ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 141 พรากคู่สกุณา (3)
อวี๋หลุนยิ้มเย็นชา พัดในมือสะบัดชี้ ประกายแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญของบุรุษผู้นั้น เขากะจังหวะกระบี่ของหลิงอวี่อย่างแม่นยำ อาวุธลับชิ้นนี้เล็งตรงไปยังตำแหน่งที่ร่างกายของบุรุษผู้นั้นจะขยับมาพอดี
แต่เดิมทุกสิ่งมิมีข้อผิดพลาด ทว่าพริบตาที่อาวุธลับพุ่งออกไป อวี๋หลุนก็พลันหน้าถอดสี เพราะจู่ๆ ร่างของหลิงอวี่กลับโผล่มาอยู่ในเส้นทางของอาวุธลับ สถานการณ์หลุดจากการคาดการณ์ของอวี๋หลุน อาวุธลับของเขากำลังจู่โจมเข้าไปยังกลางแผ่นหลังของหลิงอวี่ เมื่อเห็นสตรีผู้อ่อนหวานนุ่มนวล มิเคยคิดแย่งชิงกับผู้ใดคนนี้กำลังจะกลายเป็นบุปผาปลิดปลิว อวี๋หลุนก็ร้องตกใจออกมาอย่างห้ามตนเองมิได้
หลิงอวี่ยังมิทราบว่ามีอันตรายอยู่เบื้องหลัง แม้นางจะมิชอบวรยุทธ์ แต่หากฝึกได้ย่ำแย่เกินไปก็ยากจะรับมือกับจี้เสีย อีกประการหนึ่งนางฉลาดเฉลียวมาแต่กำเนิดจึงฝึกวิชาจนบรรลุมาบ้าง เพียงแต่ขาดประสบการณ์ประมือกับผู้อื่นและไม่มีความกล้าพอจะจับอาวุธเข่นฆ่าผู้คนก็เท่านั้น
หนนี้ถูกบีบบังคับส่งตัวมายังค่ายต้ายง ในใจนางเองก็หวาดกลัวเช่นกัน นางจึงค้นกระบี่อ่อนที่จี้เสียเคยมอบให้ตนในอดีตพกติดตัวมาด้วย นอกจากหลิ่วหรูเมิ่ง ผู้อื่นล้วนมิล่วงรู้
เมื่อครู่จู่ๆ เห็นมีคนปรากฏตัวออกมาจะสังหารอวี๋หลุน ระหว่างห้วงอันตราย หลิงอวี่สายตามิเฉียบคมพอจึงมองมิออกว่าคนผู้นั้นมิได้ต้องการจะสังหาร ประกอบกับเห็นหลิ่วหรูเมิ่งสีหน้าตื่นตระหนก นางจึงรวบรวมความกล้าชักกระบี่อ่อนที่เอวพุ่งออกมาขวาง
นางมิกล้าขบคิดสิ่งใดทั้งสิ้น ประกายกระบี่ขยับว่องไวดุจอสนีบาต เหวี่ยงตวัดมิขาดสาย เพื่อช่วยชีวิตคน หัวใจของนางจึงไร้ความคิดว้าวุ่น นางปิดกั้นความกลัว จิตกับกระบี่ประสานเป็นหนึ่ง มือขยับเคลื่อนได้ดั่งใจจนขวางการจู่โจมของคนผู้นั้นเอาไว้ได้
ทว่าหลังจากประมือกันสามสี่กระบวนท่า เมื่อใจนางทราบว่าซ่งอวี๋น่าจะพ้นอันตรายแล้ว พอเห็นกระบี่ของคนผู้นั้นทรงพลังดั่งขุนเขา หัวใจของหลิงอวี่จึงบังเกิดความขลาดกลัว กระบวนท่ากระบี่ฉับพลันสับสน นางจึงตัดสินใจขยับถอยไปด้านข้าง มิกล้าสู้กับคนผู้นั้นต่อ ผู้ใดจะคิดว่าอวี๋หลุนดันคาดเดาความกล้าของนางผิดไป จนอาวุธลับที่ส่งมาช่วยเสริมทัพกลับกลายเป็นผลักหลิงอวี่เข้าสู่ความตาย
