ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 20 ร้องรำใต้กระโจม (1)
รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ด เดือนสิบ วันที่หก เผยอวิ๋นแม่ทัพใหญ่แห่งค่ายสวีโจวบุกลงใต้ทางเปี้ยนสุ่ยกับซื่อสุ่ย จู่โจมด่านซื่อโข่ว
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
เดือนสิบ วันที่ห้า ค่ายใหญ่ฉู่โจวทางฝั่งไหวตง ท้องฟ้ามืดแล้ว ภายในกระโจมกลางกองทัพกลับมีเสียงเพลงรื่นเริงกับเสียงหัวเราะ ร้องรำอย่างแสนสงบสุข ลั่วโหลวเจินแม่ทัพใหญ่ประจำไหวตงของหนานฉู่กำลังกินเลี้ยงอย่างสุขสำราญกับเหล่าแม่ทัพ
ภายในกระโจมหลังใหญ่ นางรำสิบกว่าคนกำลังร่ายรำอย่างงดงาม ท่วงท่าระบำอ่อนช้อย อาภรณ์ผ้าแพรเบาบาง เผยผิวขาวผ่องวับๆ แวมๆ ทำให้แม่ทัพผู้เมามายภายในกระโจมกับทหารที่คุ้มกันนอกกระโจมมองตาโตอ้าปากค้าง มุมปากน้ำลายไหลยืด
ลั่วโหลวเจินที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดมีหญิงสาวงามพริ้มเพราอายุสิบหกสิบเจ็ดปีสองนางอยู่ในอ้อมกอดซ้ายขวา เขาเงยหน้าหัวเราะลั่นเป็นพักๆ หญิงสาวสองนางยิ้มหวานรินสุราจัดวางอาหารให้เขา บางครั้งหญิงสาวนางหนึ่งก็จะใช้ริมฝีปากแดงป้อนสุราให้ ลั่วโหลวเจินมีผู้เสนอก็มิปฏิเสธ
เขาปรบมือตามจังหวะเสียงเพลงและการร่ายรำอย่างเมามาย น้อยคนนักจะสังเกตเห็นว่าความจริงแล้วสายตาของเขามองบนร่างนางรำเหล่านั้นเป็นบางครั้งเท่านั้น สตรีที่ผู้ใดก็เด็ดมาดมดอมได้ตามใจชอบเช่นนี้ ลั่วโหลวเจินมิสนใจแต่ประการใด ความสนใจของเขามากกว่าครึ่งล้วนอยู่บนตัวแม่ทัพพวกนั้น
ข้างกายแม่ทัพระดับสูงหลายคนมีหญิงสาวแต่งกายงดงามดั่งบุปผาสะพรั่งขนาบข้าง ส่วนพวกแม่ทัพระดับกลางกับระดับล่างต่างจดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่บนร่างของนางรำผู้เฉิดโฉมเหล่านั้น ลั่วโหลวเจินยิ้มได้ใจ เขาครอบครองรูปโฉมหล่อเหลา มีวรยุทธ์สูงส่ง สิ่งเดียวที่มิพรั่งพร้อมก็คือความสามารถในด้านกลศึก แต่เมื่อได้รับการสนับสนุนจากซั่งเหวยจวินกลับได้เลื่อนขั้นรวดเดียวมาคุมค่ายใหญ่ฉู่โจว เพื่อทำให้อำนาจมั่นคง เขาสิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อย ใช้เงินทองและคนงามซื้อใจทหารหาญและแม่ทัพผู้กล้าแกร่งเหล่านั้น
แม่ทัพที่มีความสามารถอย่างแท้จริงพวกนั้นถูกเขากีดกันออกไปเพื่อป้องกันมิให้อันตรายต่อตำแหน่งของเขา อาศัยเงินทองและคนงามกับอำนาจทหารในมือ ค่ายใหญ่ฉู่โจวจึงเป็นเสมือนแผ่นเหล็ก อย่างน้อยก็กำเริบเสิบสานในไหวตงได้โดยมิมีผู้ใดขัดขวาง
