ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 142 พรากคู่สกุณา (4)
ในเวลาเดียวกันนี้เอง หลิงอวี่เป็นคนเพียงผู้เดียวที่มองสถานการณ์ออกชัดเจนพลันกรีดร้อง “ไม่!” น้ำเสียงเศร้าสลดและตื่นตระหนก
หัวใจของติงหมิงสะท้านไหว หวนนึกถึงวันนั้นที่ซ่งอวี๋ยอมบอกข่าวที่แท้จริงของลู่ช่านกับพวกตน ทำให้พวกเขาได้พบหน้าลู่ช่าน แม้จะมิอาจช่วยแม่ทัพใหญ่มาได้ แต่น้ำใจหนนั้นมิอาจมิตอบแทน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดมาพักใหญ่ ความโกรธแค้นในหัวใจของติงหมิงก็เบาบางลงจนเริ่มคิดอย่างมีเหตุมีผลได้อีกหน เขาคิดได้ว่าซ่งอวี๋มิใช่คนที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ภาพรวมได้ แม้เขาจะพูดคำพูดที่มิสมควรออกมาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงการยุยงส่งเสริมเท่านั้น หากซั่งเหวยจวินมิได้คิดเช่นนั้นอยู่ก่อน สุดท้ายเขาก็คงมิทำลายกำแพงเมืองของตนเอง อีกทั้งถ้อยคำของซ่งอวี๋เองก็มีความรู้สึกเสียใจซ่อนอยู่ประมาณหนึ่ง
เมื่อครุ่นคิดอย่างฉับไวจบ กระบี่ยาวในมือของติงหมิงพลันเบี่ยงออกด้านข้าง หลบพ้นจุดสำคัญ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ โลหิตก็ยังทะลักกระฉูดออกมาอาบร่างอวี๋หลุนไปครึ่งหนึ่งทันที ติงหมิงเองก็สภาพมิได้ดีนัก แต่เดิมเขาถูกหลิงอวี่แทงมาหนึ่งกระบี่ แม้จะมิใช่แผลสาหัส แต่หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดมานาน ปากแผลก็ปริฉีก เวลานี้โลหิตซึมออกมาย้อมอาภรณ์ เพียงแต่ว่าเขาจดจ่อสมาธิทั้งหมดกับการต่อสู้ จนกระทั่งตอนนี้จึงเพิ่งรู้สึกตัว
คนธรรมดามิอาจมองสถานการณ์ระหว่างการต่อสู้ชัดเจน พวกเขาเพียงเห็นว่าร่างกายของคนทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอย่างดูเดือดอยู่ๆ ก็หยุดชะงัก หลังจากนั้นกระบี่ยาวของติงหมิงก็แทงเข้าไปในหน้าอกขวาของซ่งอวี๋ ทว่าบนร่างของทั้งสองคนล้วนชุ่มโชกไปด้วยเลือดดุจเดียวกัน แทบจะมองมิออกว่าผู้ใดชนะผู้ใดแพ้
อวี๋หลุนแววตาเรียบฉยเสมือนว่ากระบี่คมเล่มนั้นมิได้แทงเข้ามาในร่างของตนเอง เขายื่นมือซ้ายออกมาอย่างกำคมกระบี่เชื่องช้า โลหิตปริ่มออกมาจากช่องว่างระหว่างฝ่ามือกับคมกระบี่ก่อนจะไหลลงไปรวมกับธารโลหิตบนพื้น เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “หลังจากจอมยุทธ์ติงมีชีวิตกลับมาจากหนานหมิ่นก็เปลี่ยนไปมากนัก มิใช่ว่าถูกบุญคุณของต้ายงซื้อใจไปแล้วหรอกกระมังจึงทุ่มเทกับการเจรจาสงบศึกถึงเพียงนี้”
