ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 132 แก้แค้นถึงเมื่อใดจึงพอ (1)
ปีที่สิบเอ็ด จวิ้นอ๋องรับบัญชาเป็นแม่ทัพทัพหน้า ท่านอ๋องแกล้วกล้ายิ่งนัก ทุกครั้งล้วนเอาตนเองไปอยู่เป็นแนวหน้า กวัดแกว่งศาสตราวุธอยู่หน้ากองทัพ ผู้คนมิกล้าสบตาเขาตรงๆ
วสันต์ปีที่สิบสาม กองทัพทุกเหล่าได้รับพระบัญชาให้ข้ามแม่น้ำ กองทัพของจิงฉือกับกองทัพของเผยอวิ๋นนำทัพบุกเจี้ยนเย่ เจ้าแคว้นหนานฉู่หวาดกลัวยิ่งนัก พาสนมทั้งหลายในวังและราชองครักษ์หนีไปยังตังถู กองทหารราชองครักษ์ทราบข่าวก็สับสนวุ่นวาย เกิดการเผาปล้นฆ่า ขุนนางและประชาชนเจี้ยนเย่ต่างประสบทุกข์จึงเปิดประตูเมืองขอยอมจำนน
จวิ้นอ๋องเป็นทัพหน้าของกองทัพจิงฉือ มีทหารเพียงห้าพันนาย ทหารบางคนแนะนำเขาว่าควรรอแม่ทัพหลักของกองทัพมาถึงก่อน แต่จวิ้นอ๋องมิยอม นำไพร่พลบุกเข้าเมือง ส่งทหารคุ้มกันวัดวาอารามเป็นอย่างแรก จากนั้นนำทหารคุมสถานการณ์ในตัวเมือง สังหารทหารที่ก่อเภทภัยจนสิ้น เจี้ยนเย่จึงสงบ ชื่อเสียงของท่านอ๋องขจรขจายทั่วหล้า
จวิ้นอ๋องสร้างความดีความชอบโดดเด่นจึงได้รับมอบหมายให้นำทัพเพียงลำพัง ท่านอ๋องตะลุยกำราบเจียงหนาน ตีเมืองมากมายเช่น อวี้จาง อี๋ชุน หลูหลิง ผัวหยาง หลินชวน สร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ภายในกองทัพชื่นชมเขาว่าเป็นยอดคนรุ่นใหม่ จวิ้นอ๋องเป็นคนเข้มงวด คุมกฎกองทัพอย่างเคร่งครัด ตัดสินใจเด็ดขาด ชาวหนานฉู่ต่างหวาดกลัว ทว่าเขาค่อนข้างชมชอบทหารผู้กล้า ตัดใจทำร้ายมิลง แม้นมีคนล่วงเกินก็ลงโทษเพียงจับใส่รถนักโทษส่งไปยังเจี้ยนเย่เท่านั้น ยามนั้นรัชทายาทหลี่จวิ้น รักษาการณ์อยู่ที่เจี้ยนเย่ เห็นทีไรล้วนหัวเราะแล้วบอกให้ละเว้นโทษพวกเขา
ปีที่สิบสี่ ใต้หล้าเริ่มสงบ ไท่จงปรารถนาจะส่งขุนนางคนสำคัญไปปกครองหนานหมิ่น ดินแดนหมิ่นมีสถานที่รกร้างอยู่มาก หนทางยากลำบาก ผู้คนล้วนมิอยากไป จวิ้นอ๋องขันอาสาปกครองแปดเมืองแห่งแดนหมิ่นอย่างตั้งใจจริง ยินดีเป็นปราการป้องกันหนานไห่ ไท่จงชื่นชมเขาจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้บัญชาการทหารหนานหมิ่น อนุญาตให้ก่อตั้งกองทหารและแต่งตั้งขุนนางชั้นสูงช่วยปกครองดูแลสามคน
จวิ้นอ๋องปกครองดินแดนหมิ่นเก้าปี บูรณะทางหลวง ขุดลอกคูคลอง ช่วยเหลือชาวไร่ชาวนา กำราบผู้มีอิทธิพล ชาวหมิ่นต่างจดจำความดีของเขา
ปีที่ยี่สิบสอง ท่านอ๋องสู่ขอบุตรีของลู่ช่านอดีตแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่เป็นพระชายา ไท่จงส่งทูตไปพระราชทานสมรส ออกพระราชโองการให้จัดพิธีเฉกเช่นบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง
ปีต่อมา ไท่จงเรียกตัวจวิ้นอ๋องกลับราชสำนัก ชาวบ้านต่างประคองผู้เฒ่าผู้แก่จูงลูกเล็กเด็กแดงมาส่งท่านอ๋องออกเดินทางเป็นระยะทางสามสิบลี้
