ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 128 วาโยพัดพาเมฆาแตกฉานซ่านเซ็น (3)
จี้หลิงเซียงน้ำตาไหลนองหน้า เล่าข่าวที่ถูกส่งมาจากทางหนานหมิ่นจนครบทุกสิ่ง แม้ผู้คนของสำนักเฟิงอี้จะฝังร่างอยู่บนยอดเขาเซียนสยา มิมีผู้ใดกลับมาแจ้งข่าว แต่หลังจากขบวนของลู่ฮูหยินเดินทางถึงผู่เฉิงก็แจ้งทางการว่าพบโจรระหว่าทาง ทหารราชองครักษ์ตายหมดสิ้น เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมมีสารด่วนมาแจ้งเจี้ยนเย่
จี้หลิงเซียงเป็นกุ้ยเฟยแห่งหนานฉู่ มักจะปรนนิบัติข้างพระวรกายเจ้าแคว้นเสมอ นางจึงได้ยินข่าวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ตัวนางพอคาดเดาความจริงจากเนื้อความของสารได้ หากสำนักเฟิงอี้ยังมีคนเหลือรอดอยู่ พวกนางย่อมมิยอมปล่อยให้ขบวนของลู่ฮูหยินเดินทางถึงผู่เฉิงอย่างปลอดภัย
นางรอคอยอย่างกลัดกลุ้มกังวลใจอยู่หลายวัน เมื่อได้ข่าวยืนยันจากซั่งเหวยจวินว่าบนยอดเขาเซียนสยามีซากศพกองพะเนินเป็นภูเขา กองสุมรวมกันเป็นเนินซากศพ ทำให้นักเดินทางนับไม่ถ้วนหวาดหวั่นขวัญผวา หลังจากจี้หลิงเซียงมั่นใจเรื่องที่สำนักเฟิงอี้ย่อยยับทั้งกองทัพแล้วจึงฉวยโอกาสที่คืนนี้เจ้าแคว้นจ้าวหล่งไปบรรทมที่ตำหนักของพระมเหสีลักลอบออกจากวังมารายงานเยี่ยนอู๋ซวง
เยี่ยนอู๋ซวงรู้สึกราวกับหัวใจถูกฉีกกระชาก นางคุมอารมณ์มิไหว พออ้าปากจะเอ่ยวาจาก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ จี้หลิงเซียงรีบหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะก้าวเข้ามาประคองเยี่ยนอู๋ซวง เยี่ยนอู๋ซวงสงบจิตใจได้บ้างแล้ว นางจิบชาชั้นดีอุ่นร้อนในถ้วยน้ำชาสองคำ ขณะที่กำลังจะเงยหน้าถามให้ละเอียด ทันใดนั้นหน้าอกก็เจ็บแปลบ นางก้มลงมองอย่างตกตะลึง เห็นมือเรียวข้างหนึ่งกำกระบี่สั้นแน่น คมกระบี่ของกระบี่สั้นเล่มนั้นจมหายเข้ามาในหน้าอกของตนเอง
เยี่ยนอู๋ซวงซัดหนึ่งฝ่ามือออกมา จี้หลิงเซียงถูกนางตบกระเด็นไปชนบานประตู ผ่านไปพักใหญ่กว่าจี้หลิงเซียงจะลุกขึ้นมาได้ มุมปากมีเลือดไหลซึม ดวงหน้างามซีดดุจกระดาษ แต่นางกลับยิ้มกว้าง “ยังดีๆ ศิษย์พี่บาดเจ็บไม่น้อย มิเช่นนั้นฝ่ามือนี้คงเอาชีวิตข้าไปแล้ว”
เยี่ยนอู๋ซวงแววตาเฉยชาเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้”
ดวงหน้างามพิลาสของจี้หลิงเซียงเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย นางเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “เพราะข้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าไม่ต้องการเป็นหมากของพวกเจ้าอีกแล้ว ยามนี้ข้าจี้หลิงเซียงเป็นกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์แล้ว แต่ยามอยู่เบื้องหน้าพวกเจ้ากลับเป็นเพียงทหารเลวธรรมดาๆ คนหนึ่ง ข้าไม่ยินยอม แต่ข้าก็มิกล้าขัดขืน ข้ารู้ว่าหากพวกเจ้าต้องการให้ข้าตาย ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
