ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 36 เพียรเยือนกระท่อมสามหน (1)
รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ด เดือนสิบสอง ต้ายงพ่ายแพ้ยับเยินที่ไหวหนาน ผู้บัญชาการทหารไหวหนานเผยอวิ๋น แม่ทัพจิ้งเป่ยจ่างซุนจี้ถวายหนังสือขอน้อมรับความผิด จักรพรรดิต้ายงถอนหายใจตรัสว่า ‘ขุนนางทั้งสองหามีความผิดไม่ ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง’ จึงออกราชโองการลงโทษพระองค์เอง ถือศีลเซ่นไหว้สวรรค์ สวดภาวนาให้ดวงวิญญาณวีรบุรุษ
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
“เดือนสิบเอ็ด วันที่สี่ ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยเคลื่อนพลมาทางตะวันออก ระหว่างทางเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด อ้างว่าเพราะไหวซีแจ้งสถานการณ์ฉุกเฉิน จิ่วเจียงขาดกำลังพลจึงเดินทางมายังจิ่วเจียงเพื่อป้องกันกองทัพต้ายงข้ามแม่น้ำ”
ภายในสวนเหมันต์ แสงโคมส่องสว่าง ฮั่วฉงถือเอกสารอ่านให้ฟัง ส่วนเจียงเจ๋อเอนร่างอยู่บนตั่งนุ่มขยับมือเล่นตัวหมากหยกดำใสแวววาวอย่างสบายอกสบายใจ เสี่ยวซุ่นจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของกระดานหมาก ขมวดคิ้วมองกระดานหมากตรงหน้า หมากสีขาวบนกระดานที่วางเรียงเป็นมังกรตัวยาวใกล้จะถูกหมากสีดำล้อม นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากจะปรากฏให้เห็น หากกล่าวถึงทักษะการเล่นหมาก แม้เสี่ยวซุ่นจื่อจะมิอาจเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือแห่งแว่นแคว้น แต่จะเอาชนะเจียงเจ๋อย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าฮั่วฉงกำลังอ่านสารจากกรมกลาโหมอยู่ แต่ก็ยังลอบเหลือบมองเป็นระยะ
เมื่อฮั่วฉงอ่านถึงตอนที่ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยเข้าร่วมศึกใหญ่ที่ท่าเรือกวาโจว มือที่กำลังเล่นตัวหมากของข้าก็หยุดนิ่ง เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ลู่ช่านพัฒนาขึ้นมากจริงๆ ใจกล้ามากพอแล้ว จิ่วเจียงขาดกำลังพลมิใช่เพราะเขาทำให้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ มิต่อสู้ชิงชัยกับเผยอวิ๋นที่ไหวตง แต่เคลื่อนพลค่ายใหญ่จิ่วเจียงมายังจิงโข่ว ทำทีเป็นว่าแนวป้องกันตอนกลางของหนานฉู่มิมั่นคง หลังจากนั้นอ้างว่าจิ่วเจียงขาดกำลังพล เคลื่อนกำลังพลของค่ายใหญ่เจียงเซี่ยมายังจิ่วเจียง เหมือนจะรื้อกำแพงตะวันตกมาเสริมกำแพงตะวันออก แต่ความจริงแล้วเป็นการหลอกหูตาของกองทัพเรา