แววตาของติงหมิงทอประกายโกรธเกรี้ยว แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา เอ่ยตอบว่า “มิผิด ผู้แซ่ติงเดินทางไปถึงตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่นเพื่อขอให้พวกเขาช่วยรักษาพิษในร่าง โชคดีได้จิ้งไห่กงฮูหยินแห่งต้ายงเย่ว์ชิงเยียนช่วยเหลือจึงรอดพ้นความตายมาได้
แต่ใจของผู้แซ่ติง สวรรค์ย่อมทราบดี ส่วนเจียงฮูหยินก็เป็นผู้ใจกว้างมิเคยคิดจะทำให้ข้าลำบากใจ นางจึงมิเคยซื้อใจผู้แซ่ติงให้ทรยศแว่นแคว้นเพื่อเกียรติยศ เรื่องนี้มิว่าเจ้าเชื่อหรือไม่ ผู้แซ่ติงก็มิละอายใจ”
ซ่งอวี๋ยิ้มเย็นชา ขณะที่กำลังจะพูดต่อ หูก็ได้ยินเสียงไพเราะเสนาะหูเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “อวี๋หลางตั้งใจจะตายหรือไรจึงยั่วโมโหจอมยุทธ์ติงเช่นนี้”
อวี๋หลุนสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย เขาคลายมือซ้ายออกช้าๆ ร่างกายเริ่มยืนไม่อยู่ สายตาหันไปมองด้านข้างอย่างยากลำบาก แล้วจึงเห็นหลิ่วหรูเมิ่งมายืนอยู่ข้างแอ่งโลหิตมิรู้ตั้งแต่เมื่อใด นัยน์ตาใสดุจระลอกคลื่นในธารน้ำพุใสคู่นั้นกำลังจับจ้องตนเอง
ทันใดนั้นติงหมิงก็ชักกระบี่ยาวออกไวปานสายฟ้าแลบ แล้วถือโอกาสสกัดจุดลมปราณหลายตำแหน่งของอวี๋หลุนเพื่อห้ามเลือดก่อนจะใส่ยา รอจนกระทั่งอวี๋หลุนได้สติกลับมาจากความเจ็บปวดแสนสาหัสก็เห็นตนเองพิงอยู่ในอ้อมแขนของหลิ่วหรูเมิ่งแล้ว หลิ่วหรูเมิ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น กระโปรงทั้งผืนถูกโลหิตอาบย้อมจนชุ่มโชก ทว่านางกลับกอดตนเองไว้อย่างอ่อนโยนและเข้มแข็ง ดวงตาสี่ข้างสบประสาน ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ จดจำมิได้อีกต่อไปว่าตัวอยู่ที่ใด
มิทราบผ่านไปนานเท่าใด เสียงหม่นหมองของติงหมิงก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายซ่ง แม่นางหลิ่ว ทั้งสองคนมีสิ่งใดจะพูดจากันก็รีบพูดเข้าเถิด ตอนนี้ความวุ่นวายตรงนี้ของพวกเราคงลอยไปถึงหูกองทัพต้ายงด้านนอกแล้ว หากพวกเขามาถามเอาความ ใต้เท้าซั่งคงจะมิสะดวกมอบคำอธิบาย”
ยามนี้อวี๋หลุนถึงได้สติ เขาทราบว่าการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่คงจะทำให้กองทัพต้ายงด้านนอกรู้ตัวแล้วอย่างแน่นอน เมื่อเห็นสีหน้าซีดจนเขียวของซั่งเฉิงเยี่ยก็ทราบว่าเขาออกคำสั่งให้สังหารตนปิดปากได้ตลอดเวลา เวลาของตนเหลือมิมากแล้ว เขาเอื้อมมือออกมากุมมือเรียวงามของหลิ่วหรูเมิ่งอย่างยากลำบากแล้วบอกว่า “เมิ่งเอ๋อร์ ขอโทษด้วย ข้าคงหมดหนทางจะช่วยเจ้าแล้ว แทนที่จะทนดูเจ้าถูกผู้คนหยามเกียรติ ข้ายินดีจากไปก่อนก้าวหนึ่ง”
