ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 16 ต้นหยางผลิใบเขียว หอมกลิ่นหญ้า (1)
รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ด ต้วนอู๋ตี๋หวนคืนจงหยวน หลีกเร้นอาศัยอยู่ในหมู่เขาระหว่างชิ่นโจวกับเจ๋อโจว ปลูกกระท่อมอยู่ในบ้านเกิดของแม่ทัพถาน จวบจนแก่ชราสิ้นใจก็มิออกมา
…พงศาวดารเป่ยฮั่น บันทึกต้วนอู๋ตี๋
หลังจากถานจี้วายปราณ แผ่นดินล่มสลาย จักรพรรดิต้ายงมอบหมายให้กรมพิธีการไล่เรียงรายนามของแม่ทัพทั้งหลายผู้สละชีพเพื่อเป่ยฮั่น เตรียมจะนำไปไว้ในวัดอู่เมี่ยว ให้ได้รับการเซ่นไหว้ทุกวสันต์กับสารท ถานจี้มีชื่อเสียงเลวทรามมากเกินไป กรมพิธีการจึงถวายหนังสือขอให้ลบนามของเขาออก จักรพรรดิต้ายงอนุญาต
…พงศาวดารเป่ยฮั่ั่น บันทึกถานจี้
หลังจากพวกหลินปี้สองคนออกไปแล้ว ลู่อวิ๋นก็ได้ยินเสียงเย็นยะเยือกเสียงนั้นเอ่ยว่า “องค์หญิงปี้ดูเหมือนจะทราบแล้วเช่นกัน”
เจียงเจ๋อคลี่ยิ้ม “คิดว่าเจ้าหนูหลี่หลินคงปิดปากไม่สนิท โอดครวญกับองค์หญิงปี้เข้า มิเป็นอะไร เจ้าไปเถิด”
หลังจากนั้นลู่อวิ๋นก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกไป ในใจเขายินดียิ่งนัก เจียงเจ๋ออยู่ที่นี่คนเดียว เป็นโอกาสดีที่ฟ้าประทานมาให้อย่างแท้จริง ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เห็นว่าเจียงเจ๋อยังไม่เข้านอน เขาจึงมุดออกมาจากใต้เตียงอย่างเงียบเชียบ เขาเห็นเจียงเจ๋อนั่งหันหลังให้ตนเองอยู่ตรงนั้น
เส้นผมสีเทา อาภรณ์สีเขียว มือข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อยด้านข้าง มืออีกข้างหนึ่งถือม้วนตำรา ลู่อวิ๋นก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่กำลังจะลงมือแทง มิรู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาก็เห็นมือขวาข้างนั้นของเจียงเจ๋อ นิ้วชี้เคาะเบาๆ กับผิวโต๊ะ ท่าทางสบายอุราอย่างยิ่ง
ในใจเกิดปฏิภาณไหวพริบในชั่วสายฟ้าแลบ ทันใดนั้นลู่อวิ๋นก็ทิ้งมีดสั้น ก้มลงไปคารวะจรดพื้น เอ่ยเสียงกังวาน “ลู่อวิ๋นคารวะอาจารย์ปู่ หวังว่าท่านจะสุขสบายดี”
ทันใดนั้นนิ้วมือของเจียงเจ๋อที่เคาะโต๊ะสี่เหลี่ยมอยู่ก็หยุดนิ่ง เขาหันกลับมาอย่างอ้อยอิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถิด เจ้าเดินทางหนนี้ลำบากแล้ว”
สี่ตาสบประสาน ลู่อวิ๋นมองพริบตาแรกก็เห็นดวงตานิ่งสงบอ่อนโยนแต่ลึกล้ำคู่นั้น เขาเห็นแม้กระทั่งรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากของบุรุษผมขาวดวงหน้าอ่อนเยาว์ผู้นี้ ในใจพลันรู้สึกประหนึ่งปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า ตนเองคาดเดาไม่ผิดจริงๆ คนผู้นี้ทราบร่องรอยของตนเองแล้วแน่
ข้ามองเสื้อผ้าไม่พอดีตัวบนร่างของลู่อวิ๋นแล้วยิ้มละไมเรียกเสียงดัง “เสี่ยวซุ่นจื่อ เข้ามาได้แล้ว”
ประตูของเรือนริมน้ำเปิดออกอีกหน เสี่ยวซุ่นจื่อเดินเข้ามา วันเวลาที่เคลื่อนคล้อยมิทิ้งร่องรอยเด่นชัดไว้บนร่างของเขา ดวงหน้าเย็นยะเยือกดุจหิมะยังมิมีสิ่งใดแตกต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อน เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นเยือกเย็นลุ่มลึกขึ้น