แต่วันนี้มิเหมือนเดิมแล้ว อาจารย์กับเจ้าสำนักล้วนตายสิ้นแล้ว พวกนางข่มขู่ข้ามิได้อีกต่อไป เพียงคนเดียวที่ยังทำให้ข้ากินมิได้นอนมิหลับก็คือศิษย์พี่เยี่ยน พวกเจ้ามิเหมือนกับข้า พวกเจ้าเป็นศิษย์สายตรงของสำนักเฟิงอี้ เมื่อข่าวการตายของพวกอาจารย์ส่งกลับมาถึง สำนักเฟิงอี้แห่งนี้ย่อมเป็นของในกระเป๋าของเจ้า หากเจ้าคิดจะฟื้นสำนักเฟิงอี้ขึ้นมาใหม่ย่อมลำบากมาถึงข้า แต่หากเจ้ามิก่อการอันใด ข้าก็จะได้ครอบครองเงินทองเป็นพันหมื่น
เกียรติยศความมั่งคั่ง ผู้ใดมิชมชอบ ข้าจี้หลิงเซียงมิต้องการเดินไปพบทางตันด้วยกันกับคนจนตรอกเช่นพวกเจ้า และมิต้องการละทิ้งความมั่งคั่งมหาศาลนี้ ขอเพียงเจ้าตาย สำนักเฟิงอี้ก็จะเหลือเพียงข้ากับหลิงอวี่
แม่ชีหลิงอวี่คนนั้นทุ่มเทใจให้กับดนตรีเพียงอย่างเดียว วรยุทธ์ธรรมดา ทั้งยังไร้อำนาจ ข้าจะจัดการนางย่อมง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ถึงเวลาทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นของข้า ในมือมีทรัพย์ศฤงคารมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีพ่อบุญธรรมสนับสนุน แล้วยังเป็นถึงสนมคนโปรดของเจ้าแคว้น อยากจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ข้าไม่สังหารเจ้า จะมิผิดต่อตนเองหรือย่างไร”
เยี่ยนอู๋ซวงหัวเราะอย่างน่าสังเวช “ดี ดี เจ้าใจเหี้ยมยิ่งนัก มิเสียทีเป็นศิษย์สำนักเฟิงอี้ แต่น่าเสียดายแผ่นดินหนานฉู่ตกอยู่ในวิกฤติแล้ว ข้าอยากจะดูสิว่าเจ้าจะเหิมเกริมได้ถึงเมื่อใด” พูดจบก็ดึงกระบี่สั้นที่เสียบอยู่บนหน้าอกออกมา โลหิตทะลักพรั่งพรู เยี่ยนอู๋ซวงสะบัดมือขาวผ่อง ริ้วรุ้งปาดผ่านพวงแก้มของจี้หลิงเซียงปานสายฟ้าแลบ แล้วปักลงบนบานประตู
จี้หลิงเซียงรู้สึกว่าใบหน้าเย็นวูบหนึ่ง นางเอื้อมมือมาแตะ ปลายนิ้วเรียวมีแต่โลหิต นางตกอกตกใจ พอตั้งสติหันกลับไปมองก็เห็นเยี่ยนอู๋ซวงหลับตาสิ้นใจไปแล้ว นางจึงกล้าเดินไปหน้ากระจกสำริด พินิจบาดแผลบนใบหน้าอย่างถี่ถ้วน โชคดีเป็นเพียงรอยเลือดเส้นหนึ่งเท่านั้น หากทายารักษาแผลสูตรลับของในวัง สิบวันย่อมหายดี นางจึงวางใจ
เงาเลือนรางของคนงามในกระจกแย้มยิ้มสว่างไสว หลังจากนั้นประกายเย็นยะเยือกก็ฉายวาบผ่านดวงตา มีดบินเล่มหนึ่งพุ่งปักร่างหญิงรับใช้ที่ตัวสั่นระริกอยู่ที่มุมห้อง เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นสั้นๆ ภายในห้อง
กำยานกลิ่นไม้จันทน์ส่งกลิ่นอบอวล สายลมวสันต์พัดผ่านม่านไหม หลิงอวี่จดจ่อสมาธิบรรเลงพิณ บทเพลง ‘ชมโฉมกล้วยไม้’ ไหลรินออกมาจากปลายนิ้ว บรรเลงบทเพลงจบ หลิงอวี่ก็ถอนหายใจแผ่วเบา หวนนึกถึงภาพยามบุรุษหล่อเหลาผู้เรียกขานตนเองว่าคุณชายสี่ผู้นั้นชี้แนะวิชาพิณให้ตน