ดวงหน้างามของหลิ่วหรูเมิ่งซีดเผือดเล็กน้อย น้ำตาใสสองสายไหลรินประหนึ่งไข่มุกงาม นางตอบเสียงอ่อนโยน “อวี๋หลาง ข้าขบคิดอยู่นานนัก เรื่องแม่ทัพใหญ่จะโทษท่านคงมิได้ หากจะโทษก็ได้แต่โทษเจ้าแผ่นดินผู้โง่เขลากับเสนาบดีโฉดชั่วผู้สร้างคดีใส่ร้ายที่เลวร้ายที่สุดในรอบพันปี แม้ท่านจะทำผิดไปบ้าง แต่ยามนี้ท่านก็สำนึกเสียใจแล้ว ใช่หรือไม่”
ทุกคนฟังแล้วก็ประหลาดใจนัก พวกเขาต่างมิเข้าใจว่าเหตุใดคู่รักที่มองดูก็รู้ว่ารักกันอย่างลึกซึ้งแต่กำลังจะถูกพรากจากกันคู่นี้ เหตุใดจึงเอ่ยถึงเรื่องที่มิเกี่ยวข้องกันขึ้นมา
แต่อวี๋หลุนรู้จักนิสัยของหลิ่วหรูเมิ่งดี เขาตอบว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้ากล่าววาจาที่ส่งผลร้ายต่อแม่ทัพใหญ่ไปมากมาย แม้จะมีเหตุผลอย่างอื่นอยู่บ้าง แต่ในหัวใจข้าคิดอยู่เสมอว่าช้าเร็วเขาย่อมกลายเป็นหวังหมั่ง[1] ข้ามิเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีขุนนางที่จงรักภักดีเฉกเช่นนั้น ทว่าก่อนแม่ทัพใหญ่จะพบจุดจบ ข้าโชคดีได้อยู่ข้างกายเขา จึงได้ทราบว่าหัวใจของเขาสะอาดบริสุทธิ์ประดุจฟ้าแจ้งจันทร์กระจ่าง ความคลางแคลงและมลทินใดๆ ล้วนมิอาจแปดเปื้อนหัวใจของเขา เมิ่งเอ๋อร์ หากมีโอกาสย้อนกลับไปเลือกใหม่อีกครา แม้นตัวข้าต้องตายก็จะมิขอพูดสิ่งที่มิสมควรแม้แต่ครึ่งประโยค”
หลิ่วหรูเมิ่งเผยรอยยิ้มน้อยๆ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูคล้ายกับแสงอัสดงใกล้ลากลับ แม้งดงามทว่าเพียงพริบตาเดียวก็สิ้นสูญ นางเอ่ยเสียงเบา “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าคิดอยู่ตลอดว่าหากอวี๋หลางมิเคยสำนึกเสียใจ ถ้าเช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงสังหารท่านด้วยมือตน หลังจากนั้นค่อยจากไปด้วยกันพร้อมกับท่าน หากคนที่ข้ารักปราศจากคุณธรรมและความภักดีในหัวใจ ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงมีตาหามีแววไม่ สมควรตายไปด้วยกันพร้อมกับท่านแล้ว”
หลิงอวี่ได้ยินถ้อยคำหนักแน่นของหลิ่วหรูเมิ่ง น้ำตาพลันพรั่งพรูดุจสายฝน ตะโกนออกมาอย่างตกใจ “มิได้นะ พี่สาว ท่านตายมิได้นะ”
ซั่งเฉิงเยี่ยตกใจยิ่งนัก ก้าวเข้ามาสองสามก้าว ทว่ากลับคิดมิออกว่าจะเกลี้ยกล่อมด้วยคำใด ติงหมิงกลับรู้สึกเคร่งเครียด เขาขยับเข้ามาก้าวหนึ่ง ตัดสินใจว่าหากหลิ่วหรูเมิ่งคิดจะปลิดชีพตน เขาจักขวางเอาไว้ให้จงได้