เขามองลู่อวิ๋นอย่างเย็นชาปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “คุณชายไยต้องยั้งมือไว้ไมตรีกับเจ้าเด็กคนนี้อีก เขาถึงกับกล้าวางแผนลอบสังหารคุณชาย ความผิดมิอาจให้อภัย ต่อให้คุณชายมิต้องการส่งเขาให้กรมวินิจการณ์ ก็สมควรให้เขาได้ลองลิ้มรสเข็มทองชิงวิญญาณของคุณชายสักหน่อย”
เมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของลู่อวิ๋น ข้าก็หัวเราะ “เสี่ยวซุ่นจื่อ มิต้องขู่เขาแล้ว หากเจ้ามิได้ลอบใช้ลมปราณคุ้มครอง ไหนเลยเขาจะซ่อนตัวอยู่ใต้เรือนริมน้ำที่พักของแม่ทัพต้วนได้นานปานนั้น อาศัยวรยุทธ์เท่านี้ของเขา ยังมิต้องพูดถึงซูโหวกับใต้เท้าเซียว ต่อให้เป็นแม่ทัพต้วนกับองค์หญิงปี้ เขาก็คงปิดบังหูตาของผู้ใดมิได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไม กล่าวว่า “แม้จะแช่อยู่ในน้ำหนาวเย็นเสียเกือบครึ่งวัน แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ได้ยินความลับไปมิน้อย หากมิใช่ว่าเรื่องราวต่อจากนั้นข้ารู้สึกว่าเขามิสมควรฟัง แล้วก็เห็นว่าเขาร้อนใจจนน่าสงสาร ก็คงไม่ดับตะเกียงให้เขาหนีออกมาได้”
ลู่อวิ๋นมองเสี่ยวซุ่นจื่อย่างตกตะลึง แม้เขาทราบว่าตนเองตกอยู่ในแผนการของเจียงเจ๋อ แต่ก็คิดมิถึงว่าคนผู้นี้จะติดตามตนเองมาตลอดทาง มิน่าตะเกียงดวงนั้นจึงดับได้จังหวะถึงเพียงนั้น ลองคิดว่าหากตนเองถูกคนบนระเบียงจับได้ คนพวกนั้นมิแน่อาจสังหารตนปิดปาก ถึงอย่างไรเรื่องที่พวกเขาคุยกันก็ย่อมมิต้องการให้ผู้อื่นทราบ เขาไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะมีคนไหนใจอ่อนมีเมตตา เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบคารวะขอบคุณเสี่ยวซุ่นจื่อผู้นี้ เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มน้อยๆ รับการคารวะ
หลังคารวะขอบคุณเสร็จ ลู่อวิ๋นก็อดมิไหว ถามขึ้นว่า “อาจารย์ปู่ ท่านทราบเจตนาที่ผู้เยาว์มาตั้งแต่เมื่อใด”
ข้าหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าทราบตั้งแต่เมื่อใดว่าข้าวางกับดักล่อให้เจ้ามาติดกับ”
ลู่อวิ๋นตอบอย่างนอบน้อม “ผู้เยาว์มักจะได้ยินท่านพ่อพูดถึงเรื่องในอดีตของอาจารย์ปู่ ท่านพ่อเคยบอกว่า ในอดีตอาจารย์ปู่ว่างเมื่อใดก็ชอบกลั่นแกล้งเขาเป็นที่สุด ตอนแรกท่านพ่อติดกับอยู่หลายครั้งหลายครา ต่อมาสิบครั้งหนีรอดเสียเจ็ดแปดหน”
ข้านึกย้อนไปยังวันวาน เรื่องนี้เป็นปริศนาที่ข้าคลี่คลายมิได้เรื่องหนึ่ง ทั้งที่เจ้าเด็กคนนั้นโง่มากแท้ๆ แต่ข้าดันมิอาจกลั่นแกล้งเขาได้ตามใจ แม้ข้าจะติดขัดที่ฐานะอาจารย์จึงมิกล้าทำรุนแรงเกินไปนัก แต่เจ้าเด็กคนนั้นจะต้องมีเคล็ดลับบางอย่างแน่ ความสงสัยใครรู้ผุดพรายขึ้นในใจ ข้าแสร้งทำท่าทางมิสนใจนักถามขึ้นว่า “อ้อ ที่แท้บิดาของเจ้าถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้เจ้าสินะ มิทราบข้าเผยพิรุธอะไรออกไป”
