ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 134 แก้แค้นถึงเมื่อใดจึงพอ (3)
เจียงเซิ่นอ้าปากกว้าง ตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ลืมเสียสนิทว่าตนเองยังอยู่บนหลังม้าจนเกือบพลัดตกลงมา โชคดีที่เขาฝึกฝนวรยุทธ์จนบรรลุในระดับหนึ่งแล้ว มือเท้าจึงรีบคุมสายบังเหียนเป็นพัลวัน ฮั่วฉงหลุดหัวเราะพรืดออกมาด้วยเหมือนกัน ความกลัดกลุ้มทุกข์ใจหลายวันนี้แทบจะถูกกวาดหายไปในคราเดียว เหลือแต่โหรวหลันหน้าแดงก่ำ ทำท่าแง่งอนปฏิเสธ
เหตุการณ์เล็กๆ ที่เข้ามาขัดหนนี้ทำให้ความเศร้าของการจากลาจางหาย จวบจนกระทั่งราชรถขององค์หญิงฉางเล่อหายลับไปจากสายตา ฮั่วฉงก็ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า จนกระทั่งโหรวหลันพึมพำขึ้นข้างหูเขา “เสด็จลุงก็จริงๆ เลย มิใช่แค่มีคนถวายฎีการ้องเรียนเท่านั้นหรือ เท่านี้ก็ต้องรีบเรียกท่านแม่กลับเมืองหลวงแล้ว หากข้าเป็นท่านพ่อจะกลับไปด้วยกันเสียเลย จะได้มิต้องเหน็ดเหนื่อยรากเลือดเสียเปล่า”
ฮั่วฉงหัวใจสั่นไหว ความสุขใจเมื่อครู่จางหายไป ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “หลันเอ๋อร์จะกล่าววาจาล่วงเกินมิได้ คำพูดนี้หากแพร่ออกไป น่ากลัวว่าจะนำความยุ่งยากมาให้ ฝ่าบาทจะคลางแคลงท่านอาจารย์ได้อย่างไร พระองค์น่าจะทำเพื่อให้ขุนนางที่ร้องเรียนพวกนั้นเงียบปากเสียมากกว่า”
โหรวหลันฟังแล้วก็เอ่ยอย่างขัดใจ “ท่านพ่อก็บอกเช่นนี้ แต่ข้ารู้สึกไม่ยินยอม หากข้าทราบว่าผู้ใดเป็นคนร้องเรียนท่านพ่อ ข้าจะถอนหนวดของเขาเสีย”
ฮั่วฉงหัวเราะ “เอาล่ะ อย่าก่อเรื่อง ข้าต้องไปพบท่านอาจารย์แล้ว หากเจ้ายังไม่กลับ ข้าจะมิรอเจ้าแล้วนะ”
โหรวหลันกลอกตาแล้วบอกว่า “พี่ฮั่ว ท่านช่วยขอความเมตตาให้ข้าสักเรื่องสิ ท่านพ่อห้ามมิให้ข้าเดินทางไปฉู่โจว แล้วยังบอกให้ข้าร่ำเรียนวิชาเย็บปักถักร้อยงานบ้านงานเรือนให้ดีอีก ข้ามิชอบงานยุ่งยากพวกนั้น ท่านพ่อรักท่านที่สุด หากท่านพูด ท่านพ่อต้องตกลงแน่”
ฮั่วฉงเจ็บแปลบในหัวใจ ฝืนตอบว่า “ก็ได้ ข้าจะไปเปรยกับท่านอาจารย์ แต่หากท่านอาจารย์มิตกลง ข้าก็จนหนทางเช่นกัน”
ทั้งสองคนควบอาชามุ่งไปยังสวนผลึกหยกที่เจียงเจ๋อรักษาตัวอยู่ ระหว่างนั้นหูได้ยินเสียงเอะอะจากสองข้างทาง มิรู้เพราะเหตุใด หัวใจของฮั่วฉงจึงค่อยๆ สงบลง มิโศกเศร้าหดหู่เช่นเมื่อครู่อีก ภาพในอดีตเหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าผุดขึ้นมาในหัวใจ