เริ่มแรกลั่วโหลวเจินยังรู้จักฐานะของตนเองอยู่บ้าง เขาทราบว่าหากเทียบกับตระกูลลู่ที่เป็นตระกูลแม่ทัพมาหลายรุ่น ตนเองยังมีรากฐานตื้นเกินไป แม้เขาเข้าใจเจตนาของซั่งเหวยจวินที่ต้องการสนับสนุนเขาเพื่อต่อกรกับตระกูลลู่ แต่เขาก็มิเคยกล้าล่วงเกินตระกูลลู่จริงๆ เพียงคอยกุมไหวตงไว้ให้มั่นและเชื่อฟังคำสั่งของซั่งเหวยจวินเท่านั้น
ซั่งเหวยจวินก็ทราบว่าตระกูลลู่มิได้ต่อกรด้วยง่าย ด้วยเหตุนี้ลั่วโหลวเจินจึงได้อยู่อย่างสงบสุขในไหวตง ส่วนภัยคุกคามจากต้ายง ตอนแรกเขาก็กังวลอยู่บ้าง แต่มิมีความเคลื่อนไหวมาเจ็ดแปดปี ผนวกกับรอบตัวเต็มไปด้วยคนถ่อยผู้ถนัดแต่ยกยอประจบประแจง เขาจึงหลงลำพอง แทบจะลืมเลือนความร้ายกาจของกองทัพอาชาเหล็กของต้ายงจนหมดสิ้น
ขณะที่ลั่วโหลวเจินกำลังเริงรื่นอย่างถึงที่สุดอยู่นั่นเอง ทหารคนสนิทคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามารายงาน “เรียนท่านแม่ทัพ แม่ทัพลู่ส่งจดหมายมาขอรับ”
ลั่วโหลวเจินตอบอย่างเกียจคร้าน “มีเรื่องอันใดกัน ให้คนส่งสารเข้ามา”
ทหารคนสนิทมองภาพความเหลวแหลกภายในกระโจมหลังใหญ่อย่างลังเลแต่มิกล้าโต้แย้ง แม่ทัพใหญ่ลู่ช่านเป็นถึงแม่ทัพผู้ครองตำแหน่งและอำนาจสูงสุดในหนานฉู่ ลั่วโหลวเจินดูแคลนผู้ส่งสารเช่นนี้ เสียมารยาทอยู่บ้างจริงๆ อีกอย่างได้ยินมาว่าแม่ทัพใหญ่ปกครองทหารเข้มงวดยิ่งนัก หากให้ผู้ส่งสารเห็นภาพเช่นนี้เข้าก็คงมิเหมาะสมนัก แต่ทหารคนสนิทผู้นี้ทราบว่าหากตนเองเอ่ยปากออกมา ก็เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะถูกลั่วโหลวเจินสั่งลงโทษ ดังนั้นจึงได้แต่รับบัญชาไปนำทางผู้ส่งสารเข้ามา
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้ส่งสารก็ก้าวเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นภาพภายในกระโจม แววตาก็เย็นยะเยือกในทันใด เขาคำนับตามพิธีการทหารแล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยลู่ฉวิน รับคำสั่งแม่ทัพใหญ่นำจดหมายมาส่ง ขอแม่ทัพลั่วโปรดรับ” พลทหารอายุน้อยคนหนึ่งที่เดินตามหลังเขาเข้ามาคำนับตามโดยที่สีหน้ามิเปลี่ยนสักนิด
ลั่วโหลวเจินกวักมือ ทหารคนสนิทนายหนึ่งก้าวเข้าไปรับจดหมายนำมาส่งให้ลั่วโหลวเจิน ลั่วโหลวเจินอ่านเสร็จก็หัวเราะลั่น เอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่กังวลเกินไปแล้ว ยามนี้มิใช่เมื่อแปดเก้าปีก่อนเสียหน่อย กองทัพเรายึดดินแดนเจียงไหวกับสู่จงอยู่ ทั้งยังมีปราการธรรมชาติอย่างแม่น้ำฉางเจียง กองทัพต้ายงคิดจะข้ามมาตามใจดังก่อนหน้าย่อมเป็นเรื่องเพ้อฝัน
เจตนาของแม่ทัพใหญ่ข้ารับทราบแล้ว เชิญกลับไปตอบแม่ทัพใหญ่ ผู้น้อยรับพระบัญชาจากเจ้าแคว้นให้รับผิดชอบงานของกองทัพฝั่งไหวตง มิกล้าหย่อนยานแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องที่แม่ทัพใหญ่กล่าวในจดหมาย ข้าเข้าใจแล้ว แต่เรื่องกำลังเสริมคงมิจำเป็น ไหวตงของข้ามีไพร่พลเจ็ดหมื่นนาย ยังจะรับมือการรุกรานของกองทัพต้ายงมิได้อีกหรือ”