ขณะที่อวี๋หลุนร้องตกใจมิอาจทนมองได้นั่นเอง ทหารหนานฉู่ผู้นั้นกลับพลิกกระบี่ยาววาดเฉียดร่างของหลิงอวี่ โจมตีประกายแสงสีดำสายนั้นจนหล่นร่วง ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงเผยช่องโหว่อย่างเลี่ยงมิได้ เดิมทีหลิงอวี่ตั้งใจจะถอยหนี แต่เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ฉุกคิดขึ้นมา นางทราบว่าวรยุทธ์และวิชากระบี่ของคนผู้นี้ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด นางกังวลว่าซ่งอวี๋จะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกทั้งนางมิทราบว่าคนผู้นั้นกำลังช่วยนางอยู่ นางจึงทำใจเหี้ยม เสือกหนึ่งกระบี่เข้าใส่ไหล่ซ้ายของคนผู้นั้น
กระบี่อ่อนในมือนางตัดได้แม้กระทั่งเหล็ก อีกทั้งหนึ่งกระบี่นี้รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ แทงลงไปในช่องว่างของเกราะบนหัวไหล่อย่างว่องไว โลหิตเอ่อล้นออกมา หลิงอวี่หวาดผวาจนมือไม้อ่อนในทันใด กระบี่นี้จึงมิอาจแทงลึกลงไปมากกว่านั้น พอเห็นสายตาคมปลาบดุจอสนีบาตของคนผู้นั้นจับจ้องมาบนร่างตน หลิงอวี่ก็หลุดร้องตกใจ มิกล้าชักกระบี่ออก พลิ้วกายถอยเร็วจี๋ หลบไปอยู่หลังร่างของหลิ่วหรูเมิ่ง
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ตอนนี้หลิ่วหรูเมิ่งเพิ่งเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น นางมองอาวุธลับที่ร่วงอยู่บนพื้นกับกระบี่อ่อนเปื้อนเลือดที่กลิ้งอยู่บนดิน รวมถึงสีหน้าซีดเผือดของหลิงอวี่ แม้นางมิทราบว่าเมื่อครู่หลิงอวี่ตกอยู่ในอันตราย แต่ก็พอเดาออกบางส่วน จึงยิ่งซาบซึ้งที่อีกฝ่ายสละชีวิตช่วยเหลือซ่งอวี๋ หลิ่วหรูเมิ่งรีบโอบนางเข้ามาในอ้อมแขนพลางกระซิบปลอบโยน
พลทหารนายนั้นยิ้มเฝื่อนมองหัวไหล่เปื้อนเลือด เขามองออกว่าหลิงอวี่ไม่มีประสบการณ์สังหารคนสักนิด ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงทนดูมิได้แล้วลงมือช่วยเหลือ ไหนเลยจะคิดว่ากลับถูกนางแทงจนบาดเจ็บ
โชคดีที่หลิงอวี่มิกล้าสังหารคน หนึ่งกระบี่นี้จึงบาดเจ็บแค่ผิวเนื้อ แม้จะบาดเจ็บ แต่ในใจคนผู้นั้นกลับไม่มีความชิงชังแม้แต่น้อย ประการแรกแค่ที่เขามาลงมือขัดขวางผู้อื่นก็รู้สึกละอายใจมากพอแล้ว ประการที่สองเขามองออกว่าหลิงอวี่จิตใจดีงาม เป็นสตรีจิตใจดีผู้มิเคยมือเปื้อนเลือด หนึ่งกระบี่นี้นางลงมือเพราะหมดทางเลือกจริงๆ
เขาถอนหายใจแผ่วเบา ดึงกระบี่อ่อนเล่มนั้นที่ปักอยู่บนพื้นโยนไปด้านข้าง จากนั้นฉีกชุดทหารออกมาพันบาดแผลที่หัวไหล่ค่อยจึงเปิดหมวกเกราะที่ปิดใบหน้าอยู่ “พี่ซ่ง ท่านไปเสียเถิด”