นางก้มหน้าขับขานบทกวี “กล้วยไม้ในดงลึกไร้คนยล มีเพียงตนเพียรรักษ์กลิ่นกายหอม มิวายไร้วิญญูชนเด็ดดมดอม เฝ้าตรมตรอมจากแย้มกลีบตราบโรยรา หิมะขาวรุกรานเข้ากล้ำกราย รอจนสายวสันต์ก็มิมา ถูกทอดทิ้งริมทางดั่งต้นหญ้า มีกลิ่นสุคนธาแล้วเช่นไร[1]”
นางไล้สายพิณเหมือนตั้งใจแต่ก็คลายมิตั้งใจ ความกังวลผุดขึ้นมาในหัวใจ แม้นางจะอยู่อย่างสงบในห้องหอ มิสนใจเรื่องภายนอก แต่นางก็ยังสัมผัสได้ว่าทั้งข้างในและข้างนอกเรือนเงาจันทร์มิสงบ ผู้อาวุโสในสำนักหายหน้าไปนานแล้ว เมื่อวานนางไปคารวะเจ้าตำหนักเยี่ยนตามปกติ แต่กลับได้ข่าวว่าเยี่ยนอู๋ซวงไปจากเรือนเงาจันทร์แล้ว
นางทราบว่าเยี่ยนอู๋ซวงบาดเจ็บหนักยิ่งนัก ในใจจึงนึกสงสัยอย่างห้ามมิได้ การจัดการงานจิปาถะทั้งหลายในเรือนก็ดูน่าสงสัย ด้วยฐานะของนาง แม้จะมิสนใจไยดีงานในเรือนมาตลอด แต่หากเปิดปากถาม ผู้ดูแลก็สมควรตอบมาบ้าง แต่เมื่อวานตอนนางเอ่ยถามกลับถูกคนเหล่านั้นบอกปัดอย่างขอไปที ไม่ได้รับคำตอบมาแต่ประการใด สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้หัวใจนางไม่สงบ วันนี้จึงตัดสินใจมิออกไปรับแขก หลบอยู่ในหอบรรเลงพิณให้ตนเองเพลิดเพลินใจ
ในตอนนี้เอง หญิงรับใช้ข้างกายหลิงอวี่นามว่าหลวนเอ๋อร์ก็วิ่งโซเซเข้ามา ตะโกนว่า “คุณหนู แย่แล้วเจ้าค่ะ คนของหอหมื่นบุปผาบุกมาบอกว่าเรือนเงาจันทร์ถูกขายให้พวกเขาแล้ว แม่นางทั้งหลายตื่นตระหนกวุ่นวายไปหมด”
หลิงอวี่ลุกขึ้นยืนอย่างตกตะลึง นางเดินไปนอกประตู จับราวกั้นแล้วทอดสายตามอง ภายในสวนโกลาหลไปหมดจริงดังว่า มีชายฉกรรจ์สวมชุดของหอหมื่นบุปผาเดินว่อนไปมาทุกหนทุกแห่ง หลิงอวี่เดินวนอยู่หลายรอบอย่างมิรู้จะทำประการใด นางคิดมิออกว่าจะไปถามไถ่ผู้ใดได้บ้าง แต่แล้วนางก็นึกถึงท่าทางอึกๆ อักๆ ของผู้ดูแลคนเมื่อวานขึ้นมาได้ เขาจะต้องทราบเรื่องที่จะเกิดในวันนี้อยู่แล้วเป็นแน่
นางเดินเคว้งคว้างเข้าไปในห้องแล้วทรุดนั่งลงบนม้านั่งกลมสลักลาย ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลวนเอ๋อร์ เจ้าไปเชิญคนของผู้ดูแลหอหมื่นบุปผามา บอกว่าข้ามีเรื่องจะสอบถาม”
หลวนเอ๋อร์รีบขานรับ ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากประตู เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก “มิต้องเชิญแล้ว ผู้แซ่ว่านมาแล้ว แม่นางหลิงอวี่เป็นถึงยอดบุปผา ผู้แซ่ว่านย่อมสมควรมาเชิญด้วยตนเอง” เสียงวาจายังมิทันจางหาย บุรุษวัยกลางคนแต่งกายหรูหราคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ใบหน้ายิ้มแป้น ดูเหมือนพ่อค้าท่าทางเป็นมิตร มิเหมือนคหบดีใหญ่ผู้คุมโลกของแหล่งเริงรมย์ครึ่งหนึ่งของเจียงหนานสักนิด
หลิงอวี่ลุกขึ้นยอบกายคำนับกล่าวว่า “หลิงอวี่คารวะเจ้าหอว่าน เพราะในใจฉงนเล็กน้อยจึงจำเป็นต้องเรียนถาม มิทราบว่าเรือนเงาจันทร์กลายเป็นกิจการของเจ้าหอว่านได้เช่นไร ถึงแม่นางสองจะสิ้นแล้ว แต่เรือนเงาจันทร์ย่อมมีผู้รับช่วงดูแลต่อ มิน่าจะตกอยู่ในมือของคนนอกได้”