ผู้ส่งสารคนนั้นเป็นแม่ทัพตระกูลลู่ เห็นลั่วโหลวเจินมิแยแส ทั้งยังแฝงความไม่เคารพและดูแคลนเช่นนี้ ก็หักห้ามโทสะที่ลุกโชนในใจมิไหว ขณะที่กำลังคิดจะสาดโทสะออกมา พลทหารหนุ่มด้านข้างก็ดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ ผู้ส่งสารคนนั้นจึงข่มกลั้นความโกรธเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอท่านแม่ทัพมอบหนังสือตอบกลับให้ผู้น้อยนำกลับไปด้วย”
ลู่โหลวเจินสั่งบัณฑิตคนหนึ่งในงานเลี้ยงอย่างรำคาญ “ที่ปรึกษาหวง เจ้าเขียนหนังสือตอบกลับท่านแม่ทัพใหญ่แทนข้า เขียนเสร็จก็ให้เขานำกลับไป” กล่าวจบก็ชี้ผู้ส่งสารคนนี้ สีหน้าหยิ่งยโสไร้มารยาทยิ่งนัก หนนี้พลทหารหนุ่มผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด แววตาอยากจะสังหารคนปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
ผู้ส่งสารกับพลทหารหนุ่มคนนั้นรับหนังสือตอบกลับ จากนั้นหมุนตัวออกจากกระโจม จวบจนออกจากประตูค่ายแล้วก็ยังได้ยินเสียงดนตรีครื้นเครงดังออกมาจากในกระโจม พลทหารหนุ่มผู้นั้นเอ่ยอย่างเย็นชา “กลับไปต้องบอกท่านพ่อ หากปล่อยให้ลั่วโหลวเจินคุ้มกันไหวตง กองทัพต้ายงต้องบุกทะลวงเข้ามาได้แน่ ให้ท่านพ่อเตรียมเก็บกวาดซากความเละเทะเถิด”
ลู่ฉวินถอนหายใจเอ่ยว่า “แม่ทัพน้อยโปรดวางใจ แม่ทัพใหญ่ทราบนิสัยของลั่วโหลวเจินนานแล้ว หนนี้พวกเราเดินทางมาส่งสารเป็นการทำเรื่องที่ทำได้ให้เต็มที่เท่านั้น เรื่องภายหลังแม่ทัพใหญ่ย่อมมีหนทางแก้ไข
แม่ทัพน้อยรวมตัวกับทหารคนสนิทแล้วก็จะเดินทางไปโซ่วชุนใช่หรือไม่ แม่ทัพสือกวนผู้พิทักษ์โซ่วชุนเป็นคนเข้มงวด คำสั่งของแม่ทัพใหญ่ให้ท่านเดินทางไปถึงก่อนครบสิบสองวัน หากฝ่าฝืนคำสั่งกองทัพ น่ากลัวว่าเขาคงโบยท่าน”
ทหารหนุ่มข่มใจมิไหว สีหน้าวูบไหวเล็กน้อย หักห้ามความรู้สึกอยากจะเอื้อมมือไปลูบจุดที่ถูกโบย เพิ่งถูกลงโทษก็ต้องขี่ม้าหลายวัน รสชาติเช่นนี้เหลือรับยิ่ง
เวลานี้ภายในค่ายใหญ่ฉู่โจวกำลังรื่นเริงถึงที่สุด ลั่วโหลวเจินไล่ผู้ส่งสารออกไปเสร็จก็เห็นแม่ทัพในงานเลี้ยงกระหายอยากเต็มทน จึงหัวเราะลั่นเอ่ยว่า “เอาละ เพลิดเพลินกับบทเพลงและระบำพอแล้ว แม่ทัพทั้งหลายก็มาร่วมสนุกด้วยกันเถิด”
นี่ก็คือเรื่องที่แม่ทัพทั้งหลายตั้งตาคอยมานานแล้ว เห็นลั่วโหลวเจินตระกองกอดหญิงสาวสองนางเดินออกจากกระโจม แม่ทัพที่อดรนทนรอไม่ไหวมานานแล้วคนหนึ่งกระโจนเข้าใส่นางรำ เมื่อแม่ทัพยศสูงพากันอุ้มหญิงรับใช้หน้าตางดงามเดินออกจากกระโจมไปแล้ว กระโจมกลางกองทัพที่แต่เดิมสมควรใช้วางแผนการศึกจัดการเรื่องสำคัญก็มีเสียงเริงโลกีย์ดังออกมา