สายตาของซ่งอวี๋จับบนใบหน้าของคนผู้นั้น ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างยากจะปกปิด สีหน้าแปรเปลี่ยนพันหมื่นหน เขาทำเหมือนมองมิเห็นทหารหนานฉู่ที่ได้ข่าวและกำลังเร่งรีบมารวมตัวอยู่รอบด้าน ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ผู้กล้าติงหมิง มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอู๋เย่ว์ผู้คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้าเคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อแม่ทัพใหญ่ บุกปล้นนักโทษที่เรือนตระกูลเฉียว ยืนหยัดขัดขวางโจรร้ายที่ยอดเขาเซียนสยาเมื่อวันวาน เหตุไฉนวันนี้จึงกลายเป็นสุนัขรับใช้ของซั่งเหวยจวินแล้วเล่า”
ใบหน้าของติงหมิงเผยสีหน้าละอายใจจางๆ ตอบอย่างหม่นหมองว่า “คุณชายซ่ง ผู้แซ่ติงมิใช่คนที่หวังเกาะผู้มีอำนาจ เพียงแต่แว่นแคว้นประสบภัย เจียงหนานตกอยู่ในอันตราย หากเจรจาสงบศึกสำเร็จ ประชาชนพันหมื่นในหนานฉู่ของข้าก็จะอยู่เย็นเป็นสุข เพื่อการใหญ่ ผู้แซ่ติงทำได้เพียงยอมรับคำไหว้วานของที่ปรึกษาหยาง คุ้มกันขบวนคณะทูตเดินทางขึ้นเหนือ
แม่นางหลิ่ว แม่นางหลิงอวี่เป็นคนที่มีชื่ออยู่ในรายการของบรรณาการ หากปล่อยให้พวกนางหลบหนีย่อมจุดโทสะให้ต้ายง การเจรจาสงบศึกยังจะมีหวังประการใดอีก คุณชายเองก็เป็นคนมีคุณธรรม มองประโยชน์โทษผลดีผลเสียออก ขออย่าได้เห็นแก่ความรักของตนจนเสียคุณธรรม”
ซ่งอวี๋กวาดสายตามองรอบด้านแล้วหัวเราะหยัน “เจรจาสงบศึก เหอะ ต้ายงจะกำราบใต้หล้าได้เมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับเวลาเพียงเท่านั้น ในเมื่อไร้กำลัง ยังจะเจรจาสงบศึกได้อย่างไรอีก อีกประการหนึ่ง ต่อให้แว่นแคว้นล่มสลายจริง ทุกคนย่อมมีส่วนรับผิดชอบ ขุนนางใหญ่ฝ่ายบุ๋นบู๊ในราชสำนัก พลทหารสวมเกราะสองสามแสนไร้ความสามารถจะปกปักษ์แผ่นดินจึงต้องโยนความรับผิดชอบใหญ่หลวงนี้มาไว้กับสตรีเพียงสองนางเช่นนั้นหรือ ต่อให้พวกเจ้าอยากเป็นโกวเจี้ยน[1]นอนฟืนแข็งชิมดีขม ก็ต้องดูว่าผู้อื่นจะยอมเป็นอู๋อ๋องหรือไม่
ข้าซ่งอวี๋เป็นเพียงมือสังหารคนหนึ่ง การใส่ร้ายแม่ทัพใหญ่จนตายหนนั้นข้าก็มีส่วนร่วมด้วย ยังจะมาพูดถึงคุณธรรมต่อแผ่นดินอะไรกับข้าอีก สีซอให้ควายฟังแท้ๆ หากเจ้ายืนกรานจะขัดขวางข้าให้ได้ ต่อให้ข้าล้มเหลวกลับไป ข้าก็จะเฝ้าคอยทุกคืนวันตามสังหารพวกเจ้าทั้งหลายให้ตายตกไปทีละคน หากฉลาด เจ้าก็ปล่อยพวกเราสามคนจากไปเสีย มิฉะนั้น เหอะ!” พร้อมกับที่เขาเอ่ยถ้อยคำเย็นชาทิ่มแทงใจ จิตสังหารสายหนึ่งก็แผ่ท่วมฟ้าดินในพริบตา
ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเย็นยะเยือกในถ้อยคำของซ่งอวี๋ ร่างกายประหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางหิมะและผืนน้ำแข็งปลายฤดูเหมันต์ พลทหารที่ขลาดกลัวบางส่วนหน้าซีดหน้าเขียว ซั่งเฉิงเยี่ยที่เดินออกมาจากกระโจมภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ถูกดวงตาเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูกคู่นั้นของซ่งอวี๋มองเพียงหนเดียวก็พลันขวัญผวาตัวสั่น ทำใจกล้าเข้าไปทักทายสหายเก่ามิลงอีกต่อไป เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าผู้นี้เป็นดั่งคนแปลกหน้า มิเหมือนสหายรักสหายรู้ใจยามก่อนหน้า เขาหวนนึกขึ้นมาได้เลือนรางว่าโหวหยวนหนิงเคยบอกตนว่าคนผู้นี้เป็นมือสังหาร หรือว่านี่ก็คือโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นี้
ติงหมิงวรยุทธ์สูงยิ่งนัก ความรู้สึกของเขาจึงแตกต่างจากผู้อื่น เขารู้สึกว่าจิตสังหารอันคล้ายคลื่นสมุทรซัดโถมแปรแปลี่ยนยากหยั่งกำลังโหมพัดมิหยุด มันเคลื่อนไปมาอย่างว่องไว เหมือนมีอยู่แต่ก็เหมือนมิมีอยู่ ทำให้คนเกิดความรู้สึกไร้กำลังเพราะยากคาดคะเน เขาเอ่ยตอบสีหน้าเคร่งขรึม “คุณชายไร้รักช่างสมคำร่ำลือเสียจริง ก่อนหน้านี้คุณชายคงเพียงซ่อนคมไว้เท่านั้น ขอให้ผู้แซ่ติงรับคำชี้แนะจากยอดวิชาสังหารของคุณชายสักหน่อยก็แล้วกัน”
แต่เดิมเขาละอายใจ แต่เมื่อได้ยินซ่งอวี๋ยอมรับเองว่าเกี่ยวข้องกับการตายของลู่ช่านจึงเกิดความโกรธขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ พอนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้คนผู้นี้เคยเป็นลูกน้องของซั่งเฉิงเยี่ย ใจก็เชื่อไปแล้วหลายส่วน เกิดจิตสังหารขึ้นมาทันที ปราณกระบี่ดุดันโถมท่วมฟ้าปะทะกับจิตสังหารที่ซ่งอวี๋แผ่ออกมา พื้นที่บริเวณหลายจั้งคล้ายมีพายุคลั่งเกลียวคลื่นถาโถมทันที
ทหารที่เฝ้ามองอยู่รอบๆ เหล่านั้นถูกบีบให้ถอยหลังมิหยุด หลิ่วหรูเมิ่งกำลังตกตะลึง นางอึ้งอยู่ตรงนั้นมิรู้สึกตัวว่าต้องหลบถอยหลัง ระลอกปราณกระบี่ส่งสายลมคมกริบสายหนึ่งพัดมาเฉือนเส้นผมดำขลับปอยหนึ่งของหลิ่วหรูเมิ่งหล่นร่วงบนพื้น หลิงอวี่ได้สติจึงรีบจูงนางถอยหลังไปหลายก้าว พลทหารเหล่านั้นมองสองคนที่จ้องตาประจันหน้ากันอยู่อย่างตกตะลึง มิคิดจะเข้ามาคุมตัวสตรีทั้งสองนางไว้แม้แต่น้อย
ประกายกระบี่ฉายวูบวาวดุจดั่งธารดาราเคลื่อนไหว เงาร่างของอวี๋หลุนประหนึ่งจมหายไปท่ามกลางคลื่นกระบี่ในพริบตา ติงหมิงระบายความแค้นกับความโกรธที่ต้องคุ้มกันซั่งเฉิงเยี่ยทั้งหมดใส่อวี๋หลุน แต่ละกระบี่ล้วนอันตรายยิ่งนัก หากอวี๋หลุนพลาดพลั้งแม้แต่กระบวนท่าเดียว ร่างคงถูกป่นจนเป็นผุยผงใต้คมกระบี่อันว่องไวปานสายฟ้า