ลู่อวิ๋นย่อมไม่แกล้งปล่อยให้อีกฝ่ายอยากรู้ในเวลาเช่นนี้ รีบตอบว่า “ท่านพ่อบอกว่าทุกครั้งยามท่านคิดจะกลั่นแกล้งผู้อื่น หากมือวางเอาไว้บนโต๊ะล้วนจะอดใจมิไหวใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะเบาๆ เสมอ ดังนั้นขอเพียงสังเกตสักนิดก็จะมิติดกับบ่อยนัก”
ข้าตะลึงไปชั่วครู่ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง มิน่าสมัยนั้นหากข้าวัดฝีมือกับลู่ช่านในห้องหนังสือ มักจะปล่อยให้เจ้าเด็กคนนั้นหนีรอดไปอยู่เสมอ ข้าในยามนั้นอายุน้อยเกินไป มิรู้จักปกปิดเก็บซ่อน หากเป็นตอนนี้ย่อมมิมีทางถูกจับได้ง่ายดายเช่นนั้น ส่วนที่เจ้าเด็กลู่อวิ๋นคนนี้ค้นพบพิรุธ มีเหตุผลเพียงประการเดียว นั่นก็เพราะวันนี้ข้ามิได้เห็นเขาสำคัญอย่างสิ้นเชิง
หลังจากในใจกระจ่าง ข้าจึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะเลียนแบบมือสังหารกระทำการลอบสังหารถือว่ายังอ่อนด้อยเกินไปอยู่บ้าง เจ้าเพิ่งเข้านครฉางอันก็เผยพิรุธแล้ว ก่อนอื่นยังมิต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ข้ากับบิดาของเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน อายุของเขาในยามนั้นใกล้เคียงกับเจ้า แม้หน้าตาของเจ้าเทียบกับหน้าตาของบิดาเจ้าในตอนนี้จะคล้ายกันเพียงห้าหกส่วน แต่กลับเหมือนเขาตอนยังเยาว์วัยทุกกระเบียดนิ้ว ต่อให้เจ้าเข้าใกล้ข้าสำเร็จสมประสงค์ เพียงปราดเดียวข้าก็มองตัวตนของเจ้าออก
แล้วเจ้าเป็นบุตรชายของลู่ช่าน ทั้งยังเก่งกล้าเป็นที่เลื่องลือ กรมวินิจการณ์และกองการข่าวของต้ายงต่างมีภาพเหมือนของเจ้าเก็บไว้อยู่ก่อนแล้ว หากมิใช่ว่าข้าให้คนปกปิดแทนเจ้า น่ากลัวว่าเจ้าคงหลบมิพ้นตั้งแต่ด่านสวนหุบเขาทอง”
ลู่อวิ๋นก้มหน้าเงียบงันอย่างอับอาย เวลานี้เขาทราบความไร้เดียงสาของตนเองแล้ว
ข้าโจมตีเขาต่อ “เจ้าเองก็เป็นบุตรตระกูลแม่ทัพ เหตุไฉนจึงทำเรื่องน่าขำเช่นนี้ เด็กน้อยคนหนึ่งเพ้อฝันคิดจะลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของต้ายง หากเจ้าล้มเหลวย่อมจบชีวิตอยู่ที่นครหลวงต้ายง ต่อให้ทำสำเร็จจะมิจุดไฟสงครามของสองแคว้นหรือไร ถึงยามนั้นแม้บิดาของเจ้าจะใช้มือปิดฟ้าที่หนานฉู่ได้ ก็มิแน่ว่าจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยได้ เจ้าคิดว่ายามนี้หนานฉู่ปรารถนาจะทำสงครามกับต้ายงหรือ”
ศีรษะของลู่อวิ๋นเหงื่อเย็นเปียกชุ่ม เวลานี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าตนทำผิดพลาดร้ายแรงเพียงใด หากต้ายงใช้ข้ออ้างประการนี้ก่อสงครามขึ้นมา ตนย่อมกลายเป็นคนบาปแห่งหนานฉู่ บิดาก็ต้องเคราะห์ร้ายเพราะตนเองไปด้วย
ข้าถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าบิดาของเจ้าเคารพข้าเพราะความรู้สึกส่วนตัวจริงหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชีวิตของข้าเคยเกือบปลิดปลิวใต้เงื้อมมือเขามาแล้ว บิดาของเจ้าเพียงต้องการให้ข้าเห็นแก่ไมตรีในอดีต มิวางแผนออกอุบายยามต้ายงยกทหารม้าบุกลงใต้ก็เท่านั้น เหลือไมตรีไว้หนึ่งส่วน ย่อมดีกว่าตัดสัมพันธ์ขาดสะบั้น