ลั่วโหลวเจินกลับมายังกระโจมที่พักของตนเองอย่างพึงพอใจ เขากระทำเรื่องหยาบโลนอยู่พักหนึ่งก็สะลึมสะลือหลับใหล เพิ่งผ่านยามสาม จู่ๆ ทหารคนสนิทก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาแจ้งว่า “ท่านแม่ทัพ ผู้ส่งสารของท่านอัครมหาเสนาบดีต้องการพบ”
ลั่วโหลวเจินสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงฝัน ตกใจจนเหงื่อเย็นหลั่งทั่วร่าง แม้การจัดงานรื่นเริงในบางครั้งบางคราวจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากปล่อยให้ผู้ส่งสารของซั่งเหวยจวินเห็นตนเองในสภาพเช่นนี้ แล้วกลับไปรายงานย่อมเป็นการหยามหน้าอัครมหาเสนาบดี อำนาจลาภยศของเขาล้วนได้รับมาจากซั่งเหวยจวิน อีกทั้งเขายังแต่งงานกับหลานสาวของซั่งเหวยจวินอีก เขาย่อมมิกล้าล่วงเกินซั่งเหวยจวินอย่างเด็ดขาด
เขารีบให้ทหารคนสนิทนำหญิงสาวสองนางไปซ่อนในกระโจมอีกหลัง ตนเองรีบร้อนใช้น้ำเย็นล้างหน้า จากนั้นไปต้อนรับผู้ส่งสารด้วยตนเอง ทว่าผู้ส่งสารคนนั้นมิสนใจกลิ่นสุราที่โชยหึ่งกับกลิ่นหอมของแป้งชาดบนร่างของลั่วโหลวเจินแม้แต่น้อย เขาส่งจดหมายของซั่งเหวยจวินให้กับลั่วโหลวเจินเสร็จก็ผลุนผลุนขอตัวจากไป
หลังจากเปิดจดหมายอ่าน ลั่วโหลวเจินก็พลันรู้สึกประหนึ่งมีน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดรดศีรษะ ในนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าอีกไม่นานกองทัพต้ายงจะบุกไหวตง ให้เขารักษาดินแดนปากแม่น้ำไหวสุ่ยกับซื่อสุ่ยให้ดี ห้ามทำศึกอย่างเลินเล่อ แต่ขับไล่ข้าศึกแล้วก็ให้พอ
ความจริงแล้วยามที่ซั่งเหวยจวินเขียนจดหมายฉบับนี้ เขาก็ยังไม่เชื่อว่ากองทัพต้ายงจะยกกองทัพใหญ่บุกลงใต้ เจ็ดปีที่ผ่านมากองทัพต้ายงเฝ้าอยู่แต่ฝั่งของตน ทำให้ซั่งเหวยจินเชื่อมั่นไปเองว่าในเมื่อมีดินแดนแถบเจียงไหวกับจิงเซียง มีแนวป้องกันของสู่จงที่เป็นดั่งปราการเหล็ก พร้อมกับมีแม่น้ำฉางเจียงหนุนหลัง แตกต่างจากในอดีตที่ต้องหวาดผวาบ่อยครั้งแล้ว กองทัพสี่แสนนายของหนานฉู่ย่อมปกป้องครึ่งหนึ่งของแผ่นดินเจียงหนานไว้ได้
เขาย่อมไม่กล้ามีความคิดบุกขึ้นตอนเหนือของจงหยวน แต่ความเชื่อที่ว่าต้ายงยากจะบุกลงใต้ก็ฝังรากลึกในความคิดของเขาแล้วเช่นกัน มิใช่แต่เขาเท่านั้น ขุนนางนับร้อยในเจี้ยนเย่ มากกว่าครึ่งก็มิระแวดระวังเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ซั่งเหวยจวินจึงมิเพียงมิเห็นด้วยกับหนังสือที่ลู่ช่านส่งมาถวายสักนิด แต่ยังถึงกับรู้สึกคัดค้านด้วย