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติจยาจวิ้นอ๋อง
ฮั่วฉงเดินทางมาจงหลี นอกจากเพราะรับบัญชาจากองค์รัชทายาทให้มาเยี่ยมหลี่หลิน ก็ยังมีสาเหตุอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือมาเพราะสืออวี้จิ่นกับลู่เหมย
แต่เดิมต่งเชวียรับคำสั่งจากเจียงเจ๋อให้ช่วยทั้งสองคน ต่อมาเจียงเจ๋อก็เตรียมจะส่งคนมารับพวกนางเดินทางไปสวีโจวเมื่อจิงฉือบุกโจมตี แต่คิดมิถึงว่าจิงฉือยังมิทันบุกยึดดินแดนไหวซีสำเร็จ เจียงเจ๋อก็ได้ข่าวจากต่งเชวียว่าสืออวี้จิ่นให้กำเนิดบุตร นางพักรักษาตัวมิทันถึงสองเดือนก็มิยินดีอยู่ต่อแล้ว
หลังจากนางทราบข่าวสถานการณ์ภายนอกจากปากต่งเชวียก็คิดจะพาลู่เหมยกับบุตรรักไปส่งที่ทิงโจว หลังจากนั้นค่อยย้อนกลับขึ้นเหนือตามหาร่องรอยของลู่อวิ๋น เดิมทีต่งเชวียใช้ฐานะนักพรตพเนจรช่วยสตรีทั้งสองนางเอาไว้ เขาย่อมมิสะดวกจะขัดขวางสืออวี้จิ่นจากการทำเช่นนั้น จึงได้แต่ส่งข่าวด่วนไปสวีโจว
หนนี้ฮั่วฉงรับคำสั่งให้เดินทางมาเพื่อที่ว่าหากสืออวี้จิ่นเกิดความขัดแย้งประการใดกับกองทัพต้ายง เขาจะได้เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย มาตอนนี้หลี่หลินตกหลุมรักลู่เหมยตั้งแต่แรกพบ เขาย่อมมิต้องกังวลใจอีกต่อไปแล้ว หลังจากจัดการส่งเสบียงเรียบร้อย เขาก็ลอบเปรยเรื่องราวกับจิงฉือ กำชับหลี่หลินเสร็จสองสามคำ เช้าวันต่อมาก็ออกเดินทางไปสวีโจว
เพราะเร่งรีบเดินทางกลับสวีโจว ดังนั้นฮั่วฉงจึงพาราชองครักษ์หู่จีออกเดินทางไปด้วยเพียงสี่คน สี่คนนี้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่คุ้มครองเขาตั้งแต่สมัยอยู่ที่ติ้งไห่ รู้จักกันมาหลายปี ต่างฝ่ายต่างรู้ใจกันอย่างยิ่ง พวกเขาทราบว่าเขาร้อนใจ ระหว่างทางจึงหวดแส้เร่งอาชาตลอดทางไม่มีแวะพัก จวบจนกระทั่งเที่ยงวัน แสงตะวันเจิดจ้าแสบตา คนและม้าต่างเหนื่อยล้าแล้ว ฮั่วฉงเห็นวัดร้างแห่งหนึ่งข้างทาง จึงยกแส้ชี้เอ่ยว่า “ใกล้เที่ยงแล้ว พักด้านหน้าสักหน่อยเถิด” องครักษ์ทั้งสี่นายขานตอบเป็นเสียงเดียว
ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นสถานที่ซึ่งนักเดินทางมักจะแวะพัก เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมาต้ายงกับหนานฉู่ทำศึกกันที่ไหวซี ดังนั้นมันจึงถูกทิ้งร้าง แต่ก็ยังพอหลบลมหลบฝนได้ ทั้งห้าคนควบอาชาเหยาะย่างมาถึงหน้าวัดก็พลิกกายลงจากม้าแล้วผูกม้าไว้ที่หน้าวัด คนหนึ่งหยิบถังไม้จากตรงชานวัดไปตักน้ำสะอาดจากในป่าด้านหลัง อีกสามคนดูแลม้าและเตรียมทำอาหารเที่ยงตรงบันได