ประการแรกมิให้กองทัพเรานึกขึ้นได้ว่าอาจมีทหารม้าเดินทางไปช่วยโซ่วชุน ประการที่สองทำให้กองทัพเรามองข้ามความเป็นไปได้ที่ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยจะรวมกำลังกับค่ายใหญ่จิ่วเจียงในศึกตัดสินที่หยางโจว
แต่แผนการนี้ของลู่ช่านก็อันตรายยิ่งนัก การรบที่ไหวซียังมิรู้ผลแพ้ชนะ ฝั่งจิงเซียงก็ยังมีกองทัพของพวกเราตระเวนอยู่ หากโซ่วชุนพลาดท่าเสียเมือง หรือแม่ทัพจ่างซุนอ้อมจิงเซียง บุกตรงเข้าไปยังจิงหนาน ถ้าเช่นนั้นกองทัพหนานฉู่ก็จะตกอยู่ในหายนะอันมิอาจกอบกู้กลับมาได้ แต่ลู่ช่านก็คงรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าหนนี้ทิศทางการบุกหลักของกองทัพเรามิใช่เซียงหยาง อีกทั้งแม่ทัพจ่างซุนก็เป็นผู้ที่เดินทัพบุกอย่างมั่นคงทีละก้าว มิมีทางเสี่ยงอันตรายบุกพรวดพราด มีแต่ศึกไหวซีที่ลู่ช่านเสี่ยงอันตรายอย่างแท้จริง
แต่การกระทำเช่นนี้ก็เป็นการกระทำเยี่ยงยอดแม่ทัพ หากศึกไหวซีมีโอกาสชนะสักสามส่วน ถ้าเช่นนั้นการลงมือย่อมคุ้มค่าแล้ว อืม ฉงเอ๋อร์ อ่านข่าวการศึกของฝั่งไหวซีสิ ข้าอยากดูว่าลู่ช่านจัดการฝั่งนั้นเช่นไร”
ฮั่วฉงหารายงานข่าวการศึกจากฝั่งไหวซีแล้วอ่านอย่างละเอียดตามลำดับ เมื่อเขาอ่านมาถึงตอนที่ลู่อวิ๋นกับสืออวี้จิ่นบุตรของสือกวนสังหารต่งซานต่อหน้ากองทัพ มือของข้าก็สั่นวูบหนึ่ง แต่สีหน้ามิเปลี่ยนไปสักนิด ตรงกันข้ามกลับคลี่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ดี ลู่ช่านทำได้มิเลว ลูกอินทรีหากมิถูกไล่ออกจากรังย่อมมิอาจกางปีกทะยานขึ้นสูง ลู่ช่านส่งบุตรชายของตนไปอยู่ในที่อันตราย มิแปลกที่กองทัพไหวซีจะเข้มแข็งเช่นนี้ หากมิใช่เช่นนั้นชุยเจวี๋ยกับต่งซานที่ล้วนเป็นแม่ทัพผู้เก่งกล้าก็คงมิถูกขัดขวางอยู่ที่โซ่วชุน
ความจริงก็เป็นเพราะฝ่าบาทดูแคลนศัตรูด้วย หากส่งยอดแม่ทัพผู้ระมัดระวังรอบคอบไปสักคน แล้วส่งกำลังพลเพิ่มไปอีกสักสองสามหมื่น ป้องกันเผื่อกองทัพศัตรูมีกองหนุนมาเสริม กองทัพใหญ่ก็คงมิต้องต่อสู้ยาวนานจนเหนื่อยล้าจนกองทหารพ่ายดั่งเขาล้ม ความจริงเรื่องนี้ก็มิแปลก กองทหารม้ากองนี้ของลู่ช่านซ่อนตัวได้เร้นลับนัก กองการข่าวมิทราบอย่างสิ้นเชิง น่ากลัวว่าแม้แต่ราชสำนักหนานฉู่ก็มิทราบเช่นกัน
ในเมื่อไม่รู้ว่าโซ่วชุนจะมีกองหนุนก็มิแปลกที่ชุยเจวี๋ยกับต่งซานจะหย่อนยาน แต่การที่ต่งซานถูกเด็กหนุ่มอายุมิถึงสิบห้าปีสองคนร่วมมือกันสังหารกลับทำให้คนประหลาดใจมากทีเดียว ข้าจำได้ว่าเขาเองก็เป็นแม่ทัพผู้กล้าคนหนึ่ง”
