แต่ยังมิทันอ้อมพ้นพุ่มบุปผาก็ได้ยินเสียงกระจ่างกังวานแฝงอำนาจเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “น้องหลินอย่าเพิ่งวู่วาม หญิงรับใช้นางนี้อาจพูดจามิสมควรไปบ้าง แต่หาได้มีเจตนาร้าย เจ้าได้ยินว่าโหรวหลันพลัดตกน้ำจึงรีบร้อนกลับมามิใช่หรือ พวกเราไปจวนชั้นในเยี่ยมนางกันเถิด สาวน้อยคนนี้ปกติก่อเรื่องจนเป็นเรื่องปกติ ยังไม่แน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ลู่อวิ๋นฉุกใจคิด มองลอดพุ่มบุปผาไป เห็นหลี่หลินยืนโมโหอยู่หน้าหญิงรับใช้นางหนึ่งบนทางเดินที่ขนาบด้วยพุ่มบุปผาด้านหน้า หญิงรับใช้นางนั้นตกใจจนขวัญหนีออกจากร่าง คุกเข่าโขกศีรษะอยู่บนพื้นราวกับตำกระเทียม
ด้านหลังของหลี่หลินมีเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์สีเหลืองสว่างคนหนึ่งยืนอยู่ เขาอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปี หน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยน สองตาล้ำลึกประหนึ่งบึงน้ำลึก กิริยาท่าทางสุขุมองอาจ เวลานี้เขากำลังดึงหลี่หลินพลางเอ่ยปราม
มิจำเป็นต้องขบคิดมาก เมื่อเห็นอาภรณ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้รวมถึงคำเรียกขานที่เขาเรียกหลี่หลิน ภายในใจของลู่อวิ๋นก็ปั่นป่วนดั่งคลื่นโถม ตนเองอยู่ห่างจากหลี่จวิ้นรัชทายาทแห่งต้ายงเพียงไม่กี่จั้ง เขากำมีดสั้นแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้
สายตาของลู่อวิ๋นจับบนใบหน้าของรัชทายาทหนุ่มผู้นั้น เขามีสีหน้าอ่อนโยน อมยิ้มเอ่ยห้ามปราม แม้มีฐานะสูงศักดิ์อย่างยิ่ง แต่กลับทำให้คนรู้สึกประหนึ่งถูกอาบด้วยสายลมวสันต์ ได้ยินว่ารัชทายาทผู้นี้ปกครองโยวโจวแทนหลี่จื้อตั้งแต่ยังเล็ก เลื่องชื่อในเรื่องความเมตตากตัญญู วันนี้ได้พบ ท่าทางมิธรรมดาจริงดังว่า
เมื่อหวนนึกถึงจ้าวหล่ง เจ้าแคว้นหนานฉู่ ทั้งที่อายุใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังเป็นเจ้าผู้ปกครองแว่นแคว้นแห่งหนึ่ง แต่ฝั่งนั้นกลับรู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น มิมีความสามารถไร้ความโดดเด่น หัวใจก็เจ็บปวด ลมหายใจสับสนอย่างช่วยไม่ได้
องครักษ์อาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งด้านหลังหลี่จวิ้นพลันเลิกคิ้ว ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวบังด้านข้างของหลี่จวิ้นแล้วตวาดว่า “ผู้ใดทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หลังพุ่มดอกไม้” น้ำเสียงของเขามิดุดัน อาจเป็นเพราะที่แห่งนี้คือจวนขององค์หญิงฉางเล่อ เป็นที่รู้กันทั่วว่าเป็นจวนที่การป้องกันเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่ง