มีเพียงอวี๋หลุนที่ยังคงนิ่งสงบดุจเดิม คล้ายกับมิเคยคิดแม้แต่น้อยว่าหลิ่วหรูเมิ่งเป็นหรือตายต่างอันใดกัน เพราะเขาเข้าใจหลิ่วหรูเมิ่งดี เขาทราบว่ามิว่าสตรีนางนี้ตัดสินใจเช่นไรล้วนมีเหตุผล หากนางตัดสินใจจะตายจริงๆ ถ้าเช่นนั้นสำหรับนางแล้วย่อมหมายความว่าไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านั้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาฟังความนัยในถ้อยคำของหลิ่วหรูเมิ่งออก อย่างน้อยยามนี้หลิ่วหรูเมิ่งก็ไม่มีความคิดที่จะปลิดชีพตนเอง
หลิ่วหรูเมิ่งเหมือนมิเห็นปฏิกิริยาของผู้อื่นอยู่ในสายตา นางเพียงจับจ้องใบหน้าซีดเผือดของอวี๋หลุนอยู่เนิ่นนาน หยดน้ำตาหล่นร่วงบนใบหน้าและเส้นผมของเขา ดวงตาที่เคยระยิบระยับในวันวาน วันนี้กลับกลายเป็นธารน้ำตา
จวบจนกระทั่งทหารหนานฉู่รอบด้านเริ่มวุ่นวาย เหมือนกับว่ากองทัพต้ายงด้านนอกจะสังเกตพบความผิดปกติด้านในแล้ว นางจึงเงยหน้าขึ้น หันไปมองซั่งเฉิงเยี่ยผู้มีสีหน้าจนตรอกแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ใต้เท้าซั่ง ผู้น้อยทราบว่าการกระทำของอวี๋หลางคงทำให้ใต้เท้าโกรธยิ่งนัก เขาบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ ทั้งยังตกอยู่ในวงล้อม หากใต้เท้าจะสังหารเขาก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ผู้น้อยมีคำขอร้องอันไร้เหตุผลประการหนึ่ง ผู้น้อยหวังว่าใต้เท้าจะยอมละเว้นอวี๋หลาง รอให้บาดแผลของเขาหายดีแล้วปล่อยเขาจากไป หากใต้เท้ามิยอม แม้ผู้น้อยจะต่ำต้อยด้อยค่า แต่คงทำได้เพียงตายเท่านั้น”
ทุกคนต่างหน้าถอดสี หากหลิ่วหรูเมิ่งตาย รายการเครื่องบรรณาการที่ส่งไปแล้วย่อมเป็นหลักฐานอันแน่นหนาว่าฝ่ายหนานฉู่กำลังหยามเกียรติต้ายง ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าการเจรจาสงบศึกคงล้มเหลวในทันที
ซั่งเฉิงเยี่ยตกใจยิ่งนัก แม้หลังจากได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของซ่งอวี๋ เขาจะลืมเลือนมิตรภาพในวันวานไปหมดแล้วจนถึงขั้นอยากจะสังหารคนผู้นี้เสียเดี๋ยวนี้ เพียงแต่เวลานี้เขาทำได้เพียงอดกลั้น เอ่ยว่า “แม่นางหลิ่วโปรดวางใจ ซ่งอวี๋เป็นสหายเก่าของข้า ข้าจะทำร้ายเขาได้เช่นไร ขอเพียงเขามิขัดขวางการเจรจาสงบศึกอีก ข้ารับประกันว่าเขาจะเดินทางกลับเจียงหนานได้อย่างปลอดภัย”
หลิ่วหรูเมิ่งเพียงยิ้มบางๆ หันไปมองติงหมิง กล่าวขึ้นว่า “ผู้น้อยนับถือนิสัยของจอมยุทธ์ติงมาตลอด แม้เรื่องวันนี้จะเกิดขึ้นเพราะไร้ทางเลือก แต่หากจอมยุทธ์ติงยอมสัญญาว่าจะรับประกันความปลอดภัยของอวี๋หลาง ผู้น้อยก็สัญญาว่าจะมิหาทางคิดสั้นอย่างแน่นอน”
ติงหมิงฟังคำพูดจบก็รู้สึกชื่นชมอย่างลึกซึ้ง เอ่ยตอบว่า “แม่นางหลิ่วกล่าวเกินไปแล้ว พี่ซ่งเป็นผู้ยึดมั่นในรัก ข้าไร้ทางเลือกจึงต้องทำร้ายเขาจนเจ็บหนัก เพียงเท่านี้ก็รู้สึกละอายใจพอแล้ว มิมีทางยอมปล่อยให้ผู้อื่นทำร้ายเขาอีกอย่างแน่นอน”