ฮั่วฉงตอบว่า “จากการตรวจสอบของกองการข่าว แม่ทัพต่งรั้งท้ายต่อสู้สกัดทัพศัตรูอย่างยากลำบาก ยามนั้นน่าจะเป็นการฝืนใช้แรงเฮือกสุดท้ายแล้ว ส่วนแม่ทัพน้อยลู่กับแม่ทัพน้อยสือล้วนเป็นทหารกล้าอายุน้อยที่หาได้ยาก ดังนั้นจึงสร้างผลงานในสงครามได้เช่นนี้ ได้ยินว่าการต่อสู้ในยามนั้นอันตรายยิ่ง แม่ทัพน้อยทั้งสองคนก็เกือบจบชีวิตเช่นกัน”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา “หลังจากผ่านศึกครั้งนี้ ทหารและประชาชนไหวซีคงมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นมาก แม้ลู่อวิ๋นจะอายุน้อยแต่กลายเป็นกำลังที่มิอาจมองข้ามของฝ่ายกองทัพหนานฉู่แล้ว ลู่ช่านจะต้องฉวยโอกาสขยายกองทัพเตรียมพร้อมรับศึก เพิ่มความแข็งแกร่งในการควบคุมไหวซีเป็นแน่ รอหลังจากกำลังของกองทัพไหวซีแข็งแกร่งก็คงจะบุกตีซู่โจว สวีโจวทางตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ก็บุกยึดเหาโจว ซุยหยางทางตะวันตกเฉียงเหนือ ภายในเวลาสองสามปีนี้ ลู่ช่านคงจะยาตราทัพออกจากไหวซีเพื่อบุกไหวเป่ย ฝึกปรือทหารอีกหลายหน”
ฮั่วฉงกล่าวอย่างฉงน “ท่านอาจารย์ แม้ลู่ช่านจะกุมอำนาจทหารของเจียงหนาน แต่ต้ายงเองก็ครอบครองพลทหารนับล้าน ศึกหนนี้พ่ายก็มิได้เจ็บหนักถึงเส้นเอ็นกระดูก ลู่ช่านสมควรหยุดพักรักษากำลัง เตรียมป้องกันต้ายงบุกลงใต้จึงจะถูก เหตุไฉนจะเป็นฝ่ายจุดสงครามขึ้นเองเล่า”
ข้าหัวเราะเบาๆ ตอบว่า “แม้ลู่ช่านจะกุมอำนาจทหารแถบเจียงไหว แต่ใจยังมิเหี้ยมพอ กองทหารราชองครักษ์ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกำมือของซั่งเหวยจวิน เจี้ยนเย่ยังคงเป็นใต้หล้าของตระกูลซั่ง อำนาจทหารในมือลู่ช่านยิ่งมีมาก ขุนนางบุ๋นผู้ถือตนว่าเป็นขุนนางภักดีบางกลุ่มก็จะยิ่งกังวลว่าเขาจะอาศัยอำนาจทหารก่อกบฏ ดังนั้นผู้ที่สนับสนุนซั่งเหวยจวินกลับจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
รอก่อนเถิด รอหลังจากไล่เรียงความดีความชอบปูนบำเหน็จแล้วก็จะมีคนคิดสารพัดวิธีเพื่อลดทอนอำนาจทหารของลู่ช่าน ดังนั้นหากเขาอยากปกป้องตนเอง ย่อมทำได้เพียงเป็นฝ่ายยกทัพออกมา เมื่อชายแดนรบวุ่นวายมิเลิกราจึงจะปกป้องชีวิตของตัวเขาและครอบครัวเอาไว้ได้”
ดวงตาฮั่วฉงทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง แล้วว่า “ความดีความชอบมากล้นจนมิอาจปูนบำเหน็จย่อมเป็นความผิดอันมิอาจละเว้น แม่ทัพใหญ่ลู่จะตัดสินใจตั้งตนเป็นเจ้าแคว้นหรือไม่ หากถึงยามนั้นเจียงหนานย่อมเป็นหนึ่งเดียวดุจแผ่นเหล็ก มิอาจฉกฉวยโอกาสได้อีกแล้ว”