บุรุษวัยกลางคนถอนหายใจบอกว่า “แม่นางหลิงอวี่คงจะยังมิทราบกระมัง เจ้าของที่แท้จริงของเรือนเงาจันทร์ฝังร่างไว้บนยอดเขาเซียนสยาที่ชายแดนหมิ่นเย่ว์แล้ว เรื่องนี้เล่าลือไปทั่วเจียงหนาน เรือนเงาจันทร์เป็นน้ำไร้ต้นธารแล้ว ผู้แซ่ว่านจึงใช้เงินห้าล้านตำลึงเงินซื้อนางคณิกาทั้งหมดในสังกัดของเรือนเงาจันทร์ แม่นางก็เป็นคนหนึ่งในนั้นด้วย หากแม่นางหลิงอวี่มิเชื่อ จะดูสัญญาเหล่านี้สักหน่อยก็ได้”
หลิงอวี่รู้สึกว่าเรือนร่างอรชรซวนเซจะล้ม แม้นางจะมิได้ผูกพันกับผู้คนทั้งหลายของสำนักเฟิงอี้มากนัก แต่อย่างไรเสียก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี หากไม่มีสำนักเฟิงอี้แล้ว นางก็เป็นเพียงสตรีตัวคนเดียวท่ามกลางมหานทีแห่งผู้คน แม้นางจะเอาใจออกห่างมานานแล้ว แต่ก็มิใช่วาจะมิสะเทือนใจแม้แต่น้อย
หลวนเอ๋อร์รีบเข้ามาประคองนาง หลิงอวี่ฝืนตนเองให้เยือกเย็น จากนั้นยอบกายคำนับเอ่ยว่า “ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว ขอให้ผู้น้อยได้ตรวจดูหนังสือสัญญาก่อน หากเป็นของจริงดังว่า ผู้น้อยย่อมมิอาจขัดขวางเจ้าหอเข้ามาดูแลกิจการของเรือนเงาจันทร์”
เจ้าหอว่านวางหนังสือม้วนหนึ่งไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง หลิงอวี่ก้าวเข้าไปตรวจดูอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าหนังสือสัญญาล้วนเป็นของจริง แม้นางจะมิสนใจงานภายในเรือน แต่ก็ทราบว่าคนที่จะนำของเหล่านี้ออกมาได้มีไม่มาก ในใจถอนหายใจ หากเป็นการกระทำของศิษย์น้องสามจริง ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่ท่านอาจารย์ตายอยู่บนยอดเขาเซียนสยาก็คงจริงแท้แน่นอนแล้ว
สิ่งที่ทำให้หลิงอวี่ตกใจมากกว่าก็คือนางเห็นสัญญาขายตัวของตนเองอยู่ด้วย ตอนแรกนางถูกเซียวหลานซื้อตัวมา ต่อมานางถูกจี้เสียรับไว้เป็นศิษย์ สัญญาฉบับนี้จึงมิมีประโยชน์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางมิเชื่อว่าสำนักเฟิงอี้จะยอมปล่อยตนเองไป นางจึงมิสนใจเรื่องสัญญาขายตัวอีก คิดมิถึงว่าจี้หลิงเซียงจะใจเหี้ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับขายตนให้กับหอหมื่นบุปผา นี่มิใช่ปล่อยให้ตนเองถูกคนอื่นจับวางตามใจหรืออย่างไร พอคิดมาถึงตรงนี้ ในหัวใจก็ร้อนรนดังเพลิงเผา เรือนร่างอรชรอ่อนยวบ เป็นลมล้มพับไปในอ้อมแขนของหลวนเอ๋อร์
ความจริงนี่เป็นเพราะตลอดมาหลิงอวี่มิเคยเห็นตนเองเป็นคนในยุทธภพ นางจึงมิทันคิดอย่างสิ้นเชิงว่านางใช้วรยุทธ์แก้ปัญหาได้ หากมิใช่เช่นนั้น แม้นางจะวรยุทธ์มิสูงนัก แต่หากคิดจะหนีก็มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้
[1] กล้วยไม้กลางดง (幽兰) บทกวีประกอบการบรรเลงพิณ ของชุยถู (崔涂) กวีสมัยราชวงศ์ถัง