ลู่อวิ๋นใจสั่นสะท้าน เดินอ้อมพุ่มบุปผาออกมาคุกเข่าข้างหนึ่งให้หลี่หลินแล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยอวิ๋นลู่คารวะท่านจวิ้นอ๋อง” เขาจงใจแสดงออกว่าไม่รู้จักหลี่จวิ้น เช่นนี้แม้จะมีความผิดแต่โทษก็เบาลงหน่อย ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดใช่หรือไม่เล่า แล้วก็เป็นดังขาด เขาลอบเหลือบมอง องครักษ์ผู้นั้นสีหน้าผ่อนคลายลงก่อนจะถอยกลับไปด้านหลังของหลี่จวิ้น
หลี่หลินเสียงดังด้วยความฉุนเฉียว “ที่แท้ก็เจ้านี่เอง เห็นข้าโมโหจึงไม่กล้าเข้ามาหาใช่หรือไม่”
ในใจลู่อวิ๋นยิ่งวิตก ก้มศีรษะขมวดคิ้วตอบว่า “ผู้น้อยมิกล้า”
หลี่หลินโบกมือ “ช่างเถิด มาคารวะองค์รัชทายาท เสด็จพี่ คนนี้คือองครักษ์ที่ข้ารับเข้ามาใหม่ ข้าเห็นเจ้าหนุ่มคนนี้ฝีมือไม่เลว ผ่านไปอีกสองสามปีคิดว่าจะส่งไปเป็นองครักษ์ที่ตำหนักบูรพา แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ กรมวินิจการณ์กับกองการข่าวตรวจสอบเข้มงวดนัก ตัวตนของเจ้าหนุ่มคนนี้ยังไม่ชัดเจนเท่าไร หากข้าส่งไปเกรงว่าคงมีแต่จะถูกร้องเรียน”
หลี่จวิ้นยิ้มละไม เขาย่อมเข้าใจเหตุผลประการนี้ องครักษ์ข้างกายตนล้วนถูกเลือกมาอย่างละเอียดรอบคอบ ตัวตนความเป็นมา วรยุทธ์และนิสัยล้วนต้องผ่านการตรวจสอบ แต่ในเมื่อหลี่หลินเห็นค่าองครักษ์หนุ่มผู้นี้เช่นนี้ คิดว่าคงจะเป็นผู้มีความสามารถหาตัวจับยาก
เขาก้าวมาข้างหน้า ประคองลู่อวิ๋นลุกขึ้นด้วยมือตนเองแล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด เจ้าเป็นองครักษ์ของน้องหลิน หลังจากนี้ย่อมพบหน้าข้าบ่อยๆ อย่างเลี่ยงมิได้ มิจำเป็นต้องพิธีรีตองเช่นนนี้ แล้วก็มิจำเป็นต้องฟังน้องหลินพูดเหลวไหล องครักษ์ตำหนักบูรพาของข้าล้วนเป็นคนที่เสด็จพ่อส่งมา จำนวนคนมีจำกัด ดังนั้นจึงมีเงื่อนไขมากอย่างช่วยไม่ได้
นับจากวันนี้เจ้าติดตามจยาจวิ้นอ๋อง หนทางในวันหน้าย่อมรุ่งโรจน์ดุจเดียวกัน ผ่านไปอีกสองสามปีสร้างความดีความชอบสักหนบนสมรภูมิ ได้แต่งตั้งเป็นโหวขึ้นเป็นแม่ทัพ ไยมิดีกว่าอับเฉาอยู่ข้างกายข้า”
ลู่อวิ๋นขานรับอย่างนอบน้อม ดวงตาฉายแววชื่นชม รัชทายาทต้ายงผู้นี้มีคุณลักษณะของจักรพรรดิอย่างแท้จริง เพียงเอ่ยถ้อยคำเรียบง่ายไม่กี่ประโยค ผู้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ หากตนเองเป็นอวิ๋นลู่ผู้ไร้บ่วงผูกพันจริงๆ น่ากลัวว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปอาจทุ่มเทชีวิตรับใช้เขาก็เป็นได้
หลี่จวิ้นพินิจดูลู่อวิ๋นครู่หนึ่ง พอเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แม้อายุยังน้อยและสีหน้านอบน้อมระมัดระวัง แต่กิริยาท่าทางกลับมิขลาดกลัว สีหน้าแฝงความหยิ่งทะนงเข้มแข็ง ก็เห็นจริงว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติอันหาได้ยาก ในใจรู้สึกชมชอบอย่างช่วยมิได้ เขาหันไปมองหลี่หลินแล้วชมว่า “น้องชายสายตามิธรรมดาจริงๆ ข้าดูแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้ลักษณะท่าทางคล้ายแม่ทัพจ่างซุน”
หลี่หลินกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาอายุยังน้อย ยามแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาไม่เพียงมิทำให้ผู้อื่นโกรธเคือง ตรงกันข้ามกลับทำให้รู้สึกว่าเขายังมีความเป็นเด็กเหลืออยู่ หลี่จวิ้นส่ายศีรษะพลางยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เอาละ พวกเราไปเยี่ยมโหรวหลันกันเถิด นางลำบากแล้วคงมาเอาคืนจากพวกเราแน่ หากไปช้า เกรงว่าคงถูกนางเย็นชาใส่หลายวัน”
หลี่หลินสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด ว่าอย่างโกรธเคือง “โหรวหลันลำเอียงที่สุด ทุกครั้งยามเห็นท่านล้วนยิ้มหน้าบาน แต่พอเห็นข้ากลับหน้าบึ้งตึง ทั้งที่ท่านมาหานางได้สามวันห้าวันครั้ง แต่ข้าแทบจะอยู่ข้างกายนางทุกวันแท้ๆ แต่นางกลับดีต่อท่านเป็นพิเศษตลอด”
หลี่จวิ้นหัวเราะเสียงดัง “ผู้ใดใช้ให้เจ้ามิใช่คนที่เห็นนางเติบใหญ่ขึ้นมาเล่า สมัยนั้นข้ายังเป็นยงอ๋องซื่อจื่อ แต่ก็ทุ่มสุดกำลังช่วยนางหนีจากเงื้อมมืออันชั่วร้ายของท่านอาเขย ส่วนเจ้า พบหน้าครั้งแรกที่ตงไห่ก็ทะเลาะกับนาง บังคับให้เด็กหญิงตัวน้อยเรียกเจ้าว่าพี่ชาย แล้วต่อมายังถูกอาเขยหลอกให้กลายเป็นผู้ช่วยเขากลั่นแกล้งโหรวหลันอีก สมควรแล้วที่ยามนี้เจ้าจะถูกชำระแค้น”
หลี่หลินชะงักเท้าหมดคำพูด ใบหน้าประเดี๋ยวดำทะมึน ประเดี๋ยวแดงก่ำ หันไปเห็นองครักษ์รอบด้านกำลังข่มกลั้นเสียงหัวเราะก็ตวาด “ไสหัวไปให้หมด ที่แห่งนี้คือจวนของอาเขย ยังต้องให้พวกเจ้ามาอยู่ดูเรื่องสนุกตรงนี้อีกหรือ”
องครักษ์สองนายมองหน้ากัน มิทราบว่าสมควรฟังคำสั่งหรือไม่
หลี่จวิ้นหัวเราะ “ช่างเถิด นอกจากเหลิ่งฮุย พวกเจ้าที่เหลือออกไปพักเถิด”
นอกจากองครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลี่จวิ้น องครักษ์คนที่เหลือล้วนแยกย้ายกันไป ลู่อวิ๋นถอนหายใจอยู่ในใจ เตรียมตัวจะจากไปด้วย คิดไม่ถึงหลี่หลินกลับเรียกเขาเอาไว้ “อวิ๋นลู่ เจ้าอยู่ข้างตัวพี่ใหญ่ฮั่วกับโหรวหลัน ได้ยินว่าเจ้าช่วยโหรวหลันขึ้นมาใช่หรือไม่”
ลู่อวิ๋นหน้าแดง หวนนึกว่าแต่เดิมตนคิดจะเอาชีวิตโหรวหลันก็ละอายใจอย่างห้ามไม่ได้ ตอบเสียงเบา “ผู้น้อยบังเอิญอยู่ตรงนั้น พอจะว่ายน้ำเป็นอยู่บ้างจึงได้แต่ล่วงเกินท่านหญิง”
หลี่จวิ้นอุทานอย่างคิดไม่ถึง สายตาที่มองลู่อวิ๋นมีความชื่นชมเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ก่อนจะผงกศีรษะให้เบาๆ แล้วเดินเข้าไปยังจวนชั้นใน หลี่หลินโบกมือ ส่งสัญญาณบอกให้ลู่อวิ๋นมิต้องติดตามมา หลังจากนั้นจึงรีบเร่งเดินจากไป ลู่อวิ๋นนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจแผ่วเบา เดินไปทางเรือนชีเฟิ่งอย่างเซื่องซึม
ผู้ใดจะคิดว่าเขาเพิ่งเดินมาถึงเรือนชีเฟิ่ง หลี่หลินก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงวิ่งเข้ามา ตะโกนว่า “น่าโมโหนัก ตามข้ากลับจวนให้หมด” องครักษ์ทั้งหลายเห็นเขาโกรธจัดก็มิกล้าถามเขาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ได้แต่เร่งรีบติดตามหลี่หลินออกจากจวนขององค์หญิงฉางเล่อ
หลี่หลินไปเอาม้า หวดแส้อย่างเคืองแค้น ห้อตะบึงเข้าไปด้านในของเขตพระราชฐาน องครักษ์เหล่านั้นตกใจยิ่งนัก ร้องตะโกนเรียกจากด้านหลัง พวกเขามิกล้าขี่ม้าในเขตพระราชฐาน นั่นเป็นความผิดร้ายแรง แม้เห็นแผ่นหลังของหลี่หลินจากไปไกลแต่ทำได้เพียงร้อนใจ รีบเร่งวิ่งไปทางจวนฉีอ๋อง
ลู่อวิ๋นนึกแปลกใจ หันไปถามองครักษ์ที่ค่อนข้างคุ้นเคยกันคนหนึ่งว่า “นี่ท่านอ๋องเป็นอันใดถึงได้โกรธจัดถึงเพียงนี้”
องครักษ์ผู้นั้นมองซ้ายมองขวาครู่หนึ่ง แล้วจึงกระซิบบอกว่า “คงจะถูกท่านหญิงเจาหวาต่อว่ามาอีกแล้วเป็นแน่ ทั้งนครฉางอันผู้ใดมิรู้บ้างว่าจวิ๋นอ๋องของพวกเรา ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง กลัวก็แต่ฉู่โหวกับท่านหญิงเจาหวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านหญิง หากพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวสามวันตีกัน เดี๋ยวสองวันทะเลาะกัน สุดท้ายมิใช่ท่านหญิงร้องไห้มาฟ้องท่านอ๋องกับพระชายาของพวกเรา จวิ้นอ๋องก็ไปฟ้ององค์หญิงฉางเล่อ
แรกๆ ผู้ใหญ่สองบ้านก็ทั้งปลอบทั้งต่อว่าลงโทษ แต่มิทันไรพวกเขาสองคนก็คืนดีกันเหมือนเดิมอีก จนตอนนี้ผู้ใดก็คร้านจะสนใจแล้ว แต่วันนี้ก็แปลกจริงๆ แต่เดิมหากรัชทายาทกับคุณชายฮั่วอยู่ด้วย มักจะปรามท่านหญิงกับท่านจวิ้นอ๋องไว้ได้เสมอ แต่วันนี้มิรู้เกิดเรื่องใดขึ้น คำพูดของสองคนนี้จึงมิได้ผลเสียแล้ว”
ลู่อวิ๋นฟังอย่างสนอกสนใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปลอบหัวเราะอย่างอดมิไหว มิว่าฐานะสูงศักดิ์เพียงใด ท่านหญิงเจาหวาเจียงโหรวหลันกับจยาจวิ้นอ๋องหลี่หลินสุดท้ายก็ยังเป็นเด็กน้อย เขายากจะโยงเด็กหนุ่มผู้นิสัยเป็นเด็กน้อยในวันนี้กับจยาจวิ้นอ๋องผู้วางท่าเคร่งขรึมยามเรียกตนไปพบที่สวนหุบเขาทองผู้นั้นเข้าด้วยกันจริงๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง องครักษ์ทั้งหลายก็กลับมาถึงจวนฉีอ๋อง พวกเขาเห็นหลี่หลินก้าวฉับๆ เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูทันที เมื่อเห็นพวกองครักษ์เหล่านี้ เขาก็เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “เหตุไฉนจึงช้าปานนี้ เสด็จพ่อให้ข้าตามเสด็จแม่ไปหนานซาน พวกเจ้ารีบไปเตรียมตัว”
องครักษ์ทั้งหลายฟังจบก็ไม่มีเวลาโต้แย้งว่าจวิ้นอ๋องต่างหากที่มาถึงเร็วเกินไป ได้แต่รีบร้อนไปตระเตรียมสัมภาระ ลู่อวิ๋นในใจยินดียิ่งนัก ตนกำลังกลัดกลุ้มว่าจะสลัดจยาจวิ้นอ๋องเดินทางไปหนานซานหาโอกาสลอบสังหารเจียงเจ๋ออย่างไรอยู่พอดี คิดมิถึงจยาจวิ้นอ๋องก็จะเดินทางไปหนานซานเช่นเดียวกัน มิรู้ว่าเพราะสวรรค์ช่วยคุ้มครองหรือไม่
องครักษ์ทั้งหลายเดินจากไปแล้ว เหลือแต่หลี่หลินที่ยืนโมโหโทโสอยู่หน้าประตูจวนอ๋อง เตะแท่นหินสำหรับลงม้าหนแล้วหนเล่าระบายเพลิงโทสะในใจ
หลี่หลินมองเห็นแผ่นหลังของลู่อวิ๋นก็โมโหเตะไปอีกหนึ่งหน เมื่อครู่ตอนไปเยี่ยมโหรวหลัน ไฉนจะคาดคิดว่านางจะต่อว่าถากถางตน บอกว่าตนสายตาย่ำแย่ ดันเก็บมือสังหารคนหนึ่งไว้ข้างตัว เรื่องนี้จะโทษเขาได้เช่นไร ต้องโทษกองการข่าวที่ไม่ตรวจสอบให้กระจ่าง อีกอย่างหนึ่งเดิมทีนางก็ชื่นชมอวิ๋นลู่อยู่พอสมควรมิใช่หรือ เหตุไฉนวันนี้ความผิดจึงมาตกอยู่กับตัวเขาหมดเล่า
แต่เดิมเขาทั้งโกรธทั้งขุ่นเคือง คิดจะออกไปสังหารอวิ๋นลู่ในทันที แต่ผู้ใดจะคิดว่าถูกฮั่วฉงห้ามไว้ บอกให้เขาพาอวิ๋นลู่ไปคฤหาสน์หนานซาน เห็นเด็กหนุ่มที่หลอกลวงตนเองอยู่ตรงหน้าแต่กลับมิอาจลงมือต่อว่าหรือลงโทษ เพลิงโทสะในใจเขายากจะลดทอน จึงตัดสินใจฝ่าฝืนกฎ ควบอาชาห้อตะบึงกลับมายังจวนฉีอ๋อง
มิว่าเขาจะโกรธเคืองเช่นไร แต่ก็ทราบว่าความต้องการของฮั่วฉงคือความต้องการของท่านอาเขยเจียงเจ๋อ ตลอดทางกลับเขาจึงครุ่นคิดว่าจะพาอวิ๋นลู่ไปคฤหาสน์หนานซานได้อย่างไร ต้องหาเหตุผลสักประการมิให้เขาสงสัย นี่เป็นงานที่พี่ใหญ่ฮั่วมอบหมายให้
ผู้ใดจะทราบว่าเมื่อกลับถึงจวนก็ได้รู้ว่าพระชายาฉีอ๋องหลินปี้กำลังจะเดินทางไปหนานซาน แต่เดิมจะให้หลี่จิ่งพี่คนโตที่เกิดจากอนุชายาของตนติดตามไปด้วย เขาจึงแย่งหน้าที่นี้มาแทน ในใจทราบว่าแปดเก้าในสิบส่วนคงเป็นแผนการของอาเขยอีกแล้ว มิเช่นนั้นเสด็จแม่ไฉนจะเดินทางไปหนานซานเพียงลำพังอย่างไม่มีสาเหตุ ยามนี้เสด็จแม่ตั้งครรภ์อยู่ เสด็จพ่อแทบจะอยู่ไม่ห่างสักเพลา
พอนึกขึ้นมาว่าตนเองพลาดหนนี้คงจะถูกท่านอาเขยกับโหรวหลันหัวเราะเยาะไปอีกหลายเดือน เขาก็ทั้งโมโหทั้งหดหู่ ยิ่งโกรธแค้นอวิ๋นลู่มากกว่าเดิม หากมิใช่ว่าต้องฝืนเก็บซ่อนเอาไว้ น่ากลัวว่าสายตาของเขาคงแทงอวิ๋นลู่จนทะลุไปแล้ว