ข้าหัวเราะเสียงดัง “ฉงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าการก่อกบฏเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้นหรือ มิผิด ลู่ช่านกุมทหารมากมายไว้ในมือ หากกรีฑาทัพเข้าเจี้ยนเย่ย่อมกวาดล้างรังศัตรู ควบคุมราชสำนักหนานฉู่ หรืออาจถึงขั้นตั้งตนเป็นเจ้าแคว้นได้ ทว่าเรื่องบางอย่างมิใช่อาศัยกองทัพอย่างเดียวก็จะทำสำเร็จ เมื่อลู่ช่านยกทัพก่อกบฏ แม่ทัพและทหารผู้ทำงานให้ตระกูลลู่เพราะชื่อเสียงเรื่องความภักดีของพวกเขาย่อมผิดหวัง หรืออาจถึงขั้นมีคนยกทัพมาช่วยเจ้าแคว้น
อย่าลืมว่าหรงเยวียนแห่งเซียงหยาง สือกวนแห่งไหวซี อวี๋เหมี่ยนแห่งด่านจยาเหมิง แม้จะยกลู่ช่านเป็นผู้นำ อีกทั้งพวกเขายังเกี่ยวข้องกับตระกูลลู่อยู่มาก แต่พวกเขาก็เป็นขุนนางผู้ภักดีแห่งหนานฉู่ หากจะให้พวกเขาติดตามลู่ช่านก่อกบฏ น่ากลัวว่าคงเป็นไปมิได้
ยิ่งไปกว่านั้น ซั่งเหวยจวินกุมราชสำนักมาหลายปี มีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนกับตระกูลขุนนางใหญ่ทั้งหลายแห่งหนานฉู่ ยามนี้ขุนนางในราชสำนักหนานฉู่ หกถึงเจ็ดในสิบคนล้วนเป็นพรรคพวกของตระกูลซั่ง หากลู่ช่านคิดจะกำจัดขุนนางข้างตัวเจ้าแผ่นดิน ขุนนางเหล่านี้จะทำเช่นไร หากสังหารให้สิ้น ราชสำนักหนานฉู่คงว่างเปล่า การปกครองตกสู่ความโกลาหลในทันที หากมิสังหาร คนเหล่านี้จะยกตระกูลลู่เป็นเจ้าแคว้นจากใจจริงได้หรือ
กำลังของตระกูลลู่หลักๆ รวมอยู่ในฝั่งกองทัพ มิมีหนทางควบคุมราชสำนักหนานฉู่ทั้งหมดได้ เกรงว่าถึงเวลานั้นจริงราชสำนักคงจะถูกตระกูลขุนนางเข้าควบคุมระหว่างที่ว่างอยู่ ยามนั้นตระกูลใหญ่ทั้งหลายคงขุดคุ้ยจุดอ่อนของกันและกันมาโจมตีเพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ เกรงว่าสถานการณ์ของหนานฉู่คงเละเทะยิ่งกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ลู่ช่านจึงมิอาจใช้การก่อกบฏคลี่คลายแรงกดดันที่กำลังจะต้องเผชิญได้ หนทางเพียงหนึ่งเดียวคือการจุดภัยภายนอก ขอเพียงศึกที่เจียงไหวยังคงดำเนินไปอยู่ พวกซั่งเหวยจวินย่อมมิกล้าทำร้ายลู่ช่านกับแม่ทัพใต้บัญชาของเขาง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาจะบุกลงใต้ของต้ายงก็คงมิสลายไปแน่
ดังนั้นแทนที่จะนั่งรอต้ายงบุกมา มิสู้เป็นฝ่ายโจมตีเสียเอง แล้วยังใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ขนาดเล็กๆ เหล่านี้ขัดเกลาจิตใจทหาร ฝึกฝนกำลังพล ทำให้ชายแดนของหนานฉู่มั่นคงดั่งเขาไท่ซานได้อีก เรื่องที่ยิงทีเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ ลู่ช่านไยจะมิทำด้วยความยินดีกันเล่า”