ฮั่วฉงเห็นทุกคนยุ่งอยู่จึงไปเดินเล่นด้านนอกวัดเพียงลำพัง ตั้งใจจะคลายกระดูกกับเส้นเอ็นสักหน่อย พอเห็นองครักษ์หิ้วน้ำออกมา ได้ยินเสียงธารน้ำไหลรินอยู่ในป่าคลับคล้ายเสียงพิณบรรเลงก็บังเกิดความคิดอยากไปสำรวจดู เขาจึงบอกกล่าวองครักษ์ทั้งหลายแล้วเดินไปทางป่าด้านหลัง องครักษ์คนหนึ่งลุกขึ้นจะตามมาคุ้มกัน แต่ถูกฮั่วฉงห้ามไว้
ยามนี้สถานการณ์แถวเจียงไหวต่างจากปีกลาย นับตั้งแต่สิ้นลู่ช่าน กองทัพหนานฉู่ที่ไหวหนานก็กลายเป็นเต่าหดหัว มิต้องพูดถึงการส่งทหารสอดแนมแทรกซึมเข้ามาในเขตต้ายง ดังนั้นฮั่วฉงจึงไม่กังวลว่าจะพบการลอบสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นฮั่วฉงก็เป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง หากพบทหารสอดแนมทั่วไปของหนานฉู่ เขาก็คงมิถูกผู้อื่นสังหารง่ายๆ ดังนั้นองครักษ์คนนั้นลังเลครู่หนึ่งก็มิได้ติดตามมา
ฮั่วฉงเดินออกมาไกลหลายสิบจั้งก็มองเห็นธารน้ำใสสายหนึ่งในป่า ธารน้ำใสกระจ่างจนเห็นก้น ในธารน้ำมีมัจฉาแหวกว่าย ใจเขาเกิดความรู้สึกผ่อนคลายจึงนั่งลงบนก้อนหินริมธารน้ำ นั่งริมธาราชมมัจฉา สุขอุราหาใดเปรียบ
ขณะที่ฮั่วฉงนั่งพิงบนก้อนหิน ปล่อยให้แสงแดดอบอุ่นที่ลอดผ่านร่มไม้เขียวขจีตกต้องร่าง สะลึมสะลืมใกล้เคลิ้มหลับนั่นเอง หูก็ได้ยินเสียงเหยียดหยันเอ่ยว่า “ยามนี้คุณชายฮั่วตำแหน่งสูงเทียมเมฆา คงลืมเลือนความแค้นต่อผู้ที่สังหารบิดาและทำให้แว่นแคว้นล่มสลายเสียแล้ว”
ฮั่วฉงสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย เขาเม้มริมฝีปากแน่น ข่มกลั้นความต้องการที่จะร้องขอความช่วยเหลือ มิใช่เพียงเพราะปลายแหลมของสิ่งที่จ่ออยู่ชิดแผ่นหลังของเขา แต่ยังเป็นเพราะคำพูดของคนผู้นั้นด้วย
คนผู้นั้นที่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ “คุณชายฮั่วฉลาดเฉลียวจริงๆ ครั้งนั้นตอนฮั่วจี้เฉิงหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วตายใต้เงื้อมมือศัตรู แม้แต่ชื่อก็ยังถูกผู้อื่นแย่งชิงไป คงคิดมิถึงว่าบุตรชายสุดที่รักของตนจะมีวันนี้กระมัง”
แววตาฮั่วฉงเย็นยะเยือก กล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าพูดไร้สาระอันใด ผู้แซ่ฮั่วมิเข้าใจความหมายของเจ้า” เพิ่งเอ่ยจบก็รู้สึกว่าคมแหลมด้านหลังร่างย้ายตำแหน่ง
จากนั้นก็มีคนมานั่งบนก้อนหินเขียวข้างกาย เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “มิทราบว่าคุณชายฮั่วยังจำลี่หมิงผู้นี้ได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเป็นคนพาคุณชายกับฮั่วฮูหยินมาส่งที่ฉางอัน หลายปีที่ผ่านมารูปโฉมของคุณชายมิได้เปลี่ยนไปเท่าใดนัก แม้แต่ปานแดงตรงหว่างคิ้วจุดนั้นก็ยังอยู่ดังเดิม
