CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 144 หนึ่งระบำงามล่มเมือง (2)

  1. Home
  2. ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ
  3. ตอนที่ 144 หนึ่งระบำงามล่มเมือง (2)
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

อวี๋หลุนรับถ้วยยา เขาดื่มยาขมปร่าลงไปอย่างเงียบงัน ภายในหัวใจก็ขมขื่นยากจะเอื้อนเอ่ยมิแพ้กัน เขาย่อมมิรู้ว่า ภายในห้องหนังสือห้องหนึ่งที่อยู่มิไกล ฮั่วฉงกำลังลิ้มรสชากลิ่นหอมอย่างเพลิดเพลิน ส่วนหลี่หลินทำท่าทำท่างเหมือนคนรอชมเรื่องน่าสนุก

ดูท่าเขาคงจะทนท่าทางสบายอกสบายใจของฮั่วฉงมิไหวแล้ว ในที่สุดจึงเอ่ยเย้า “พี่ใหญ่ฮั่ว ท่านแน่ใจจริงหรือว่าวิธีนี้จะโน้มน้าวอาเขยได้ ซ่งอวี๋คนนั้นเกือบจะตายอยู่ในค่ายแห่งนั้นแล้ว หากมิใช่ว่าท่านให้ข้าไปเอาตัวคนมา เกรงว่าแผนการใหญ่ของท่านคงไร้ความหวังจะสำเร็จ” กล่าวจบก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม

ฮั่วฉงเหลือบมองเขานิ่งๆ แล้วตอบว่า “เรื่องนี้ก็ช่วยมิได้ ก่อนเกิดเรื่องยากจะตามหาร่องรอยของเขา จึงทำได้เพียงเฝ้าตอรอกระต่าย จวิ้นอ๋องชมความทุกข์ของผู้อื่นอย่างสนุกสนานไปเถอะ ผู้ที่ถูกท่านอาจารย์ส่งไปคุ้มครองตระกูลลู่ที่หนานหมิ่นก็คือศิษย์พี่ฉวีหวง เขากับศิษย์พี่อวี๋หลุนสนิทสนมกันดุจพี่น้อง หากเขาใช้อุบายจัดการสักหน่อย เกรงว่าจวิ้นอ๋องยังมิทันได้สู่ขอคุณหนูลู่ คุณหนูลู่ก็คงออกเรือนไปแล้ว”

“พรวด! แค่กๆ!” หลี่หลินพ่นน้ำชาในปากออกมาแล้วมองฮั่วฉงอย่างโหดเหี้ยม เอ่ยว่า “ได้ ข้าทำตามคำสั่งก็พอแล้วใช่หรือไม่ อย่างไรเสียข้าก็มิยินดีจะให้โหรวหลันแต่งงานกับท่าน ท่านมันเจ้าเล่ห์เพทุบายเกินไป แม้แต่อาเขยยังกล้าตลบหลัง เสด็จพี่ของข้าเหมาะกับโหรวหลันมากกว่า แต่ท่านแน่ใจหรือว่าเสด็จพ่อจะทำเช่นนั้น ท่านข่มขู่เขาได้ด้วยหรือ”

ฮั่วฉงยิ้ม “ข้าเป็นเสมียนขั้นหกตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะกล้าไปข่มขู่ชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ได้เช่นไร เพียงแต่ว่าแม้หลายปีที่ผ่านมานิสัยโอหังเหิมเกริมของฉีอ๋องจะลดน้อยลง แต่สันดานเดิมก็ยังมิเปลี่ยน ท่านอ๋องต้องจงใจสร้างความลำบากเพื่อหยามหมิ่นทูตหนานฉู่อย่างแน่นอน แม่นางหลิ่วผู้นั้นอ่อนนอกแข็งใน แล้วยังเผชิญกับการพรากจากอันเจ็บปวดแสนสาหัสเช่นนี้มา นางจะต้องเอ่ยวาจาต่อต้านเป็นแน่

ต่อให้สถานการณ์เช่นนี้มิเกิดขึ้น ข้าก็กล้ารับรองว่าท่านอาจารย์จะต้องเอาตัวแม่นางหลิ่วมาแน่นอน แม้กระบวนการระหว่างนั้นจะไม่เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์มิมีทางเปลี่ยน ท่านคิดเรื่องที่ตนเองต้องทำเถิด”

หลี่หลินพึมพำ “ท่านแน่ใจหรือว่าข้าจะมิถูกคนรักของแม่นางหลิงอวี่เชือดทิ้ง”