ฮั่วฉงฟังจนเพลิน ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ซั่งเหวยจวินเกรงกลัวอำนาจทหารของลู่ช่าน ย่อมมิกล้าประมาทลงมือบุ่มบ่าม ส่วนลู่ช่านแทนที่จะไปแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ก็เลือกคุมกองทัพใหญ่อยู่ด้านนอก ครองอำนาจหนึ่งร้องร้อยขานรับ เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ของเจียงหนานก็จะมั่นคง ต้ายงย่อมมิอาจปราบหนานฉู่ได้อย่างราบรื่น ใต้หล้ายากรวมเป็นหนึ่ง เช่นนี้ไยมิใช่ภัยสงครามจะมิมีวันจบสิ้น”
ข้าเหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “ลู่ช่านคนนี้มีใจจงรักภักดีมากยิ่งนัก สาเหตุที่เขาแย่งชิงอำนาจทหารก็เพราะว่าเขามิปรารถนาจะเห็นกองทัพอาชาเหล็กของต้ายงบุกลงใต้เท่านั้น สำหรับเขาแล้ว เขาคุมกองทัพ ซั่งเหวยจวินคุมราชสำนัก นั่นดีที่สุดแล้ว แน่นอนว่าวันหน้าเมื่อเขามีตำแหน่งสูงอำนาจมาก จะมีความคิดมิภักดีเกิดขึ้นหรือไม่ก็ยังมิอาจทราบ แต่ในความเห็นของข้า คนผู้นี้ไม่มีทางก่อกบกฏ ตระกูลลู่เป็นตระกูลแม่ทัพมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จิตใจภักดีหยั่งรากลึก ลู่ช่านก็มิใช่ข้อยกเว้น แม้เขามีฝีมือเก่งกาจ กระทำการใดก็มิค่อยกลัวเกรงอยู่บ้าง แต่เขามิต้องการตั้งตัวเป็นใหญ่ เพียงแต่ว่าแม้เจตนาของเขาจะดี แต่ซั่งเหวยจวินมิมีทางเห็นพ้อง
ยามนี้เป็นการประนีประนอมชั่วคราวเท่านั้น สถานการณ์ที่แบ่งแยกกองทัพกับราชสำนักเช่นนี้สุดท้ายย่อมมิอาจดำรงอยู่ได้นาน เว้นเสียแต่ว่าเจ้าแคว้นหนานฉู่จะมีบารมีมากพอเรียกอำนาจส่วนมากในกองทัพกับราชสำนักกลับมาได้ หรือซั่งเหวยจวินยินยอมถอยลงมาเอง เพียงแต่ว่าสองข้อนี้ล้วนมิอาจเป็นจริง การประจันหน้ากันระหว่างเหนือใต้มิมีทางคงอยู่นานนัก
ฝั่งหนึ่งลดทอน ฝั่งหนึ่งเพิ่มพูน ย่อมมีฝั่งหนึ่งมลายกลายเป็นเถ้าธุลี การต่อสู้ระหว่างสองแคว้นก็เป็นเช่นนี้ การต่อสู้ระหว่างขุนนางทรงอำนาจสองคนก็เป็นเช่นนี้ มิว่าลู่ช่านจะยอมกล้ำกลืนหวังปรองดอง หรือใช้วิธีการเด็ดชาดบางอย่างกดภัยซ่อนเร้นประการนี้ไว้ แต่เมื่อทุกสิ่งระเบิดออกมา ใต้หล้าย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ทว่าหากเจ้าแผ่นดินกับขุนนางหนานฉู่มิโง่เขลาเกินไปนัก การจะรักษาสภาพคานอำนาจกันไปอีกหลายปีก็น่าจะมิใช่ปัญหา เพียงแต่ว่า ฉงเอ๋อร์ เจ้าถามเรื่องพวกนี้ทำอะไร คงมิใช่ว่าคิดจะประลองกับลู่ช่านสักยก ดูว่าผู้ใดเป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของข้ากระมัง”