ยามนี้หลิ่วหรูเมิ่งถึงวางใจ เผยรอยยิ้มสมปรารถนาออกมา ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นทอแสงระยิบระยับ นางวางอวี๋หลุนให้นอนราบบนพื้นอย่างแผ่วเบาแล้วลุกขึ้นยืน ดวงตาของอวี๋หลุนมีแต่ความโศกเศร้าคับแค้น เขาดิ้นรนกุมมือเรียวของนางไว้มิปล่อย มิสนใจบาดแผลที่มีเลือดปริ่มออกมาอีกหนสักนิด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ามิจำเป็นต้องสนใจชีวิตข้า เจ้ายอมทนถูกหยามเกียรติเพื่อให้ข้ารอด ข้าจะยอมตายเพื่อตอบแทนรักลึกซึ้งของเจ้ามิได้หรือ”
ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหรูเมิ่งเผยความรักอันลึกซึ้งไร้ที่สิ้นสุด นางค่อยๆ ดึงมือออกอย่างแน่วแน่ บอกเสียงเบาว่า “อวี๋หลาง ท่านคิดว่าความตายจะเพียงพอตอบแทนคนรักได้หรือ ข้าเป็นเพียงสตรีเปื้อนคาวโลกีย์ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นต้นหลิวริมถนนบุปผาริมทาง ต่อให้พลัดถิ่นมาสุดขอบฟ้าแล้วจะสำคัญอันใด ขอเพียงอวี๋หลางยังมีชีวิตอยู่บนโลกด้วยดี ข้าก็เบิกบานใจยิ่งนักแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านไยต้องกังวลใจ แม้หรูเมิ่งจะรูปโฉมธรรมดาสามัญ แต่โชคดียังมีฝีมือร้องรำอยู่บ้าง มิแน่ว่าอาจจะได้รับความโปรดปรานจากผู้สูงศักดิ์ ต่อให้มิมีวาสนาเช่นนั้นข้าก็มีหนทางใช้ชีวิตต่อไปอย่างสงบสุข บางทีในอนาคตข้าอาจลืมเลือนอวี๋หลางก็เป็นได้”
กล่าวจบ นางก็ลุกขึ้นยืน ย่างเท้าทีละก้าวเดินไปยังกระโจมหลังเดิม เรือนร่างบอบบางแลดูสูงสง่า งดงามหาใดเปรียบปาน ห้วงเวลานี้มิมีผู้ใดจดจำได้อีกแล้วว่าสตรีนางนี้เดิมทีเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน ในห้วงสติมีเพียงความคิดว่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ก็คงมิพ้นเป็นเช่นนี้
หลิ่วหรูเมิ่งมิรับรู้ทุกสิ่งรอบกาย ดวงตาของนางมีเพียงกระโจมอันคุ้นเคยหลังนั้น ใกล้ถึงแล้ว ใกล้ถึงแล้ว สามก้าว สองก้าว หนึ่งก้าว ในที่สุดเมื่อนางก้าวเข้ามาในกระโจม ม่านกระโจมทิ้งตัวปิดไล่หลัง สองขาของนางก็อ่อนยวบมิอาจหยัดยืนได้อีกต่อไป นางโซเซจวนเจียนจะล้ม สุดท้ายก็ร่วงลงไปในอ้อมแขนของหลิงอวี่ที่รีบตามมาติดๆ
หลิงอวี่มองดวงหน้างามที่ซีดเผือดประหนึ่งหิมะของนางอย่างตื่นตระหนก หลิ่วหรูเมิ่งในยามนี้ลมหายใจรวยรินคล้ายกับใกล้จะสิ้นใจในบัดดล หลิงอวี่รีบจี้จุดลมปราณหลายแห่งของนาง กระตุ้นพลังชีวิตของนางให้เคลื่อนไหว หลิ่วหรูเมิ่งถึงฟื้นสติขึ้นมาอย่างช้าๆ