เรื่องที่ลู่อวิ๋นหายตัวไปหลายวันในช่วงก่อนหน้านี้ถูกซั่งเหวยจวินสืบทราบแล้ว การกระทำต่างๆ นานาของลู่อวิ๋นที่ฉางอัน ซั่งเหวยจวินก็ทราบมามากกว่าครึ่งแล้วเช่นกัน แต่เดิมเขาคิดจะอาศัยโอกาสนี้บีบลู่ช่าน รุกคืบยึดอำนาจทหารอีกก้าวหนึ่ง แต่คนสนิทต่างเกลี้ยกล่อมเขาว่าเรื่องนี้ไม่มีหลักฐานแน่นหนา มิสู้ปล่อยไว้ก่อนชั่วคราว หลังจากได้รับหลักฐานว่าตระกูลลู่สมคบกับศัตรูค่อยหาเรื่องก็ยังมิสาย ดังนั้นซั่งเหวยจวินจึงทำได้เพียงเพิ่มการสอดส่องตระกูลลู่เท่านั้น
หากมิใช่ว่าต่อมาลู่ช่านไปเก็บตัวอยู่ในค่ายใหญ่เจียงเซี่ยจนแทบจะมิก้าวออกมา ยามอยู่ในที่ประชุมราชสำนักหนานฉู่ก็ปิดปากเงียบไม่พูดจา แม้แต่ลู่อวิ๋นก็ถูกส่งไปในค่ายด้วย ซั่งเหวยจวินคงเอาเรื่องนี้มาเขียนรายงานบ้างอย่างแน่นอน
ในความเห็นของซั่งเหวยจวิน ในเมื่อตระกูลลู่กับฉางอันลอบส่งข่าวหากัน ติดต่อกันไม่ขาด หากปีนี้ต้ายงตั้งใจจะบุกลงใต้จริง ลู่อวิ๋นกับแม่ทัพคนสนิทสองคนของลู่ช่านย่อมมิมีทางกลับมาจากฉางอันได้อย่างปลอดภัย หากเป็นตน ตนย่อมเก็บลู่อวิ๋นไว้บีบบังคับบิดาของเขา ดังนั้นการที่ลู่ช่านพูดจาชวนให้ผู้คนหวาดหวั่นเช่นนี้ ความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งคงจะทำเพื่อแย่งชิงอำนาจทหาร
ในตอนนี้เองกองทัพต้ายงก็บุกตีด่านจยาเหมิงอย่างสายฟ้าแลบ แต่ซั่งเหวยจวินก็ยังคิดว่าเป็นเพียงการข่มขู่ ถึงอย่างไรเรื่องราชบรรณาการก็ทำให้ต้ายงเสียหน้าจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นด่านจยาเหมิงก็ต่างจากแถบเจียงไหวและจิงเซียง แม้ด่านจยาเหมิงฝั่งนั้นมิมีศึกใหญ่มาหลายปีนี้แต่ก็มิสงบเท่าใดนัก แล้วอีกอย่างมิแน่ว่าอวี๋เหมี่ยนอาจจะรับคำสั่งจากลู่ช่านส่งรายงานสถานการณ์ปลอมมาก็เป็นได้ แม้จะมิใช่ อาศัยปราการธรรมชาติของด่านจยาเหมิงยังจะขวางกองทัพต้ายงไว้มิได้อีกหรือ
นอกจากนั้น ยามนี้กำลังทหารส่วนใหญ่ของหนานฉู่ ทหารสามหมื่นนายใต้บัญชาของอวี๋เหมี่ยนที่ด่านจยาเหมิง ทหารห้าหมื่นนายใต้บัญชาหรงเยวียนในเซียงหยาง รวมกับค่ายใหญ่เจียงเซี่ย ค่ายใหญ่จิ่วเจียงที่แต่ละแห่งมีกำลังทหารหกหมื่นนาย ก็เท่ากับทหารทั้งหมดสองแสนนายล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของลู่ช่าน
แม้กองทัพห้าหมื่นนายที่ปกปักษ์ไหวซีในนามจะมิได้อยู่ในการปกครองของลู่ช่าน แต่แม่ทัพใหญ่สือกวนก็เป็นแม่ทัพที่ลู่ซิ่นผลักดันขึ้นมา เขาเคารพตระกูลลู่อย่างยิ่งมาตลอด แม้แต่ทหารราชองครักษ์หนึ่งแสนนายที่เจี้ยนเย่ ในนั้นก็ยังมีทหารราชองครักษ์สี่หมื่นนายที่เอนเอียงไปทางฝั่งลู่ช่าน ทหารราชองครักษ์หกหมื่นนายที่เหลือความสามารถมิกล้าแกร่งนัก หากมิใช่ว่ามีกองทัพเจ็ดหมื่นนายที่ไหวตงอยู่ จะเกิดการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเปลี่ยนราชวงศ์ขึ้นมาก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปมิได้