ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 123 เสียใจเมื่อสาย (6)
หากมิใช่เพราะเหวยอิงใช้แผนการสารพัดล่อสำนักเฟิงอี้มาถึงที่ตาย ทำตามแผนของตนเพียงอย่างเดียวคงจะหลบเลี่ยงหูตาของสำนักเฟิงอี้และรวบจัดการพวกนางทั้งหมดหนเดียวได้ยากอย่างยิ่ง ในใจเซี่ยโหวหยวนเฟิงรู้สึกขอบคุณ จึงตัดสินใจว่าจะนำศพของเหวยอิงไปฝังให้ดี
คนของกรมวินิจการณ์เห็นว่าควันพิษด้านล่างสลายไปแล้วจริงๆ จึงถือคบไฟลงไปตรวจสอบ ไม่นานก็มีคนขึ้นมารายงานเซี่ยโหวหยวนเฟิงว่า “ใต้เท้า คณะของลู่ฮูหยินกับจอมยุทธ์เจียงหนานทั้งยี่สิบกว่าคนหายไปแล้วขอรับ” แววตาของคนผู้นั้นสั่นระริก กังวลว่าจะถูกตำหนิ ผู้ใดจะคิดว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับโล่งใจ
เขาได้รับจดหมายจากเจียงเจ๋อบอกให้เขาส่งคนลงใต้เพื่อกำจัดสำนักเฟิงอี้ร่วมกับกองการข่าว เขารู้สึกว่านี่จะต้องเป็นคุณงามความชอบอันหาได้ยาก จึงอ้างว่ากองการข่าวยุ่งอยู่กับเรื่องของกองทัพ นำคนลงใต้ด้วยตนเอง แล้วเขาก็สร้างความชอบครั้งใหญ่สำเร็จ กำจัดสำนักเฟิงอี้ได้หมดสิ้นจริงดังคาด
เขาล่วงรู้เรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้จากปากของชิวอวี้เฟยแล้ว แต่เพื่อให้ทำการสำเร็จในคราเดียว เขาจึงรีรอมิลงมือเสียที พอคิดว่าลู่ฮูหยินอาจตายอยู่ใต้ควันพิษแล้วเจียงเจ๋อจะกล่าวโทษเขา ต่อให้ควันพิษนั่นมิใช่การกระทำของตน แต่เขาก็อดหวาดวิตกมิได้ จวบจนตอนนี้เขาถึงโล่งใจ เดาว่าจะต้องเป็นฝีมือลูกน้องของเจียงเจ๋อเป็นแน่ เขาอดทึ่งมิได้ คิดมิถึงว่าคนผู้นั้นล้มป่วยอยู่ที่ฉู่โจว แต่กลับยังลงมือได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้
เวลานี้ลูกน้องอีกคนหนึ่งก็ผลุนผลันวิ่งเข้ามาหาแล้วกระซิบข้างหูเซี่ยโหวหยวนเฟิงสองสามคำ เซี่ยโหวหยวนเฟิงตกใจ สาวเท้าเร็วรี่ลงไปใต้หน้าผา เขาเลี้ยวอ้อมลงมายังทางภูเขาด้านล่าง ไม่มีเวลาสนใจภาพราวกับนรกภูมิใต้แสงคบเพลิง สายตาพุ่งไปจับบนร่างของบุรุษที่ลูกน้องหลายคนหามมา
บนร่างคนผู้นั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากกระบี่ หนังเปิดเห็นเนื้อด้านใน คราบเลือดเปรอะอยู่ทั่วร่าง แขนซ้ายถูกฟันขาด แม้แต่ขาทั้งสองข้างก็ห้อยตกไร้เรี่ยวแรง เห็นชัดว่ากระดูกหัก แต่เซี่ยโหวหยวนเฟิงยังสังเกตเห็นว่าหน้าอกของคนผู้นั้นยังขยับขึ้นลง เหลือลมหายใจรวยริน
เซี่ยโหวหยวนเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเสียงเบา เขาล้วงยาเม็ดหนึ่งออกมายัดเข้าปากของคนผู้นั้น แล้วรับถุงน้ำมากรอกใส่ปากเขาสองสามคำ ผ่านไปพักหนึ่ง คนผู้นั้นก็ครวญคราง ค่อยๆ ได้สติกลับมา เซี่ยโหวหยวนเฟิงถอนหายใจเสียงเบาอีกหน แล้วทักว่า “พี่เหวย มิได้พบหน้ากันนานหลายปี ท่านยังจำน้องชายได้หรือไม่”
เหวยอิงลืมตาขึ้น เขารู้สึกว่าทั่วร่างเจ็บปวดแสนสาหัสจนแทบทนไม่ไหว แขนขาทั้งสี่คล้ายจะไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป ดวงตาสองข้างบนใบหน้าก็ถูกโลหิตปกคลุมจนสายตาพร่าเลือน มองหน้าตาของคนที่ยืนอยู่ใต้แสงคบเพลิงตรงหน้าไม่ชัดสักนิด แต่เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยโหวหยวนเฟิง เขาก็รู้ตัวตนของคนที่พูดอยู่แทบจะในทันที
เขาข่มกลั้นความเจ็บปวด เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “มีน้ำหรือไม่ ประคองข้าลุกขึ้นหน่อย”
คนผู้นั้นถอนหายใจเสียงเบา ก้มตัวลงมาประคองเขา เหวยอิงฝืนเรี่ยวแรงขยับแขนขวาเล็กน้อย แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ความรู้สึกก็ค่อยๆ หวนกลับขึ้นมา เขายื่นมือออกมา คนผู้นั้นรินน้ำสะอาดลงบนฝ่ามือ เขาวักน้ำล้างคราบเลือดบนใบหน้า เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาสง่างาม แม้บนใบหน้าจะมีรอยแผลจากดาบกับกระบี่ และมีร่องรอยของกาลเวลามากมาย แต่เมื่อเขาอมยิ้มน้อยๆ หันมาทางเซี่ยโหวหยวนเฟิง เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็พลันรู้สึกเหมือนเบื้องหน้าปรากฏภาพลวงตาขึ้นมา เหวยอิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เหมือนมิใช่คนใกล้สิ้นใจ แต่เป็นคุณชายตระกูลเสนาบดีรูปโฉมงามสง่าเบื้องหน้าอดีตจักรพรรดิในวันวาน
เซี่ยโหวหยวนเฟิงหวนนึกถึงเรื่องราวในการประลองยุทธ์เบื้องพระพักตร์ที่เสมือนหนึ่งเกิดเมื่อวาน จากนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าเหม่อลอยหวนคะนึงออกมาอย่างห้ามมิได้ ผ่านไปเนิ่นนาน เซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “พี่เหวยมีความปรารถนาประการใดยังมิสมหวังหรือไม่ ขอเพียงมิขัดประสงค์ฟ้า ข้าจะพยายามเต็มกำลัง”
เหวยอิงกวาดสายตาไปรอบด้านแล้วถามเรียบๆ “ลู่ฮูหยินตายหรือไม่”
ดวงตาของเซี่ยโหวหยวนเฟิงฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่ ลู่ฮูหยินหายตัวไป คิดว่าคงจะหนีรอดพ้นภัยแล้ว”
เหวยอิงเผยรอยยิ้ม ถอนหายใจกล่าวว่า “นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่ข้าได้ยินมาจริงๆ เช่นนี้แม้นข้าตายไปก็มีหน้าไปพบแม่ทัพใหญ่แล้ว” เขาเงยหน้ามองเซี่ยโหวหยวนเฟิง นัยน์ตาทั้งสองข้างสะท้อนเปลวเพลิงยิ่งแลดูสว่างสุกใส มิหม่นแสงเหมือนคนกำลังจะตายสักนิด
เขาคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “สิบสามปีก่อนในการประลองยุทธ์ ณ ประตูจูเช่ว์ ข้า เจ้ากับฉินชิงเป็นผู้โดดเด่นที่สุดในนั้น น่าเสียดายแม่ทัพฉินตายในการก่อกบฏที่พระราชวังเลี่ยกง ส่วนวันนี้ข้าก็จะจากไปแล้ว เหลือเจ้าคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก แต่ก็มิอาจยืนอยู่ในราชสำนักได้อย่างสง่าผ่าเผย พอคิดขึ้นมาว่าความรุ่งโรจน์ของพวกเราสามคนถูกคนผู้เดียวแย่งชิงไปจนหมดสิ้น เจ้าเคยแค้นใจบ้างหรือไม่”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเห็นลมหายใจของเหวยอิงอ่อนลงทุกทีก็ไม่รอช้า เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “จะมิแค้นได้อย่างไร ข้าเซี่ยโหวหยวนเฟิงทะนงตัวมาตลอด ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นของต้ายงในวันวาน นอกจากพี่เหวย ผู้อื่นล้วนมิอยู่ในสายตา ทว่าพอเจียงสุยอวิ๋นเดินทางมาถึงต้ายง พวกเราก็ตกต่ำ จะมิอิจฉาเคียดแค้นเขาได้หรือ