เขาทราบว่าคำพูดของคนผู้นั้นมีจุดที่มิใช่ความจริงอยู่หลายประการ ท่านพ่อมิใช่ผู้มีปณิธานมุ่งมั่นจะฟื้นฟูแว่นแคว้น ยิ่งไปกว่านั้นการที่ส่งตนกับท่านแม่มาซ่อนตัวอยู่ในฉางอันก็มิใช่เพื่อความปลอดภัยของสองแม่ลูก แม้ยามนั้นเขาจะยังอายุน้อย แต่ก็จดจำเรื่องราวได้มากมาย โดยเฉพาะความเคียดแค้นทุกข์ตรมที่ท่านแม่มักจะระบายให้ตนฟัง บางทีท่านอาจคิดว่าตนเองฟังมิเข้าใจกระมัง มิเช่นนั้นท่านแม่ผู้เป็นสตรีอ่อนโยนจิตใจดีถึงเพียงนั้นคงมิบอกเล่าความผิดของสามีออกมาให้ฟังเป็นแน่
แต่คนผู้นั้นกลับมีอย่างหนึ่งที่พูดไม่ผิด นั่นก็คือท่านพ่อตายในเงื้อมมือของท่านอาจารย์จริงๆ ส่วนตนก็ลืมเลือนความแค้นของบ้านเมืองและความแค้นของครอบครัวไปแล้วจริงๆ
เขามิเคยคิดว่าตนเองเป็นชาวแคว้นสู่ หลังจากเขาเกิด แคว้นสู่ก็ใกล้ล่มสลายแล้ว วัยเยาว์ของเขาใช้ชีวิตอยู่ในฉางอัน ต่อมาก็เติบใหญ่ขึ้นในสวนเหมันต์ เขามิเคยใส่ใจความแค้นของบ้านเมือง มีเพียงความแค้นของครอบครัวที่เขามิเคยลืมเลือนสักเพลา
ตอนนั้นที่พุ่งเข้าไปชนรถม้าของจวนยงอ๋อง เขาจงใจ เขาคิดจะใช้วิธีนี้ปะปนเข้าไปในจวนยงอ๋อง เวลานั้นความปราถรนาของเขามีเพียงต้องการทราบว่าบิดาอยู่หรือตาย จากนั้นไปบอกมารดาคนงามที่ล่วงลับแล้วสักคำ
ผู้ใดจะคิดว่าวาสนานำพาให้พานพบ เขาได้มาเป็นศิษย์ของเจียงเจ๋อ สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นความทุกข์ในใจเขา ความชื่นชมและความไว้ใจของเจียงเจ๋อทำให้เขาล่วงรู้ความลับมากมาย และเริ่มคาดเดาสาเหตุการตายของบิดาได้จากเบาะแสต่างๆ แต่คำสั่งสอนและความรักของเจียงเจ๋อกลับทำให้เขาได้รู้จักความรักของบิดาที่เขามิเคยได้รับ หัวใจของเขานับถือเจียงเจ๋อเป็นดั่งบุพการีมานานแล้ว ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นคนทำให้บิดาผู้ให้กำเนิดเขาต้องตาย
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจหนีจากความจริงเรื่องนี้ ขอเพียงตนเองมิได้รับหลักฐานแน่ชัด เขาก็จะหลอกตนเองว่าเจียงเจ๋อมิใช่ศัตรูคู่แค้นที่สังหารบิดาของตน ต่อมาสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือตัวตนถูกเปิดโปง เมื่อเจียงเจ๋อทราบตัวตนของตน ด้วยนิสัยของเจียงเจ๋อ เขาจะต้องอธิบายความจริงให้ฟังแน่ เขามิกลัวเจียงเจ๋อขับไล่ออกจากสวนเหมันต์ มิกลัวเจียงเจ๋อทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอยากอยู่ก็มิได้ อยากตายก็มิได้ ถึงขั้นที่มิกลัวเจียงเจ๋อสังหารเขา สิ่งที่เขากลัวก็คือการมิรู้ว่าควรจะเลือกอย่างไรระหว่างบุญคุณกับความแค้น เกรงว่าเมื่อถึงยามนั้น นอกจากปลิดชีพตนเสีย เขาคงมิมีหนทางอื่นให้เดินอีกต่อไป