ตั้งแต่แรกข้าก็เดาได้แล้วว่าเจ้าต้องเดินทางมากำจัดอาจารย์ผู้เป็นขุนนางทรยศคนนี้อย่างข้าแทนบิดาของเจ้าเป็นแน่ ข้ามองว่าเจ้าอายุน้อยเลือดร้อน วันหน้าคงนำพาความลำบากนับไม่ถ้วนมาให้บิดาของเจ้าเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสร้างบททดสอบขึ้นมาด่านแล้วด่านเล่า หากเจ้าผ่านไปได้ก็ย่อมแสดงว่าเจ้ายังมีข้อดีอยู่บ้าง ข้าจะละเว้นเจ้าสักหน
แต่หากเจ้าเป็นคนบุ่มบ่ามไร้ความสามารถจริงๆ ต่อให้บิดาของเจ้าเคียดแค้น ข้าก็จะเอาชีวิตของเจ้า บิดาของเจ้าอยู่หนานฉู่ประหนึ่งย่างเหยียบบนแผ่นน้ำแข็ง หากเจ้ามิเข้าใจความทุกข์ใจของเขา จะอยู่ต่อไปทำไม”
ลู่อวิ๋นประหนึ่งเพิ่งตื่นจากฝัน ความสงสัยนานาประการก่อนหน้านี้ล้วนได้รับคำตอบ สาเหตุที่ท่านพ่อเคารพนอบน้อมต่อคนตรงหน้าผู้นี้ปานนั้น มิใช่เพื่อความผูกพันแต่หนหลัง แต่เป็นเพราะความรู้สึกผิด เขาหวนนึกถึงความเข้าใจผิดและคำต่อว่าต่อขานที่ตนมีต่อบิดาก่อนหน้านี้ก็เจ็บปวดเสียใจทบทวีจนอดกลั้นมิไหวร้องไห้ออกมา
ข้าเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้ทราบความผิดพลาดของตนเองแล้ว น้ำเสียงจึงอ่อนลงมาก เล่าต่อว่า “ข้าสร้างการทดสอบขึ้นมาสามด่าน ด่านแรกก็คือหลี่หลิน เขาเรียกเจ้ามาพบที่สวนหุบเขาทอง หากเขามิถูกใจเจ้าย่อมหมายความว่าฝีมือเชิงยุทธ์ธรรมดาดาษดื่นกลับยังกล้าเดินทางมาลอบสังหาร นับเป็นคนด้อยความสามารถ สังหารเสียดีที่สุด มิให้ต้องนำเคราะห์ร้ายไปถึงบิดาของเจ้า แต่เจ้านับว่าเป็นวีรุบุรุษหนุ่มตัวจริง ร้อยก้าวยิงใบหลิว ในรุ่นอายุของเจ้า ทักษะการยิงธนูถือว่าโดดเด่นยิ่งนัก การทดสอบด่านแรกนี้เจ้าผ่านมาได้อย่างราบรื่นอย่างยิ่ง
การทดสอบด่านที่สองก็คือในศาลาหลินปัว แต่เดิมข้าอยากจะดูว่าเจ้าจะใจเหี้ยมทำร้ายโหรวหลันลงหรือไม่ หากเจ้าโหดเหี้ยมเช่นนั้น ฮั่วฉงก็จะรับบัญชาจัดการเจ้าเสีย น่าเสียดายโหรวหลันถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของข้า เพื่อหลบเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับเจ้า นางจึงกระโดดลงน้ำไปด้วยตนเอง ดังนั้นด่านที่สองนี้จึงพอฝืนนับว่าเจ้าผ่านมาได้
ด่านที่สามก็คือคืนนี้ หากเจ้าคิดหาวิธีทวนกระแสน้ำขึ้นมาตามหาห้องนอนของข้ามิได้ก็นับว่ามีสติปัญญามิมากพอ ข้าจะลงโทษเจ้าเสีย ในเมื่อเจ้ามีความกล้าเดินทางมาต้ายงลอบสังหารข้า หากวรยุทธ์ สติปัญญาและคุณธรรมล้วนมีมิมากพอ ข้าสังหารเจ้าไปย่อมมิมีสิ่งใดน่าเสียดาย แต่เจ้าโชคดีไม่เลว ทั้งสามด่านล้วนผ่านหมด วันนี้เจ้าจึงรักษาชีวิตไว้ได้ นับว่ามิเสียทีเป็นบุตรชายคนโปรดของลู่ช่าน”
น้ำตาของลู่อวิ๋นหยุดไหล ฟังด้วยใบหน้าแดงก่ำ อดนึกยินดีที่ยามนั้นยังมิทันทำร้ายโหรวหลันมิได้ แต่แล้วอารมณ์อีกอย่างหนึ่งก็ทะลักขึ้นมา เขาเอ่ยขึ้นอย่างวิตกกังวล “อาจารย์ปู่ พวกเขารู้ตัวตนของข้ากันหมดแล้วหรือ”
ข้าหัวเราะ “เป็นอะไรไป ไม่มีหน้าพบพวกเขาแล้วหรือ แม้ยามนั้นยังมิทราบ แต่ยามนี้ล้วนทราบกันหมดแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเหตุใดเมื่อวานหลี่หลินจึงโกรธจัดถึงเพียงนั้นเล่า”