สมัยก่อนมีหมอดูทำนายชะตาจากรูปลักษณ์บอกว่านี่คือ ‘ชะตาไข่มุกเร้นหลบในพงหญ้า’ ฉลาดหลักแหลมมากสติปัญญา พบเรื่องร้ายแต่กลับกลายเป็นดี ดูจากตอนนี้หมอดูคนนั้นช่างทำนายได้แม่นยิ่งนัก ผู้ใดจะคิดว่าบุตรชายแท้ๆ ของฮั่วจี้เฉิง ผู้ร้ายหลบหนีที่ต้ายงและหนานฉู่สองแคว้นต่างออกประกาศจับ วันนี้กลับกลายมาเป็นศิษย์ของเจียงเจ๋อขุนนางใหญ่แห่งต้ายง ทั้งยังได้รับความไว้วางพระทัยจากหลี่จวิ้นผู้เป็นรัชทายาท วันหน้าคงได้เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โต เพียบพร้อมทั้งลาภยศ
มีอาจารย์เช่นไรก็มีศิษย์เช่นนั้นจริงๆ อาจารย์ของท่านทรยศหนานฉู่ไปเข้ากับต้ายง คุณชายฮั่วก็นับถือคนชั่วเป็นบิดา นี่คงกล่าวได้ว่าสีครามเข้มยิ่งกว่าต้นคราม”
ฮั่วฉงหน้าซีดจนเหมือนขี้เถ้า เขามิมองคนผู้นั้นสักหน เพียงจับจ้องสายน้ำเบื้องหน้าเงียบงันมิพูดจา เดิมทีเขามิใช่คนที่จะถูกผู้อื่นข่มขู่ง่ายดายเช่นนี้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่คนผู้นี้พูดดันไปสะกิดปมในใจที่เขาเก็บซ่อนมาหลายปี จึงทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
คนผู้นั้นกล่าวเสียงเย็นชา “ในตอนนั้นท่านหัวหน้าตัดสินใจฟื้นฟูแว่นแคว้น เพื่อการนี้เขามิเสียดายหากต้องสละชีวิต ทว่าคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว ดังนั้นตอนแต่งงานกับฮูหยิน เขาจึงเก็บเป็นความลับมิบอกกล่าว หลังจากคุณชายลืมตาดูโลกก็ส่งครอบครัวไปฉางอัน นี่เป็นความใส่ใจของท่านหัวหน้า แม้ฉางอันจะเป็นนครหลวงของต้ายง แต่กลับปลอดภัยกว่าสถานที่ทั่วไป มิมีภัยสงคราม ขอเพียงตัวตนของฮูหยินกับคุณชายมิถูกแพร่งพรายก็ลงหลักปักฐานอย่างสงบสุขได้
แม้ผู้คนใต้หล้าต่างคิดว่าท่านหัวหน้าตายในการก่อกบฏของชิ่งอ๋องที่ตงชวนเมื่อปีรัชศกหลงเซิ่งที่หนึ่ง แต่ท่านกับข้าต่างทราบดีว่า ตั้งแต่ปีรัชศกอู่เวยที่ยี่สิบสี่ ฮูหยินก็ขาดการติดต่อกับท่านหัวหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าข้ามิใช่คนในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ฮูหยินเองก็ไร้หนทางติดต่อกับคนสนิทของท่านหัวหน้าในกลุ่ม ดังนั้นสุดท้ายจึงมิทราบว่าคนที่แอบอ้างนามของท่านหัวหน้าตระเวนไปทั่วหล้าผู้นั้นคือผู้ใด
ต้นปีรัชศกอู่เวยที่ยี่สิบห้า ฮูหยินล้มป่วยจากไป คุณชายทำพิธีศพให้ฮูหยินเสร็จจู่ๆ ก็ออกเดินทาง ข้าเคยให้คนลอบค้นหา แค่คิดมิถึงว่าคุณชายจะเข้าไปอยู่ในจวนยงอ๋อง ยามนี้นึกทบทวนดูแล้ว ตอนนั้นคุณชายคงจะต้องการสืบหาร่องรอยของท่านหัวหน้า หากท่านหัวหน้าพบพานเรื่องมิคาดฝันประการใด ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้มากที่สุดว่าคนร้ายจะเป็นคนต้ายง เพียงแต่มิรู้ว่าเป็นฝีมือของยงอ๋องหลี่จื้อหรือว่ารัชทายาทหลี่อันก็เท่านั้น
ท่านเลือกเข้าไปในจวนยงอ๋องเป็นตัวเลือกที่ไม่ผิด เพียงแต่เมื่อลาภยศสรรเสริญมาล่อลวง เกียรยศพานทำให้ปณิธานสั่นคลอน วันนี้คุณชายคงลืมความแค้นของบิดามารดาไปสิ้นแล้วกระมัง”