ทว่าความลับที่ตนเพียรพยายามปกปิดสุดท้ายก็ถูกคนเปิดโปงจนได้ สุดท้ายตนก็มิอาจหลอกตนเองได้อีกต่อไป ในที่สุดก็มาถึงสวนผลึกหยก ฮั่วฉงลงจากม้า เดินตามโหรวหลันทีละก้าวไปยังที่พำนักของเจียงเจ๋อ เขารู้สึกว่าฝ่าเท้าเหมือนเหยียบลงบนปุยนุ่น หยัดยืนมิใคร่อยู่อย่างสิ้นเชิง สายตาจับจ้องบนบานประตูที่แง้มปิดอยู่ ทันใดนั้นฮั่วฉงก็รู้สึกสงบเยือกเย็นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ที่แท้ยามเผชิญหน้ากับความจริงกลับมิได้น่ากลัวเช่นนั้นอย่างในจินตนาการ
ภายในห้อง เสียงเอื่อยเฉื่อยของเจียงเจ๋อดังออกมา “ฉงเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ เข้ามาเถิด หลันเอ๋อร์ ข้าชอบน้ำแกงชามเมื่อวานมาก เจ้าไปบอกห้องครัวสักหน่อยว่ามื้อเย็นวันนี้เอาน้ำแกงเช่นนั้นอีก”
ฮั่วฉงยิ้มเจื่อนๆ ฟังเสียงฝีเท้าของโหรวหลันเดินไกลออกไป จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าผลักประตูเดินเข้าไป สายตาหวั่นไหวเพียงวูบเดียวก็กลับมาแน่วแน่ในทันที
เขาคิดว่าเจียงเจ๋อจะยังหดหู่เศร้าหมองอย่างเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเสียอีก ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อกวาดสายตามองไปกลับพบเจียงเจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ สวมเพียงอาภรณ์ตัวกลาง คลุมไหล่ด้วยเสื้อตัวหลวมโพรก กำลังยกน้ำชาหอมฟุ้งขึ้นจิบพลางชื่นชมตัวอักษรบนโต๊ะ สีหน้าผ่อนคลายสบายใจ มิมีสีหน้าทุกข์ตรมแม้สักนิด
ฝ่ายเสี่ยวซุ่นจื่อนั่งอยู่หน้ากระดานหมาก ในมือถือตำราเก่าเล่มหนึ่ง กำลังเดินหมากแข่งกับในตำราอยู่ตรงนั้น เขาหยิบเม็ดหมากวางลงบนกระดานเป็นระยะ สองนายบ่าวพักผ่อนสบายอุราจนราวกับว่าความอึมครึมเมื่อหลายเดือนก่อนสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พอฮั่วฉงเดินเข้ามา เสี่ยวซุ่นจื่อไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ส่วนเจียงเจ๋อกลับเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ “ฉงเอ๋อร์พบอาจารย์หญิงของเจ้าแล้วกระมัง ความจริงนางเป็นห่วงมากเกินไปแล้ว ยามนี้ข้าอาการดีขึ้นมาก ต่อให้นางมิอยู่ข้างกายข้าก็มิมีปัญหาแต่ประการใด กลับเมืองหลวงไปย่อมดีกว่าอยู่บ้าง พวกคร่ำครึพวกนั้นจะได้มิต้องปากมากปากบอน”
เห็นเจียงเจ๋อสีหน้าสงบสุข ฮั่วฉงก็พลันรู้สึกโล่งใจ เขาโยนความทุกข์ความกลัดกลุ้มทิ้งไปอย่างไม่รู้ตัวแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์อารมณ์ดีเช่นนี้ มีเรื่องดีอันใดเกิดขึ้นหรือ”