เพียงแต่ว่าหนนี้อวี๋หลุนก็มิเก็บออมฝีมือเช่นกัน พัดพับกางหุบสะบัด ท่วงท่าสง่างดงาม ร่างกายคล้ายกิ่งหลิวเริงระบำตามสายลม เขาเคลื่อนไหวดุจภูตผี ผลุบโผล่ท่ามกลางทะเลกระบี่โถมมาท่วมฟ้า ยามใดกระบวนท่ากระบี่ของติงหมิงช้าลงแม้เพียงน้อยนิด เขาก็จะส่งการโจมตีหมายเอาชีวิตออกมา แต่ละกระบวนท่าล้วนทำให้ติงหมิงรู้สึกเหมือนกำลังหนีเอาชีวิตรอดจากความตาย
ร่างกายของทั้งสองคนขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ สายลมกระโชกสาดซัด ฝุ่นฟุ้งหินกระเด็นทั่วบริเวน เงาร่างของทั้งสองโรมรันอยู่ด้วยกัน ทว่าคนหนึ่งเสมือนเทพสวรรค์ลงมาจุติ สะบัดอสนีบาตในมือได้ดั่งใจ ส่วนอีกคนหนึ่งประดุจเทพมารแห่งยมโลก ใช้กระบวนท่าสังหารหมายเอาชีวิตฉกฉวยวิญญาณอย่างคล่องแคล่ว เห็นทั้งสองคนแยกออกจากกันได้ชัดเจน
ติงหมิงต่อสู้ไปพลาง ในใจก็ตกตะลึงไปพลาง วรยุทธ์ของคนผู้นี้แตกต่างจากเมื่อสองปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ตนเองแทบจะมองมิเห็นร่องรอยกระบวนท่าของเขา ติงหมิงคงมิทราบว่าสองปีที่ผ่านมาเพราะหลิ่วหรูเมิ่ง จิตใจของอวี๋หลุนจึงมิเศร้าหมองเฉยเมยอีกต่อไปแล้ว ไฟในการมีชีวิตของเขาลุกโชนขึ้นอีกหน เขาจึงทุ่มเทใจฝึกฝนจนก้าวหน้าครั้งใหญ่
ผู้ฝึกวรยุทธ์หากมีอาจารย์ผู้เก่งกาจชี้แนะ ความสำเร็จยามเริ่มแรกส่วนมากอาจขึ้นอยู่กับพรสวรรค์แต่กำเนิด ทว่าเมื่อถึงช่วงหลังกลับต้องดูนิสัยและสติปัญญา อวี๋หลุนแต่เดิมก็เป็นคนฉลาด ทั้งยังเคยผ่านความรักความแค้นความทุกข์ทรมานมานานานับประการ สองปีก่อนยังพบความสะเทือนใจอย่างรุนแรงถึงจิตวิญญาณเพราะเรื่องของลู่ช่าน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เขาสบโอกาสอันดีก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด
เพียงแต่ว่าแม้อวี๋หลุนจะวรยุทธ์ก้าวหน้าครั้งใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีพื้นฐานลึกล้ำสู้ติงหมิงมิได้ หลังจากทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดร้อยกระบวนท่า ติงหมิงก็ค่อยๆ เป็นฝ่ายกุมสถานการณ์ กระบวนท่ากระบี่ว่องไวลื่นไหลมากขึ้น อวี๋หลุนกลับค่อยเป็นฝ่ายตั้งรับเพิ่ม จังหวะจู่โจมน้อยลง แม้ผู้อื่นจะมองมิออก แต่ตัวเขาเองย่อมรู้ว่าตนเองยากจะเอาชนะ