แต่ข้าสังเกตสถานการณ์อยู่เสมอ หากกล่าวถึงสติปัญญาและกลอุบาย คนผู้นั้นนับว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ยามสมควรตัดก็ตัด ยามสมควรยั้งมือก็ยั้งมือ จิตใจและกลยุทธ์เช่นนี้ ข้าละอายใจสู้มิได้ ดังนั้นจึงต้องยอม บางทีอาจยังมีเคียดแค้นอิจฉาบ้าง แต่ข้าไม่มีทางทำลายหนทางอันรุ่งเรืองของตนเองไปเป็นอริกับเขา”
เหวยอิงฟังจบก็หัวเราะ “ดี ดี หากในอดีตข้าเข้าใจก็คงไม่มีจุดจบเช่นวันนี้ เจ้ากับข้าก็นับเป็นสหายเก่า ในเมื่อเจ้าเจตนาดีเช่นนี้ ข้าก็จะมิเสแสร้งวางท่าต่อ ชีวิตนี้ผู้แซ่เหวยทำเรื่องผิดพลาดมามากมาย ยามนึกย้อนกลับไปมักจะเสียใจสุดแสนอยู่เสมอ วันนี้สิ้นชีวาในต่างแดนก็ถือว่ากรรมตามสนอง ข้ามิมีผู้ใดให้ต้องห่วง วานเจ้าเผาศพข้าให้กลายเป็นเถ้า ครึ่งหนึ่งนำกลับไปฉางอัน ข้ามิมีหน้าฝังร่วมสุสานกับบรรพบุรุษตระกูลเหวย เจ้าโปรดฝังข้าไว้บนยอดเขาที่มองเห็นสุสานของบิดาผู้ล่วงลับ ให้ข้าได้เฝ้าสุสานของบิดาจากปรโลก ชดใช้ความผิดที่ข้ามิภักดีและอกตัญญู”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงพยักหน้าอย่างเงียบงัน ตอบว่า “เรื่องนี้มิเป็นปัญหา แม้พี่เหวยกระทำความผิดอันมิอาจให้อภัย แต่วันนี้ท่านกลับตัวกลับใจ พลีชีพกำจัดสำนักเฟิงอี้ เพียงร้องขอให้ได้กลับไปฝังร่างในแผ่นดินบ้านเกิด หากฝ่าบาททราบย่อมทรงอนุญาต ถ้าเช่นนั้นอัฐิอีกครึ่งหนึ่งของพี่เหวย ท่านต้องการจะจัดการอย่างไรเล่า”
แววตาของเหวยอิงเริ่มเลื่อนลอย เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบา “ผู้แซ่เหวยทรยศแว่นแคว้นทำผิดคุณธรรม คนทั้งใต้หล้าต่างดูแคลน มีเพียงลู่ช่านแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่เชื่อใจใช้งานข้า บุญคุณนี้ พระคุณนี้ ต่อให้ร่างแหลกสลายเป็นผุยผงก็ยากจะตอบแทน วันนี้ข้าผิดต่อความเมตตาที่เขามอบให้จึงต้องจบชีวิตอยู่บนยอดเขาเซียนสยา โปรดโปรยเถ้ากระดูกอีกครึ่งหนึ่งของข้าบนสุสานของแม่ทัพใหญ่ แม้นตัวตายแล้ว ผู้แซ่เหวยก็มิมีวันลืมบุญคุณของเขา”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงได้ยินคำนี้พลันอึ้งงัน ผ่านไปเนิ่นนานจึงถอนหายใจตอบว่า “ลู่ช่านได้ความภักดีจากพี่เหวยเช่นนี้ จักต้องเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุคเป็นแน่ น่าเสียดายข้ามิเคยได้พบหน้าคนผู้นี้ด้วยตนเองสักหน เรื่องนี้คงเป็นความเสียดายชั่วชีวิต”
กล่าวจบเขาก็ส่ายหน้าช้าๆ เตรียมตัวจะเดินจากไป เวลานี้เหวยอิงใกล้หมดลมหายใจแล้ว เขาทราบว่าเวลานี้เหวยอิงมิได้ยินเสียงของตนและมองมิเห็นใบหน้าของตนอีกต่อไป
เบื้องหน้าเหวยอิงมืดสนิท เขาทราบว่าความตายใกล้มาเยือน แต่หัวใจเขาปราศจากความเคืองแค้นแล้ว เขาเปล่งเสียงขับขานบทเพลงก้องกังวาน “วารีราดรดบนผืนดิน ยังไหลรินออกตกเหนือใต้…”
เขาคิดว่าตนเองกำลังขับขานบทเพลงเสียงกังวาน แต่ในความเป็นจริงเสียงแผ่วเบายิ่งนัก เพิ่งร้องได้สองประโยค เสียงก็พลันขาดหาย
เซี่ยโหวหยวนเฟิงอดมิได้หันหลังกลับไปมอง เขาเห็นเหวยอิงหมดลมหายใจแล้ว ทว่าสีหน้าของเขากลับสงบสุขยิ่งนัก