ดวงตาของฮั่วฉงฉายแววขบขัน เอ่ยว่า “น่าจะไม่กระมัง หากท่านถูกเชือด ข้าจะหาวิธีล้างแค้นให้ท่านเอง”

หลี่หลินแค้นใจจนกระทืบเท้าก่นด่า “หากเรื่องนี้มิสำเร็จ ต่อให้เสด็จพี่มิกล่าวโทษท่าน ข้าก็จะชำระแค้นกับท่าน” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป

ฮั่วฉงถอนหายใจ “หากล้มเหลวจริง เกรงว่าคงผลัดมิถึงตาเจ้ามาสั่งสอนเข้าหรอก จะรอดพ้นมือท่านอาจารย์ได้หรือไม่ก็ยังบอกยาก!”

เหมือนเช่นที่เต้าหลีกล่าว ยามนี้คณะทูตหนานฉู่เข้ามาในเมืองเหอเฝยแล้ว สถานที่ตั้งจวนแม่ทัพใหญ่ของฉีอ๋องก็คือภายในพระราชนิเวศน์ของเจ้าแคว้นหนานฉู่ในเมืองเหอเฝย พระราชนิเวศน์หลังนี้แต่เดิมสร้างขึ้นมาในสมัยจักรพรรรดิอู่ตี้ มันโอ่อ่าอลังการและวิจิตรงดงาม

ซั่งเฉิงเยี่ยเดินเข้ามาในตำหนักอิ๋นอาน เขามิมีเวลาทอดถอนใจที่พระราชนิเวศน์ของเจ้าแคว้นกลับกลายมาเป็นจวนแม่ทัพใหญ่ของชินอ๋องแห่งต้ายง และไม่มีกำลังเหลือไปสนใจแม่ทัพต้ายงที่ยืนกอดอกแผ่จิตสังหารท่าทางน่ากลัวอยู่สองฟากฝั่ง เขาเดินเข้ามาในห้องโถงแล้วก้มลงคำนับ จวบจนกระทั่งคำสั่งว่า ‘ลุกขึ้น’ ดังขึ้นมา เขาถึงกล้าเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน

เหนือบัลลังก์มีบุรุษวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาน่าเกรงขามคนหนึ่งนั่งอยู่ บนร่างของเขาสวมเกราะอ่อนสีทอง ด้านนอกสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีแดงสด บุรุษผู้นี้ท่าทางผึ่งผายองอาจ สง่าผ่าเผยน่าเกรงขาม แม้จะอายุสี่สิบห้าปีแล้ว แต่รูปโฉมและบุคลิกยังคงทำให้บุรุษทั่วใต้หล้าอับอาย เพียงแต่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกับสีหน้าอ่อนโยนของเขากลับทำให้ซั่งเฉิงเยี่ยนรู้สึกมิคุ้นตานัก

ในอดีตครั้งที่ฉีอ๋องมาเป็นราชทูตที่หนานฉู่ ซั่งเฉิงเยี่ยเองก็เคยพบเขา ทว่าฉีอ๋องในยามนั้นคล้ายกระบี่คมที่เผยออกจากฝัก เจิดจ้าสะดุดตาและอันตราย ทว่าวันนี้ได้พบกันอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าความโอหังเย้ยสวรรค์ในวันวานของบุรุษผู้นี้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขุมลุ่มลึกที่ซ่อนเร้น มีเพียงดวงตาทั้งสองที่ยังฉายแววเหยียดหยันใต้หล้าเป็นบางครั้ง ทำให้คนสัมผัสได้ว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าในวันวาน แต่จะว่าไปแล้วก็คงต้องมีราศีเช่นนี้จึงจะสมกับเป็นฉีอ๋องผู้ปกครองทหารชั้นยอดของต้ายง ขึ้นเหนือกำราบแผ่นดินฮั่น ลงใต้ปราบแคว้นฉู่ สร้างคุณงามความชอบนับมิถ้วน

ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งซ้ายของฉีอ๋องคือบุรุษท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้สวมอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่ง แม้เส้นผมจะเป็นสีเทาและมีด่างดวงสีขาวแต่กลับดูมีกำลังวังชา บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบนิ่งและจืดจาง ทว่าแม้จะอยู่ท่ามกลางแม่ทัพทหารกล้าทั้งหลายผู้ดุดันในตำหนักอิ๋นอาน เขากลับมิดูด้อยกว่าแม้แต่น้อย