ดวงตาทั้งสองของหลิ่วหรูเมิ่งหม่นแสง แม้เบื้องหน้าจะเป็นการต่อสู้อันดุเดือดที่เกี่ยวพันถึงชะตาของนาง แต่นางกลับมองมิเห็นสักนิด นางคิดถึงแต่คำพูดที่ซ่งอวี๋ยอมรับเองกับปากว่ามีส่วนทำร้ายลู่ช่านจนถึงแก่ความตาย นางมิใช่สตรีชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่มิรู้จักความแค้นของแว่นแคว้นที่ล่มสลาย นับตั้งแต่แม่ทัพใหญ่ถูกใส่ร้ายและถูกจับขังคุก นางก็เคียดแค้นการกระทำที่ทำร้ายแว่นแคว้นของซั่งเหวยจวินยิ่งนัก
นางเคยเกลี้ยกล่อมซ่งอวี๋อยู่หลายหน หวังว่าเขาจะพูดให้ซั่งเฉิงเยี่ยแก้ไขเรื่องนี้ได้ แม้จะทราบว่ามีความหวังมิมาก แต่นางก็มิยินดีนิ่งดูดาย แม้ทราบว่าซ่งอวี๋กับซั่งเฉิงเยี่ยเป็นสหายกัน แต่ในใจนางมิเคยคิดว่าซ่งอวี๋จะทำร้ายเสาหลักของบ้านเมือง
วันนั้นที่ลู่ช่านถูกพระราชทานความตาย ซ่งอวี๋กลับที่พักราวกับสูญเสียวิญญาณ หลิ่วหรูเมิ่งเข้าใจว่าเขาเพียงเสียใจเท่านั้น มิเคยคิดสักนิดว่าความตายของลู่ช่านจะเกี่ยวข้องอันใดกับซ่งอวี๋ ยิ่งรักลึกซึ้ง ความรู้สึกรับผิดชอบยิ่งหนักหน่วง ดังนั้นหลิ่วหรูเมิ่งจึงปวดใจแทบวางวายเฉกเช่นนี้
เวลานี้เอง จู่ๆ ติงหมิงก็ตวาดดุดันออกมาคำหนึ่ง คมกระบี่ฉายวาบไวดุจแสงอสนีบาต แทงออกมาห้ากระบี่ต่อเนื่อง แต่ละกระบี่แทงเข้าใส่แกนพัดของอวี๋หลุน เสียงใสกังวานดังขึ้นต่อเนื่อง อวี๋หลุนทุ่มกำลังทั้งหมดหลีกหลบและโต้กลับ ทว่ามิอาจหลบพ้นกระบวนท่ากระบี่อันดุดันทว่าสง่าผ่าเผยนั่นได้ จนกระทั่งกระบี่ที่ห้า พัดในมืออวี๋หลุนก็หลุดลอยออกจากมือ เขาโซเซถอยหลัง กระบี่ยาวในมือติงหมิงมิรอช้าแม้แต่น้อย แทงเข้าใส่กลางอกของศัตรู
อวี๋หลุนตระหนักดีว่าหนนี้ไร้หนทางรอดอย่างแท้จริง ดวงตาลึกล้ำเย็นชาคู่นั้นฉายแววสิ้นหวัง มองกระบี่ยาวจมเข้ามาในร่างของตนด้วยสีหน้านิ่งสงบ
[1]โกวเจี้ยน เจ้าแคว้นของแคว้นเย่ว์ในสมัยยุคชุนชิว เขาพ่ายแพ้แคว้นอู๋ในการศึกหนหนึ่ง จนต้องขอเจรจาสงบศึก ยอมสวามิภักดิ์เป็นบริวารของแคว้นอู๋ ตนเองและครอบครัวยอมถูกจับไปเป็นตัวประกันที่แคว้นอู๋ ใช้ชีวิตเป็นบ่าวรับใช้อย่างยากลำบาก เขาสาบานว่าจะแก้แค้นให้จงได้ ทว่าฉากหน้ายามอยู่ในแคว้นอู๋โกวเจี้ยนแสร้งทำเป็นภักดีต่ออู๋อ๋องผู้เป็นเจ้าแคว้นอู๋อย่างถึงที่สุด เล่ากันว่าเขาถึงขั้นยอมชิมอุจจาระของอู๋อ๋องที่ล้มป่วยเพื่อวินิจฉัยโรค อู๋อ๋องคิดว่าเขาคงภักดีจากใจจริงแล้วจึงปล่อยเขากลับแคว้นของตนเอง หลังจากได้หวนกลับมาปกครองแคว้นของตน โกวเจี้ยนยังคงแสร้งทำเป็นภักดีต่อแคว้นอู๋ต่อไป แต่เขาเลือกจะนอนบนท่อนฟืนแข็งๆ และชิมดีรสขมทุกวันเพื่อย้ำเตือนความแค้นของตน จวบจนเวลาผ่านไปนับสิบปี เมื่ออู๋อ๋องยกทัพไปทำศึกข้างนอก โกวเจี้ยนจึงฉวยโอกาสยกทัพบุกแคว้นอู๋ ทำให้แคว้นอู๋ล่มสลายในที่สุด