หลิงอวี่ร่ำไห้เอ่ยว่า “พี่สาว ท่านจะทำเช่นนี้ไปไยเล่า ต่อให้ท่านเอ่ยคำพูดทำร้ายจิตใจคนพวกนั้นออกมา เขาจะเชื่อหรืออย่างไร”
หลิ่วหรูเมิ่งครางเบาๆ พอได้สติกลับมา บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเศร้าสร้อย บอกเสียงเบาว่า “ข้ากับอวี๋หลาง แม้ใจหมายเคียงคู่ ทว่ายามเป็นมิอาจร่วมเรียงเคียงหมอน ยามตายมิอาจทอดร่างร่วมสุสาน ทว่าหรูเมิ่งกลับรู้สึกว่าต่อให้อยู่เคียงข้างเขาทุกคืนวันจนแก่เฒ่าผมขาวโพลน ความรักก็คงมิลึกซึ้งไปกว่าห้วงเวลาสั้นๆ ที่ได้รู้จักกันนี้ ข้าทราบว่าเขาคงมิเชื่อ แต่ขอเพียงหัวใจเขามีความหวังว่าข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างดี เขาจึงจะมิก้าวเข้าไปหาความตาย
น้องสาว แต่ไหนแต่ไรมาอวี๋หลางก็เมินเฉยต่อความเป็นความตาย ข้ากังวลมานานแล้วว่าเขาจะทอดทิ้งข้าแล้วจากไป ยามนี้ข้าเพียงหวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดี แม้ข้าต้องทนรับความอัปยศแล้วจะสำคัญอันใด บางที บางทีรอจนวันที่ข้าหนังเหี่ยวย่นเส้นผมหงอกขาวแล้ว ข้าอาจยังมีโอกาสมีชีวิตมาพบหน้าเขาอีกหนก็ได้”
หลิงอวี่กอดเรือนร่างอรชรบอบบางและเย็นเฉียบของหลิ่วหรูเมิ่งแน่น นางรู้สึกราวกับว่าชีวิตของอีกฝ่ายกำลังไหลรั่วหายไปจึงกระซิบว่า “พี่สาว แต่เดิมหลิงอวี่หวาดกลัวยิ่งนัก ข้ากลัวนักว่าคนต้ายงจะมองข้าเป็นพวกเดียวกับอาจาย์ หากพวกเขาสังหารข้า ข้าคงเสียดายยิ่งนัก เพราะข้าจะมิมีโอกาสฝึกศิลปะการบรรเลงพิณอันล้ำเลิศอีกต่อไป หากพวกเขามิให้ข้ามีโอกาสดีดพิณอีกเป็นหนที่สอง ข้าก็คงอยู่มิสู้ตาย
หากพวกเขา พวกเขาข่มเหงข้าจริงๆ น่ากลัวว่าหลิงอวี่คงมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว แต่ยามนี้หลิงอวี่ขอสาบาน ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป มิว่าประสบสิ่งใด ข้าก็จะปกป้องพี่สาว จะต้องให้พี่สาวมีโอกาสได้พบหน้าเขาอีกครั้ง”
หลิ่วหรูเมิ่งผู้สลบไปนานแล้วมิได้ยินคำสาบานของหลิงอวี่ แต่ใบหน้าซีดเผือดดวงนั้นของนางมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางหัวใจขาดรอนไปเสียแล้ว
[1]หวังหมั่ง พระญาติฝั่งฮองเฮาของฮั่นหยวนตี้ สมัยหนุ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือเรื่องความมีคุณธรรม หลังจากสร้างคุณงามความดีให้แว่นแคว้นกลับถูกคนในราชสำนักเล่นงาน ก่อนจะหวนกลับมาครองอำนาจมากมายในราชสำนักอีกหน สุดท้ายเขาก็กลายเป็นทรราชที่ยึดบัลลังก์ของฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์ ขึ้นปกครองบ้านเมืองแทนโดยอ้างว่าทำเพื่อธำรงบ้านเมืองให้ร่มเย็น