แม้วันเวลาผ่านมานานหลายปีจนใบหน้าเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ซั่งเฉิงเยี่ยก็ยังเดาออกทันทีว่าคนผู้นี้ก็คือคนสำคัญอันดับสองของกองบัญชาการศึกเจียงหนานของต้ายง เจียงเจ๋อผู้ที่ในวันนี้ได้จักรพรรดิต้ายงพระราชทานบรรดาศักดิ์กั๋วโหวกลับคืนมาอีกหน เขารู้สึกได้เลือนรางว่าสายตาที่คนผู้นี้มองมายังตนเฉยชาอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าตนเองไม่มีน้ำหนักในใจเขาแม้แต่น้อย

ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งขวาของฉีอ๋องคือยอดแม่ทัพผู้มีเครารุงรัง ท่าทางน่าเกรงขามดั่งขุนเขา ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายเย็นยะเยือกดุดัน เขาก็คือจิงฉือผู้บุกตีไหวซี กำราบทุกทิศตลอดทางจนมาถึงเหอเฝย ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามดูแคลนคล้ายกับว่าจะลุกขึ้นมาสังหารคนได้ตลอดเวลา

ทว่าผู้ที่ทำให้ซั่งเฉิงเยี่ยสนใจมากกว่ากลับเป็นคนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงเจ๋อ คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเขียวก้มหน้าก้มตา แม้ท่าทางเหมือนบ่าวรับใช้ผู้เจียมตัว แต่ซั่งเฉิงเยี่ยกลับมิกล้าแสดงท่าทีดูแคลน ถึงขนาดที่มิกล้ามองคนผู้นั้นมากเกินไปด้วยซ้ำ ใต้หล้าต่างรู้จักนามเงามารหลี่ซุ่น หากไร้คนผู้นี้ เจียงเจ๋อก็คงมิอาจมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ ยิ่งมิอาจสร้างชื่อระบือนามได้สำเร็จ

อีกคนหนึ่งกลับเป็นดรุณีน้อยหน้าตางดงามอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่ง ดวงหน้านวลผ่องเปล่งปลั่ง งามสง่า ดรุณีน้อยผู้นั้นกำลังก้มหน้าพูดอะไรบางอย่างอยู่ข้างหูเจียงเจ๋อ เจียงเจ๋อพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่ตามใจ เมื่อเห็นภาพนี้ ซั่งเฉิงเยี่ยก็ฉุกคิด

จากที่เขาได้ข่าวมาก่อนหน้านี้ ได้ยินว่าสองปีที่ผ่านมาบุตรีของเจียงเจ๋อท่านหญิงเจาหวาเจียงโหรวหลันอยู่ในกองทัพมาตลอด สตรีนางนี้มิเพียงเป็นที่รักของราชวงศ์ต้ายง แต่ยังเป็นตัวเลือกพระชายารัชทายาทในอนาคตที่เป็นไปได้มากที่สุดอีกด้วย หากมิใช่ว่ารัชทายาทแห่งต้ายงหลี่จวิ้นกำลังตรวจการสงครามอยู่ที่เจียงไหว เกรงว่าสตรีนางนี้คงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายารัชทายาทแล้ว ดรุณีน้อยตรงหน้าผู้นี้มิเพียงรูปโฉมงามสง่า แต่ยังมีกิริยาชดช้อย ทั้งยังมาปรากฏตัวที่ตำหนักอิ๋นอานได้ทั้งที่เป็นสตรี คิดว่าคงจะต้องเป็นท่านหญิงเจาหวาอย่างมิต้องสงสัย

ซั่งเฉิงเยี่ยบังคับตนเองให้หยุดคิดเพ้อเจ้อ ก่อนจะก้มตัวคารวะหน้าบันไดอีกหน “ผู้น้อยรับบัญชามาจากเจ้าแคว้นหนานฉู่ ขอน้อมคารวะฉีอ๋องแม่ทัพใหญ่แห่งกองบัญชาการศึกเจียงหนาน ฝ่ายเรามีความจริงใจต้องการขอเจรจาสงบศึก โดยยินดีแบ่งแผ่นดินยกให้เป็นบรรณาการ ปวารณาตัวเป็นประเทศบริวารของต้ายงตราบชั่ว…”

เพิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ หลี่เสี่ยนก็เอ่ยอย่างรำคาญ “ข้ารับพระบัญชาจักรพรรดิให้ยกทัพมาปราบผู้มิภักดี ท่านทูตอยากจะขอสงบศึกก็สมควรเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ฉางอัน คำพูดเหล่านี้เอ่ยกับข้าหามีประโยชน์อันใดไม่ หากมิยอมพบเจ้าย่อมผิดต่อไมตรีที่เจ้าอุตส่าห์เดินทางมาไกลมาเยือน แต่ในเมื่อพบหน้าแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนเสียเถิด เรื่องเจรจาสงบศึกวันหน้าค่อยพูดกัน”

เดิมทีซั่งเฉิงเยี่ยก็มิคาดหวังว่าจะใช้ถ้อยคำเกลี้ยกล่อมฉีอ๋องสำเร็จอยู่แล้ว แต่คิดมิถึงว่าฉีอ๋องจะมิยอมแม้แต่ให้โอกาสเขาเอ่ยวาจา เขากลัดกลุ้มใจทำได้แต่เอ่ยว่า “ท่านอ๋องเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของต้ายงและแม่ทัพใหญ่ผู้กรีฑาทัพลงใต้ หากท่านอ๋องยอมเห็นใจความทุกข์ทรมานที่ประชาชนเจียงหนานต้องประสบจากไฟสงคราม กราบทูลฝ่าบาทของแคว้นท่านให้พักรบ หยุดการเข่นฆ่า สงบศึกอย่างราบรื่น ให้ประชาชนของทั้งสองแคว้นมิต้องประสบความทุกข์ยากจากคมดาบทหาร ฟ้าดินและอาณาประชาราษฎร์ล้วนจะซาบซึ้งพระคุณของท่านอ๋อง”

เขากล่าวถึงตรงนี้ก็เห็นหลี่เสี่ยนสีหน้าค่อนไปทางรำคาญ มิหวั่นไหวแม้สักนิด ในใจทราบว่าคนผู้นี้มิชอบคำพูดจอมปลอม จากนั้นก็นึกถึงชื่อเสียงเรื่องชมชอบนารีสมัยก่อนของคนผู้นี้ขึ้นมา เขาตัดสินใจจะมิสนใจเกียรติยศหน้าตาอันใดอีก เอ่ยต่อว่า “เพื่อแสดงความจริงใจของฝ่ายเรา ผู้น้อยเดินทางมาหนนี้นำของบรรณาการมากมายมาด้วย รายการของบรรณาการถวายให้ท่านอ๋องเมื่อวานแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดเห็นแก่ความจริงใจของฝ่ายเรา ยอมรับของขวัญและอนุญาตให้เจรจาสงบศึกด้วย”

หลี่เสี่ยนฟังจบก็ยิ้ม “พูดเช่นนั้นตั้งแต่แรกก็จบ ต้องพร่ำพูดมากมายเพียงนั้น”

พอคำนี้ถูกเอ่ยออกมา จิงฉือก็หัวเราะลั่นอย่างอดมิอยู่ หัวเราะจนตัวโยกโงนเงน พอมีเขานำ แม่ทัพทั้งหลายด้านล่างก็หัวเราะประสานตามด้วย ซั่งเฉิงเยี่ยหน้าแดงจนเหมือนตับหมู

เวลานี้เจียงเจ๋อที่เดิมทีอมยิ้มชมเรื่องสนุกอยู่ก็เริ่มทนมิไหว ต่อให้จะจงใจเหยียดหยามคณะทูต แต่ทำเช่นนี้ก็ผิดประเพณีอันดีงามเกินไปอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงกระแอมเบาๆ เป็นเชิงเตือนออกมาหนึ่งหน แม้เขาจะเป็นขุนนางบุ๋นแต่ก็มีบารมีในกองทัพอยู่พอสมควร เพียงกวาดสายตาเย็นๆ มองทุกคนหนหนึ่ง เสียงหัวเราะก็เงียบลงในบัดดล

จิงฉือถึงขั้นแอบหดคออย่างมิให้ผู้ใดสังเกตเห็น มิกล้าส่งเสียงอีกต่อไป สุดท้ายเจียงเจ๋อก็ถลึงตาใส่หลี่เสี่ยน ก่อนจะกล่าวเสียงนิ่งสงบว่า “ท่านทูตโปรดอภัย การเจรจาสงบศึกเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก แม้ฉีอ๋องจะเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ก็มิอาจกระทำตามอำเภอใจ รอหลังจากกราบทูลฝ่าบาท มิว่าเรื่องจะสำเร็จหรือไม่ อย่างไรเสียท่านก็คงจะได้คำตอบ”

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 144 หนึ่งระบำงามล่มเมือง (2)"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์