ข้าหัวเราะตอบว่า “มีเรื่องดีอะไรที่ไหนเล่า กองทัพสี่ทางยกทัพพร้อมกัน มีแต่ฝั่งไหวซีที่ราบรื่นยิ่งนัก ฝั่งปาจวิ้นทางนั้นเดิมทีอวี๋เหมี่ยนเหมือนตั้งใจจะยอมสวามิภักดิ์ แต่กลับมีคนผู้หนึ่งนำกระบี่คู่กายของลู่ช่านไปมอบให้ อวี๋เหมี่ยนผู้นั้นจึงสาบานต่อสวรรค์ว่าจะมิมีวันยอมจำนน เกรงว่าอยากจะตีปาจวิ้นคงต้องสิ้นเปลืองกำลังสักหน่อยแล้ว”
เห็นเจียงเจ๋อเอ่ยถึงลู่ช่านโดยมิมีสีหน้าเศร้าสร้อยอีกแล้ว หัวใจฮั่วฉงก็สั่นไหววูบหนึ่ง ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอาจารย์มิเสียใจกับเรื่องของแม่ทัพใหญ่แล้วหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อได้ยินพลันเงยหน้าขึ้นมาทันควัน ดวงตาฉายแววมิพอใจ ฮั่วฉงก้มหน้างุด รู้สึกว่าตนเองมิสมควรพูดแทงจุดเจ็บในหัวใจของอาจารย์ ทว่าเวลานี้เองเขากลับได้ยินเสียงนุ่มนวลสุขุมของเจียงเจ๋อลอยเข้ามาในหู
“เฮ้อ ความจริงเรื่องนี้ข้าเตรียมใจมานานแล้ว ช่วงเวลานั้นข้าเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้น คนตายไปแล้ว ต่อให้เสียใจแล้วจะทำประการใดได้อีกเล่า ข้ากับลู่ช่านผูกพันกันลึกซึ้ง แต่มิอาจสู้คำว่าภักดี หากลู่ช่านเป็นฝ่ายสังหารข้า เขาเองก็คงเจ็บปวดยากจะทนไหวเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อเรื่องราวผ่านพ้น เขาก็ยังจะนำทัพออกรบสังหารศัตรูอยู่ดี
ในเมื่อข้ามิเสียใจกับสิ่งที่ทำในวันนั้น แล้วไยต้องเก็บมากลัดกลุ้มทุกข์ใจให้คนที่รักข้าเจ็บปวด ให้ศัตรูเบิกบานใจ แม้เขาจะพลีชีพเพื่อคุณธรรม แต่เขาก็คงมิชอบใจที่เห็นข้าเศร้าโศกหรอกกระมัง บางเรื่องสุดท้ายย่อมต้องเผชิญ สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดคือภักดีกตัญญู ขอเพียงใจเป็นสุข ไยต้องสนใจความเห็นของใต้หล้า”
ฮั่วฉงได้ยินสองประโยคสุดท้ายของเจียงเจ๋อพลันรู้สึกเหมือนได้ประพรมน้ำมนต์บรรลุธรรม หัวใจฉับพลันพานพบแสงสว่าง ความมีชีวิตชีวากลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกหน เขาเงียบงันครู่หนึ่งก่อนจะแย้มรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์คิดตกก็ดีแล้ว มิน่าอาจารย์หญิงจึงยอมรับราชโองการเดินทางกลับเมืองหลวง เพราะท่านอาจารย์มิเป็นอันใดแล้วนี่เอง ศิษย์เดินทางมาหนนี้มีข่าวดีมารายงานเช่นกัน หากท่านอาจารย์ฟังแล้ว เกรงว่าจะยิ่งเบิกบานใจขึ้นอีก”
ข้ารู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงบอกว่า “เจ้ารีบกลับมาเร็วเช่นนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าเรื่องนั้นต้องคลี่คลายแล้วเป็นแน่ เล่าข่าวดีของเจ้ามาสิ”